ในโลกเรานี้ มีศาสนาใหญ่ๆ อยู่ไม่กี่ศาสนา โดยศาสนาพุทธของเราเป็นศาสนาขนาดใหญ่ที่มีจำนวนผู้นับถือน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับศาสนาใหญ่อื่นๆ
ศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุด อันดับ 1 คือศาสนาคริสต์ ตามมาด้วยศาสนาอิสลาม
ศาสนาที่มีผู้นับถือมากเป็นอันดับ 3 คือศาสนาฮินดู หรือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่เรารู้จัก ซึ่งต่อยอดมาจากศาสนาพราหมณ์ในสมัยพุทธกาล มีผู้นับถือน่าจะประมาณ 1-1.5 พันล้านคน
ในขณะที่ศาสนาพุทธของเรา เป็นอันดับที่ 4 มีผู้นับถือเพียง 400-500 ล้านคน
สิ่งที่ผมอยากจะให้เป็นข้อสังเกต นั่นคือ ผู้นับถือศาสนาฮินดู ซึ่งมีมากกว่าศาสนาพุทธหลายเท่า พวกเขาเชื่อเรื่องความเป็นอมตะ เรียกว่า อาตมัน หรือก็คือ เชื่อเรื่องอัตตา
ถามว่า เราสามารถเปลี่ยนความเชื่อของชาวฮินดู ว่าสิ่งสูงสุดของธรรมชาติ ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อาตมัน แต่ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตาทั้งสิ้น ได้หรือไม่?
แน่นอนว่า ถ้าสามารถทำได้ ผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูคงไม่มีจำนวนมากมายขนาดนี้ อย่างน้อยก็ต้องน้อยกว่าศาสนาพุทธ ดังนั้น คำตอบจึงเป็นไปไม่ได้เลย พยายามไปก็เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
คำถามที่ตามมาคือ แล้วมีโอกาสที่คนเหล่านี้จะเปลี่ยนความเชื่อได้หรือไม่? สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ มีพระไตรปิฏกเป็นศูนย์กลางคำสอน คำตอบคือ เป็นไปได้แน่นอน
แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนความเชื่อพวกเขาได้นั้น ไม่ใช่จากการอธิบาย ไม่ใช่การพูดคุยด้วยเหตุผล ด้วยตัวหนังสือ แต่ด้วยการให้พวกเขาปฏิบัติจนเห็นความจริงเท่านั้น
และโอกาสที่พวกเขาจะปฏิบัติจนค้นพบความจริง ก็เป็นไปได้ ตราบใดที่ยังอยู่ใกล้พระไตรปิฏก อยู่ใกล้คำสอนของพระพุทธเจ้า และถ้าโชคดีได้เจอครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ หลวงพ่อสด (ซึ่งผมคงไม่พูดถึงรายละเอียดตอนนี้ เพราะพูดไปหลายครั้งหลายกระทู้แล้ว แต่อาจจะมียกตัวอย่างบ้างเล็กน้อย)
แต่สิ่งที่บางทีต้องทำใจนั่นก็คือ ผู้ที่จะยอมปฏิบัติให้ถูกต้องตรงตามคำสอน จำเป็นต้อง "รู้ทุกข์" ก่อน ไม่อย่างนั้น อัตตาที่มีอยู่ (ไม่ต้องรอให้ตายก่อนถึงจะเกิดอัตตา พวกเขามีอัตตาเต็มเปี่ยมตั้งแต่ยังมีชีวิต) ไม่ปล่อยให้พวกเขาปฏิบัติอย่างถูกต้องได้แน่
อย่างกรณีหลวงพ่อสด ที่จริงท่านสามารถปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องได้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่พรรษายังไม่มาก แต่กลับต้องมาปฏิบัติเมื่อช่วงสุดท้ายของชีวิต (ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะ 2 ปี หรือไม่เกิน 5 ปีก่อนที่จะมรณภาพ)
ซึ่งหากให้ผมเดา เพราะตอนนั้นท่านป่วยหนักและอยู่ในโรงพยาบาล ท่านอาจจะพบว่า สมาธิสามารถระงับความทุกข์ได้ก็จริง แต่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น พอออกจากสมาธิก็ทุกข์ทรมานเหมือนเดิม จึงเริ่มฉุกคิดว่านี่ไม่ใช่นิพพานแน่ๆ
ตรงกันข้ามกับหลวงพ่อคำเขียน ช่วงสุดท้ายของชีวิตท่านป่วยเป็นมะเร็ง ความเจ็บปวดทรมานท่านบอกลูกศิษย์ว่าเกินร้อย แต่ท่านเจ็บปวดเพียงร่างกายเท่านั้น จิตใจท่านไม่เจ็บปวดเลย
ตอนอยู่โรงพยาบาล ท่านขอให้หมอรักษาด้วยวิธีปกติเท่านั้น หากไม่สามารถรักษาได้ท่านขอให้ปล่อยไปตามธรรมชาติ และท่านขอกลับวัด
เรื่องราวของหลวงพ่อคำเขียน หากใครสนใจศึกษาได้จาก YouTube นะครับ
ผมก็คงมีคำแนะนำไว้เท่านี้ อย่างไรก็ตาม แม้ปากจะบอกคล้ายกับว่าไม่คาดหวัง แต่ใจลึกๆ ผมก็อยากจะเปลี่ยนความเชื่อนะครับ คิดว่าคงต้องมีวิธีใดวิธีหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ยังคิดไม่ออก
ผมมีคำแนะนำสำหรับผู้ที่พยายามเปลี่ยนความเชื่อของคนที่เชื่อว่านิพพานเป็นอัตตา
ศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุด อันดับ 1 คือศาสนาคริสต์ ตามมาด้วยศาสนาอิสลาม
ศาสนาที่มีผู้นับถือมากเป็นอันดับ 3 คือศาสนาฮินดู หรือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่เรารู้จัก ซึ่งต่อยอดมาจากศาสนาพราหมณ์ในสมัยพุทธกาล มีผู้นับถือน่าจะประมาณ 1-1.5 พันล้านคน
ในขณะที่ศาสนาพุทธของเรา เป็นอันดับที่ 4 มีผู้นับถือเพียง 400-500 ล้านคน
สิ่งที่ผมอยากจะให้เป็นข้อสังเกต นั่นคือ ผู้นับถือศาสนาฮินดู ซึ่งมีมากกว่าศาสนาพุทธหลายเท่า พวกเขาเชื่อเรื่องความเป็นอมตะ เรียกว่า อาตมัน หรือก็คือ เชื่อเรื่องอัตตา
ถามว่า เราสามารถเปลี่ยนความเชื่อของชาวฮินดู ว่าสิ่งสูงสุดของธรรมชาติ ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อาตมัน แต่ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตาทั้งสิ้น ได้หรือไม่?
แน่นอนว่า ถ้าสามารถทำได้ ผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูคงไม่มีจำนวนมากมายขนาดนี้ อย่างน้อยก็ต้องน้อยกว่าศาสนาพุทธ ดังนั้น คำตอบจึงเป็นไปไม่ได้เลย พยายามไปก็เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
คำถามที่ตามมาคือ แล้วมีโอกาสที่คนเหล่านี้จะเปลี่ยนความเชื่อได้หรือไม่? สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ มีพระไตรปิฏกเป็นศูนย์กลางคำสอน คำตอบคือ เป็นไปได้แน่นอน
แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนความเชื่อพวกเขาได้นั้น ไม่ใช่จากการอธิบาย ไม่ใช่การพูดคุยด้วยเหตุผล ด้วยตัวหนังสือ แต่ด้วยการให้พวกเขาปฏิบัติจนเห็นความจริงเท่านั้น
และโอกาสที่พวกเขาจะปฏิบัติจนค้นพบความจริง ก็เป็นไปได้ ตราบใดที่ยังอยู่ใกล้พระไตรปิฏก อยู่ใกล้คำสอนของพระพุทธเจ้า และถ้าโชคดีได้เจอครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ หลวงพ่อสด (ซึ่งผมคงไม่พูดถึงรายละเอียดตอนนี้ เพราะพูดไปหลายครั้งหลายกระทู้แล้ว แต่อาจจะมียกตัวอย่างบ้างเล็กน้อย)
แต่สิ่งที่บางทีต้องทำใจนั่นก็คือ ผู้ที่จะยอมปฏิบัติให้ถูกต้องตรงตามคำสอน จำเป็นต้อง "รู้ทุกข์" ก่อน ไม่อย่างนั้น อัตตาที่มีอยู่ (ไม่ต้องรอให้ตายก่อนถึงจะเกิดอัตตา พวกเขามีอัตตาเต็มเปี่ยมตั้งแต่ยังมีชีวิต) ไม่ปล่อยให้พวกเขาปฏิบัติอย่างถูกต้องได้แน่
อย่างกรณีหลวงพ่อสด ที่จริงท่านสามารถปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องได้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่พรรษายังไม่มาก แต่กลับต้องมาปฏิบัติเมื่อช่วงสุดท้ายของชีวิต (ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะ 2 ปี หรือไม่เกิน 5 ปีก่อนที่จะมรณภาพ)
ซึ่งหากให้ผมเดา เพราะตอนนั้นท่านป่วยหนักและอยู่ในโรงพยาบาล ท่านอาจจะพบว่า สมาธิสามารถระงับความทุกข์ได้ก็จริง แต่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น พอออกจากสมาธิก็ทุกข์ทรมานเหมือนเดิม จึงเริ่มฉุกคิดว่านี่ไม่ใช่นิพพานแน่ๆ
ตรงกันข้ามกับหลวงพ่อคำเขียน ช่วงสุดท้ายของชีวิตท่านป่วยเป็นมะเร็ง ความเจ็บปวดทรมานท่านบอกลูกศิษย์ว่าเกินร้อย แต่ท่านเจ็บปวดเพียงร่างกายเท่านั้น จิตใจท่านไม่เจ็บปวดเลย
ตอนอยู่โรงพยาบาล ท่านขอให้หมอรักษาด้วยวิธีปกติเท่านั้น หากไม่สามารถรักษาได้ท่านขอให้ปล่อยไปตามธรรมชาติ และท่านขอกลับวัด
เรื่องราวของหลวงพ่อคำเขียน หากใครสนใจศึกษาได้จาก YouTube นะครับ
ผมก็คงมีคำแนะนำไว้เท่านี้ อย่างไรก็ตาม แม้ปากจะบอกคล้ายกับว่าไม่คาดหวัง แต่ใจลึกๆ ผมก็อยากจะเปลี่ยนความเชื่อนะครับ คิดว่าคงต้องมีวิธีใดวิธีหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ยังคิดไม่ออก