ภาพที่ทุกท่านเห็นนี้
คือภาพที่พระมหาไพโรจน์ โรจนธัมโม (วงศ์ศาไชย) ภิกษุสาวกวัดนาป่าพง นำมาแสดงใน FB ของข้าพเจ้า เพื่อยืนยันว่า พระอรหันต์คิดผิด พูดผิด ทำผิด ตามคำบอกเล่าของพระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ซึ่งมักจะกล่าวเช่นนี้ให้สาธุชนฟังอยู่เสมอเพื่อสนับสนุนความคิดเห็นของตนว่า “พระศาสดาห้ามฟังคำสาวก”
โดยการยกพระสารีบุตรและพระอรหันต์รูปอื่นๆ ขึ้นแสดง โดยที่พระคึกฤทธิ์ ตีความเอาเองทั้งหมด เพราะไม่อ่านให้จบพระสูตร หรืออ่านแล้วแต่มีเจตนาบิดเบือนพระสูตรข้าพเจ้าก็มิอาจทราบความในใจของท่านได้ (สำหรับหลักฐานในแต่ละเรื่อง ข้าพเจ้าจะนำเสนอในบทความต่อๆ ไป)
ในความเป็นจริงแล้ว พระศาสดาไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะติเตียนพระสารีบุตรหรือพระอรหันต์ ในรอบสองพันกว่าปีมานี้ เห็นทีจะมีแต่พระคึกฤทธิ์และสาวกของพระคึกฤทธิ์เท่านั้นที่เพ่งโทษติเตียนพระสารีบุตรและพระอรหันต์ทั้งหลาย
พระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญพระสารีบุตรหลายพระสูตร และในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ปวารณาสูตรที่ ๗ พระศาสดาก็ได้ทรงย้ำว่า ไม่ทรงติเตียนพระสารีบุตรและพระอรหันตสาวกในกรรมซึ่งกระทำทางกายหรือวาจาของพระสารีบุตรและพระอรหันต์เหล่านั้นไม่ได้เลย
“สารีบุตร เราติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจาของเธอไม่ได้เลย
สารีบุตร เธอเป็นบัณฑิต
สารีบุตร เธอเป็นผู้มีปัญญามาก เป็นผู้มีปัญญาแน่นหนา
สารีบุตร เธอเป็นผู้มีปัญญาชวนให้ร่าเริง เป็นผู้มีปัญญาว่องไว เป็นผู้มีปัญญาหลักแหลม เป็นผู้มีปัญญาสยายกิเลสได้
สารีบุตร โอรสพระองค์ใหญ่ของพระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมยังจักรอันพระราชบิดาให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตามได้โดยชอบ ฉันใด
สารีบุตร เธอก็ฉันนั้นเหมือนกันย่อมยังธรรมจักรอันยอดเยี่ยม อันเราให้เป็นไปแล้วให้เป็นไปตามได้โดยชอบแท้จริง ฯ
ท่านพระสารีบุตรจึงกราบทูลอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากว่าพระผู้มีพระภาค ไม่ทรงติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกาย หรือทางวาจาของข้าพระองค์ไซร้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจาของภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้บ้างหรือ ฯ
สารีบุตร เราไม่ติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจา ของภิกษุ ๕๐๐ รูปแม้เหล่านี้ สารีบุตร เพราะบรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ภิกษุ ๖๐ รูป เป็นผู้ได้วิชชา ๓ อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อภิญญา ๖ อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อุภโตภาควิมุติ ส่วนที่ยังเหลือเป็นผู้ได้ปัญญาวิมุติ ฯ”
ดังนั้น การติเตียนพระอรหันตสาวกของพระศาสดาจึงนับได้ว่าเป็นกรรมหนักของชาววัดนาป่าพงทุกรูป ทุกคน ทีเดียว กรรมนี้เรียกว่า “อริยุปวาทกรรม” มีโทษเท่าอนันตริยกรรม ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพานในภัทรกัปนี้กันทีเดียว ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร เพราะบาปกรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้กระทำจะเชื่อหรือไม่เชื่อ กรรมนั้นให้ผลเฉพาะด้วยกฎแห่งกรรมนั้นเอง หาได้อาศัยความเชื่อของบุคคลใดไม่
ขอบคุณที่มาข้อความและภาพ
http://watnaprapong.blogspot.com/2015/02/blog-post_19.html
พระคึกฤทธิ์ติเตียนพระอรหันต์ในขณะที่พระศาสดาสรรเสริญพระอรหันต์
ภาพที่ทุกท่านเห็นนี้
คือภาพที่พระมหาไพโรจน์ โรจนธัมโม (วงศ์ศาไชย) ภิกษุสาวกวัดนาป่าพง นำมาแสดงใน FB ของข้าพเจ้า เพื่อยืนยันว่า พระอรหันต์คิดผิด พูดผิด ทำผิด ตามคำบอกเล่าของพระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ซึ่งมักจะกล่าวเช่นนี้ให้สาธุชนฟังอยู่เสมอเพื่อสนับสนุนความคิดเห็นของตนว่า “พระศาสดาห้ามฟังคำสาวก”
โดยการยกพระสารีบุตรและพระอรหันต์รูปอื่นๆ ขึ้นแสดง โดยที่พระคึกฤทธิ์ ตีความเอาเองทั้งหมด เพราะไม่อ่านให้จบพระสูตร หรืออ่านแล้วแต่มีเจตนาบิดเบือนพระสูตรข้าพเจ้าก็มิอาจทราบความในใจของท่านได้ (สำหรับหลักฐานในแต่ละเรื่อง ข้าพเจ้าจะนำเสนอในบทความต่อๆ ไป)
ในความเป็นจริงแล้ว พระศาสดาไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะติเตียนพระสารีบุตรหรือพระอรหันต์ ในรอบสองพันกว่าปีมานี้ เห็นทีจะมีแต่พระคึกฤทธิ์และสาวกของพระคึกฤทธิ์เท่านั้นที่เพ่งโทษติเตียนพระสารีบุตรและพระอรหันต์ทั้งหลาย
พระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญพระสารีบุตรหลายพระสูตร และในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ปวารณาสูตรที่ ๗ พระศาสดาก็ได้ทรงย้ำว่า ไม่ทรงติเตียนพระสารีบุตรและพระอรหันตสาวกในกรรมซึ่งกระทำทางกายหรือวาจาของพระสารีบุตรและพระอรหันต์เหล่านั้นไม่ได้เลย
“สารีบุตร เราติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจาของเธอไม่ได้เลย
สารีบุตร เธอเป็นบัณฑิต
สารีบุตร เธอเป็นผู้มีปัญญามาก เป็นผู้มีปัญญาแน่นหนา
สารีบุตร เธอเป็นผู้มีปัญญาชวนให้ร่าเริง เป็นผู้มีปัญญาว่องไว เป็นผู้มีปัญญาหลักแหลม เป็นผู้มีปัญญาสยายกิเลสได้
สารีบุตร โอรสพระองค์ใหญ่ของพระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมยังจักรอันพระราชบิดาให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตามได้โดยชอบ ฉันใด
สารีบุตร เธอก็ฉันนั้นเหมือนกันย่อมยังธรรมจักรอันยอดเยี่ยม อันเราให้เป็นไปแล้วให้เป็นไปตามได้โดยชอบแท้จริง ฯ
ท่านพระสารีบุตรจึงกราบทูลอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากว่าพระผู้มีพระภาค ไม่ทรงติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกาย หรือทางวาจาของข้าพระองค์ไซร้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจาของภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้บ้างหรือ ฯ
สารีบุตร เราไม่ติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจา ของภิกษุ ๕๐๐ รูปแม้เหล่านี้ สารีบุตร เพราะบรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ภิกษุ ๖๐ รูป เป็นผู้ได้วิชชา ๓ อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อภิญญา ๖ อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อุภโตภาควิมุติ ส่วนที่ยังเหลือเป็นผู้ได้ปัญญาวิมุติ ฯ”
ดังนั้น การติเตียนพระอรหันตสาวกของพระศาสดาจึงนับได้ว่าเป็นกรรมหนักของชาววัดนาป่าพงทุกรูป ทุกคน ทีเดียว กรรมนี้เรียกว่า “อริยุปวาทกรรม” มีโทษเท่าอนันตริยกรรม ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพานในภัทรกัปนี้กันทีเดียว ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร เพราะบาปกรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้กระทำจะเชื่อหรือไม่เชื่อ กรรมนั้นให้ผลเฉพาะด้วยกฎแห่งกรรมนั้นเอง หาได้อาศัยความเชื่อของบุคคลใดไม่
ขอบคุณที่มาข้อความและภาพ http://watnaprapong.blogspot.com/2015/02/blog-post_19.html