ในกาลมสูตร ข้อที่ 5 กับ 7
5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
กับ
7.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
ความมายที่แท้จริงคืออะไรครับ?
ถ้าผมเข้าใจถูก
คือมันหมายถึง ห้ามเชื่อด้วย ตรรก และ เหตุผล
ถ้าไม่สอนให้เชื่อด้วย ตรรก และ เหตุผล ก็คือสอนให้เชื่อแบบ ไร้ตรรก ไร้เหตุผล หรอครับ?
อีกอย่างคือ ข้อ 1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา และ ข้อ 2.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
ตัวผมไม่เคยไปเห็นกับตาว่าพระพุทธเจัามีจริง มีเพียงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โดยธรรมชาติของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษร มันคือการรับเรื่องราว การฟัง ต่อๆกันมา และมันคือการอ้างตำรา (ทางประวัติศาสตร์) ขัดกับตัวสูตรข้อที่ 1’ 2. และ ข้อที่ 6. ด้วยเพราะผมคาดคะเนว่าหลักฐานเหล่านั้นมันน่าเชื่อถือ ซึ่งในวิชาประวัติศาสตร์เราก็ต้องคาดคะเนหลักฐานแบบนั้นอยู่แล้ว
การเชื่อข้อมูลทางประวัติศาสตร์มันก็ขัดกับสูตรนี้สิครับ? ผมควรจะเลิกเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริงด้วยไหม?
ผมไม่ได้จะบอกว่าการตีความหมายของผมมันถูกนะครับ เลยตั้งกระทู้ถามว่าผมตีความถูกหรือไม่
หรือตัวสูตรมันหมายถึงอย่างอื่น?
ในกาลามสูตร
5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
กับ
7.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
ความมายที่แท้จริงคืออะไรครับ?
ถ้าผมเข้าใจถูก
คือมันหมายถึง ห้ามเชื่อด้วย ตรรก และ เหตุผล
ถ้าไม่สอนให้เชื่อด้วย ตรรก และ เหตุผล ก็คือสอนให้เชื่อแบบ ไร้ตรรก ไร้เหตุผล หรอครับ?
อีกอย่างคือ ข้อ 1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา และ ข้อ 2.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
ตัวผมไม่เคยไปเห็นกับตาว่าพระพุทธเจัามีจริง มีเพียงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โดยธรรมชาติของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษร มันคือการรับเรื่องราว การฟัง ต่อๆกันมา และมันคือการอ้างตำรา (ทางประวัติศาสตร์) ขัดกับตัวสูตรข้อที่ 1’ 2. และ ข้อที่ 6. ด้วยเพราะผมคาดคะเนว่าหลักฐานเหล่านั้นมันน่าเชื่อถือ ซึ่งในวิชาประวัติศาสตร์เราก็ต้องคาดคะเนหลักฐานแบบนั้นอยู่แล้ว
การเชื่อข้อมูลทางประวัติศาสตร์มันก็ขัดกับสูตรนี้สิครับ? ผมควรจะเลิกเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริงด้วยไหม?
ผมไม่ได้จะบอกว่าการตีความหมายของผมมันถูกนะครับ เลยตั้งกระทู้ถามว่าผมตีความถูกหรือไม่
หรือตัวสูตรมันหมายถึงอย่างอื่น?