{(Diary...ดอก-รัก-เร่...)}...[บทที่3]

กระทู้สนทนา

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



..........เช้าวันใหม่ คล้ายจะมีหมอกบางเล็กน้อยปกคลุมชุมชนแออัด มองจากมุมสูงจากตึกจะเห็นภาพรางเลือนของหลังคาสังกะสี จานรับสัญญาณโผล่ขึ้นมาสูงต่ำดูระเกะระกะ ที่ถนนหลวงซึ่งเป็นเหมือนสุดอาณาเขตของชุมชนแสงไฟกิ่งยังไม่ปิดด้วยยังเช้านัก

          ด้านล่างตึกแถวจะเป็นลานเทปูน ที่เจ้าของทำบริการให้ชาวชุมชนใช้ทำภารกิจส่วนตัว บ้างนุ่มกระโจมอกอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันกันโดยมีโอ่งมีกะละมังสำหรับซักผ้าไปในตัว มีร่องน้ำเสียให้ไหลไปรวมกันอยู่ใต้ถุนบ้านเช่าพวกนั้น ขยะถุงพลาสติกลอยพ่องอุดตัน ทำให้น้ำเสียระบายออกค่อนข้างช้าก่อนลงสู่คูน้ำข้างชุมชน

          ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง...

          เสียงฝีเท้าวิ่งลงบันไดเหล็กลงมาอย่างเร็วรี่ของเด็กหนุ่ม คนในลานมองขึ้นไป บนตึก เห็นร่างในชุดสวยลงมาตรงทางบันไดหนีไฟ อันเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นทางขึ้นเฉพาะเชฟเฮาส์ของคู่ป้าหลาน

          ไม่กี่อึดใจ เด็กหนุ่มในชุดทักซิโด้สีน้ำตาลลงมายืนอวดหุ่นเท่ ผูกหูกระต่ายสีขาว กางเกงที่สวมสีดำรับกับรองเท้าหนังเป็นเงาวับ โดยเฉพาะพวกสาวๆ ที่นุ่งกระโจมอกอาบน้ำอยู่ที่ลานจะขำกันเสียงดังคิกคัก

          ช่างแตกต่างกันเหลือเกินกับฉากหลัง ตึกสีสนิมกับรอยคราบน้ำฝนสีกระดำกระด้าง ตามระเบียงมีแต่ราวตากผ้าห้อยเป็นระย้า คล้ายธงทิวประดับอาคาร
          ในสายตาของคนที่นี่ บุญส่งเหมือนลูกผู้ดีตกยากมาอาศัยอยู่สลัม แต่ทุกคนเข้าใจมันคือยูนิฟอร์มของเด็กส่งดอกไม้ พื้นเพคือคนจนหาเช้ากินค่ำเหมือนกัน

          “เจ๊ทำไมยังไม่เปิดร้านหว่า เห็นลงมาก่อนตั้งนาน” บุญส่งมองไปที่ร้านดอกไม้ ที่ตั้งอยู่เลยบ้านเช่าใต้ถุนน้ำครำพวกนั้น เห็นประตูยังปิดอยู่
          “ว่าไง พ่อบุญส่งดอกไม้ แต่งตัวหล่อหรูเลิศตามเคยนะเรา” เสียงทักทายมาจากด้านหลัง เด็กหนุ่มหันขวับไปมอง เป็นป้าคนหนึ่งกำลังถีบจักรเย็บผ้า สองแขนเนื้อย้วยในชุดเสื้อคอกระเช้า ขยับแว่นสายตามองมาเช่นกัน ห้องเช่าของแกอยู่เยื้องไปหน่อยจากบันไดทางขึ้นตึก หน้าห้องเปิดเป็นร้านรับซ่อมเสื้อผ้า
          “ชุดนี้มันเป็นยูนิฟอร์มคนส่งดอกไม้ของทางร้านครับคุณป้าเอ๊ย คุณพี่ครับ” เขายิ้มเขิน เห็นจะต้องใช้คารมหวานแต่เช้า
          “แหม... ช่างพูดจาประจบเอาใจชะจริงจริ๊งนะเรา หลอกคนแก่ให้หลงดีใจได้ทุกวัน” เส้นผมของป้าติดโรลดัดผม คอกับหน้าอกโบ๊ะแป้งเย็นกลิ่นหอมฟุ้ง หยุดมือชะเง้อคอข้ามจักร ขยับแว่นกรอบหนา มองดูเสื้อผ้าของบุญส่งที่ตนเองได้ซ่อมให้ คนที่คลุกคลีกับผ้ามาค่อนชีวิตอย่างแก บอกได้ว่าชุดนี้ราคาแพงมาก เจ๊โรสทุ่มเทซื้อแต่ของดีๆ ให้ขนาดนี้ คงจะรักหลานชายคนนี้มาก

          พอมองดูใบหน้าอ่อนใส ดวงตาเรียวเหมือนกลีบบัวแล้ว คนแก่ได้แต่อมยิ้ม
          -เจ้าชายในดงสลัม แกบอกกับตนเองในใจอย่างนั้น-
         
          “ว่าแต่เห็นเจ๊ของผมไหมครับ ทำไมยังไม่เปิดร้าน ผมเห็นลงมาตั้งแต่ยังไม่สว่าง วันนี้มีออเดอร์สั่งดอกไม้มาไวด้วย”
          “ป้าเห็นโรสเดินไปทางวัดโน่นแน่ะ เช้านี้มีผู้หญิงสองคนมาหา แก่คนหนึ่ง สาวคนหนึ่ง โดยเฉพาะคนหลังสวยเหมือนดารา ท่าทางเป็นคนรู้จักกันดี คุยเสร็จก็พากันเดินไปทางวัด คงจะพากันไปกราบหลวงพ่อ”
          “หรือครับ ใครกันนะ คนรู้จักของเจ๊ ผู้หญิงแก่คนหนึ่ง สาวคนหนึ่ง” บุญส่งคิดทบทวนก็คิดไม่ออก ร้องแล้วอ๋อ ไม่ใช่เพราะรู้ตำตอบ แต่เป็นเพราะตนเองไม่ได้เข้าไปเยี่ยมหลวงพ่อมาสามสี่วันแล้ว ทั้งที่วัดอยู่ใกล้แค่นี้เอง “คงเป็นคนรู้จักของเจ๊ ถ้ากลับมาถามคงรู้เอง ถ้างั้นเดี๋ยวผมกลับขึ้นตึกไปเอากุญแจมาเปิดร้านนะครับ”
          “เดี๋ยวก่อนสิ คุยกับคนแก่ก่อนไม่ได้หรือไง มันยังเช้ามากอยู่เลย ป้าได้ข่าวว่าเราไปจีบสาวเซเว่น คนเขาคุยกันยันท้ายซอย ไหนมาบอกความจริงกับป้าหน่อยสิ” ป้าแกยิ้มด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน ใช้เท้าเหยียบแป้นจักรไปด้วย กระสวยด้ายหมุนตามจังหวะ

          “ม ไม่ใช่นะครับ” เขาอ้าปาก ก่อนจะเอามือกุมท้ายทอยยิ้มเขิน
          “เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นนังภา ร้านขนมเค้ก รายนี้อย่าเซียวนา ระวังผัวเขามายิงตายเอา”
          “โอ้ว..โนเวย์ ถึงผมยังหาแฟนไม่ได้ เจ๊บอกผมคนหัวไม่ไว ไม่ทันคนสมัยนี้ แต่ผมจะไม่ยุ่งกับคนที่มีเจ้าของแล้วเด็ดขาด มันผิดศีลธรรม” บุญส่งรีบปัดไม้ปัดมือด้วยนิสัยซื่อ เพราะมันไม่เป็นความจริงเลย สาวร้านเซเว่นที่ว่าคือ ไข่มุก เพื่อนเก่าสมัยเรียนโรงเรียนวัด ที่ผ่านมาไม่เคยคิดจะเอาเพื่อนมาเป็นแฟน
          “สึกใหม่ก็แบบนี้แหละ ยังอ่อนทางโลก ป้าจำได้ว่าเมื่อสามเดือนก่อนเรายังหัวโล้นเลี่ยน ขนคิ้วไม่มีน่าเกลียดน่าชังจะตาย ผู้หญิงก็เลยยังไม่เข้าหา แต่ตอนนี้ผมยาวดกดำหล่อแล้ว ถ้าออกลายกางเขี้ยวกางเล็บหน่อยละก็ ขี้คร้านจะตะปบไม่เลือก ป้ารับงานเป็นหมอดูพยากรณ์ไปด้วยนะ ใครแถวนี้มาให้ป้าดูหมอกันทั้งนั้นแหละ แล้วไม่เคยทำนายดวงใครพลาด อย่างบุญส่งจะมีดวงผู้หญิงมาพัวพันมากกว่าหนึ่งคน”
 
          ป้าแกหยุดมอเตอร์ หยิบอะไรบางอย่างออกจากลิ้นชัก แล้วใบหน้าอวบแก้มย้วยหันมาส่งยิ้มให้ บุญส่งกางมือบอกไม่ๆ ป้าจะทำนายดวงให้เขาอีกแล้ว
          “ผมไม่ทำนายนะครับป้า มีงานต้องรีบไปทำ”
          “ป้าทำนายไม่แม่นไม่คิดเงินนะ ทำนายดวงความรัก ด้วยไพ่ยิปซีทำนายรัก”
          “เออ...” หนุ่มน้อยทำท่าลังเล ก่อนจะหยิบไพ่ขึ้นมา “ผมเลือกใบนี้ก็ได้”
          “หยิบขึ้นมาสามใบ”

          “ไพ่ THE HERMIT ช่วงที่ผ่านมาคุณรักที่จะอยู่ตัวคนเดียวมากกว่า ถ้าคุณไม่ถูกใจใคร คุณจะขออยู่ตัวคนเดียว อาจจะดูโดดเดี่ยวสักหน่อยแต่คุณก็ไม่ทุกข์ร้อน "
          “โอ้...มันใช่เลย” บุญส่งทำหน้าอึ้ง แล้วพยักหน้าตอบรับเหมือนกิ้งก่า
          ” ไพ่ใบที่สอง THE MOON คุณได้หลอกตัวเองในเรื่องเกี่ยวกับความรัก ทางที่ดี ควรเลิกหลอกตัวเองจะดีกว่า อย่าหาเหตุผลให้กับหัวใจตัวเอง ควรสำรวจว่าคุณ กำลังรู้สึกเช่นไรกันแน่ ทำอย่างที่ใจต้องการ แล้วความยุ่งยากจะไม่เกิดขึ้น”

           เจอคำทำนายไพ่ใบที่สอง บุญส่งตะลึง เพราะในใจนึกถึงชื่อของ ญาดา เขากำลังหลอกตัวเองกับความรักที่เป็นไปไม่ได้ ญาดามีคนรักคือภาณุอยู่แล้วทั้งคน
          ป้าหมอดูยิ้มมีเล่ห์ ในที่สุดก็ตกลูกค้าได้ตั้งแต่หัววัน ดวงตาหรี่เหมือนจิ้งจอก ไพ่ใบที่สามเห็นทีต้องขออุบไว้ บุญส่งมือกุมขมับหันซ้ายหันขวา บ่นพึมพำว่าแม่นยังกะตาเห็น เห็นต้องเสียเงินให้ป้าอีกแล้ว เพื่อขอคำทำนายใบที่สาม

          “ผมจ่ายก็ได้ ขอคำทำนายให้ผมที”
          ป้ายิ้มหัวอย่างผู้มีชัย รีบคว้าแบงก์เก็บเข้าลิ้นชัก
         
          “ไพ่ใบที่สามTHE MAGICIAN ความรักจะเข้ามาในไม่ช้า จะมีการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทายและแปลกไปกว่าเดิม ทำให้ชีวิตคุณมีคุณค่ามากขึ้น”
          “ไม่เอาละครับ คุณป้าทำนายอะไรก็ไม่รู้” บุญส่งตัดบทจะรีบเดินจ้ำอ้าวไป นอกจากพี่ญาดาเขาไม่อยากจะรักใครอีกแล้ว
          “เดี๋ยวก่อนสิบุญส่ง มีดวงจะได้คู่ครองเป็นผู้หญิงอายุมากกว่านะ ป้าทำนายทายทักใครไม่เคยผิดเลยนะ ถ้าไม่แม่นไม่คิดเงิน”
           ผู้หญิงอายุมากกว่าก็พี่ภาสิ บุญส่งคิ้วขมวด เขาไม่มีทางยุ่งกับผู้หญิงมีคู่อยู่แล้ว หลวงพ่อรู้เข้าจะด่าเอา

           พอดีมีเสียงดังเอะอะเอ็ดตะโรดังมาทางบ้านเช่า เด็กผู้หญิงตัวน้อยในชุดนักเรียนประถม วิ่งกระโปรงปลิวมุ่งมาทางนี้ โดยมีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งถือไม้เรียวตามมา หล่อนอายุสามสิบเป็นแม่ของเด็ก พอเห็นบุญส่งยืนคุยอยู่กับป้าเย็บผ้า เด็กวิ่งไปเกาะขากางเกงร้องกรี๊ดๆ กับขวัญใจของเด็กทุกคนในซอย

          “พี่บุญส่งช่วยหนูด้วย! แม่ใจร้ายจะตีหนู”
          “โทษทีบุญส่ง ช่วยจับเด็กด้วย! ” แม่เด็กวิ่งตามมาถึง
          “ใจเย็นๆ ครับ ค่อยพูดค่อยจากัน”
   
          แม่เด็กในมือหนึ่งหิ้วกระเป๋าเป้เล็กๆ มาด้วย มาคว้าแขนลูกสาวตัวน้อยที่เอาแต่เกาะขาบุญส่งแน่น ส่งเสียงกรี๊ดๆ ๆ พอเขาถามเป็นเพราะอะไร แม่เด็กส่ายหน้าอย่างระอา บอกลูกสาวเกเรียน จะไม่ยอมไปโรงเรียนท่าเดียว

          “ให้ผมคุยกับน้องเองนะครับ”
          “เออ.. ช่วยทีบุญส่ง ฉันล่ะทั้งสอนทั้งด่าจนปากเปียกปากแฉะ”

          คนในชุดทักซิโด้พยักหน้าบอกให้เชื่อใจได้ แล้วคุกเข่าลง ใช้นิ้วช้อนคางของเด็กหญิงตัวน้อย เธอชื่อว่าน้องมิ้นต์เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่2

          “น้องมิ้นต์ ไหนว่าอยากว่าอยากเป็นแฟนคลับของพี่บุญส่ง พี่บอกแล้วไง จะรับเฉพาะเด็กดีเท่านั้น เด็กเก เด็กดื้อกับคุณแม่ กับคุณครูคือเด็กไม่ดี วันเด็กใกล้จะถึงนี้ พี่จะไม่พาไปงานด้วยนะเออ”
          “ไม่จริงนะ หนูเป็นเด็กดี แต่ๆ ” เสียงใสของหนูน้อย สะอื้นกลืนน้ำมูกไปเป็นพักๆ บุญส่งดึงผ้าเช็ดหน้ามาซับให้ไม่รังเกียจ
          “แต่...อะไรจ๊ะ บอกพี่มาสิ” เสียงทุ้มนุ่มอ่อนหวานของเขา แม้แต่แม่ของเด็กยังอดยิ้ม เรื่องการพูดจาเอาอกเอาใจคน บุญส่งเก่งนัก
          “แต่มันมีเด็กไม่ดี คอยแกล้ง คอยล้อ หนูเกลียดพวกมัน”
          “โดนเพื่อนแกล้งนี่เอง เลยไม่อยากไปเรียน” บุญส่งหายใจดังเฮ้อ...หันไปมองหน้าคนเป็นแม่เด็ก ตอนนี้รู้สาเหตุแล้วว่าทำไมน้องมิ้นไม่ยอมไปโรงเรียน

          (มีต่อนะครับ ช่วงค่ำๆ จะมาลงต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่