พิพิธภัณฑ์ผลส้ม พื้นที่สุดสงบใจกลางเมืองปารีส - แหล่งรวบรวมผลงานอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism)
วันนี้เราขอแนะนำ "พิพิธภัณฑ์ Orangerie" แหล่งชื่นชมศิลปะสุดสงบใจกลางเมืองให้ทุกคนรู้จักกัน
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "Orangerie Museum" หรือ "Musée National de l'Orangerie des Tuileries"
ความหมายตรงตัวก็น่าจะเเปลออกมาได้ว่า "พิพิธภัณฑ์ผลส้ม" หรือ "พิพิภัณฑ์ต้นส้ม" นั่นเอง
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ใช้สถานที่แสดงผลิตภัณฑ์การเกษตรหรือพืชพันธุ์ส้มเเต่อย่างใด แต่เป็นสถานที่จัดแสดงงานศิลปะ
ที่มาของชื่อนั้น ว่ากันว่าเป็นเพราะเมื่อครั้งก่อตั้งอาคารนี้ครั้งเเรก มีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นโรงเรือนสำหรับต้นส้มนั่นเอง ต่อมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มพัฒนามาเป็นพิพิธภัณฑ์โดย George Clemenceau ซึ่งมีความต้องการที่จะสร้างพื้นที่สำหรับการจัดแสดงผลงานภาพเขียนชุด Water Lilies ของโคลด โมเนต์ (Claude Monet)
คุณลุงโมเนต์เป็นหนึ่งในศิลปินชื่อดังที่สร้างสรรค์ผลงานตามแบบลัทธิหรือแนวทางการเขียนภาพที่เรียกว่าอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionm) ภาพเขียนของคุณลุงจะเน้นไปที่การใช้สีเพื่อสร้างสรรค์ผลงานภาพเขียนสถานที่เดียวกันออกมาในหลายๆรูปแบบ โดยแต่ละภาพจะมีความแตกต่างในเรื่องสี ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นการเล่นสีตามแสงอาทิตย์ของเเต่ละช่วงวันนั่นเอง
พูดถึงลุงโมเนต์กันมาพอหอมปากหอมคอ ลองไปดูกันดีกว่าว่าพิพิธภัณฑ์ Orangerie นี้ มีอะไรเป็นไฮไลท์กันบ้าง
1. ภาพเขียนบ่อบัวแห่ง Giverny ของคุณลุงโมเนต์ หรือ WATER LILIES
แน่นอนว่าการจัดแสดงภาพบ่อบัวเป็นไฮไลท์เด็ด การจัดแสดงภาพเขียนนี้ คือ จุดประสงค์แรกของการริเริ่มพิพิธภัณฑ์
ภาพเขียนบ่อบัวนี้ตั้งอยู่ที่ชั้น G เพียงเเค่เดินตรงเข้าไปก็จะพบกับห้องจัดแสดง
ภาพเขียนขนาด 2 เมตร x 91 เมตร จำนวน 8 ภาพวางเรียงกันอยู่ในห้องรูปทรงวงรี สีขาว สบายตา
ภายในห้องมีการจัดที่นั่งตรงกลาง เพื่อให้ผู้มาเยือนได้นั่งพินิจ พิเคราะห์ภาพเขียนอย่างสงบ นั่งมองภาพไปเรื่อยๆ ในห้องสีสบายตา กว้างขวาง พื้นที่เรียบๆ เงียบๆ ส่วนตัวเราเองรู้สึกได้ว่าสบายตาจริงๆ ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ อย่างที่โมเนต์เคยกล่าวไว้เลยว่า " A refuge for a peaceful meditation in the midst of a flowering aquarium" ซึ่งสรุปง่ายๆว่าคงหมายถึง การเดินทางหลบหนีเพื่อค้นพบความสงบท่านกลางมวลหมู่ดอกไม้ ประมาณนั้น
ภาพเขียนสระบัวเหล่านี้ เป็นผลงานที่เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงมีการตีความกันว่า ภาพเขียนนี้เป็นการเรียกร้องความสงบสุขของศิลปินผ่านผลงานศิลปะอีกด้วย
2. AUGUST RENOIR - JEUNES FILLES AU PIANO
หลังจากนั่งชมภาพเขียนสระบัวจนอิ่มใจ เราไปต่อกันที่ภาพเขียนของศิลปินท่านอื่นๆกันบ้าง เริ่มด้วย August Renoir หรือ โอกุส เรอนัวร์ จะเอาให้ชัดก็น่าจะออกเสียงได้ว่า โอกุส เฆอนัวร์
ภาพเขียนนี้มีชื่อว่า Jeunes Filles au Piano หรือ เด็กสาวและเปียโน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเเทนสไตล์การเขียนภาพของเรอนัวร์ได้เป็นอย่างดี เรอนัวร์เน้นไปที่การวาดภาพเหมือนของผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงในชุดกระโปรงสีขาว เพือเเสดงให้เห็นถึงความงดงามของสตรี
ภาพเด็กสาวเละเปียโนเป็นการเเนะนำให้ได้รู้ตักกับความอ่อนโยนของเด็กสาว โลกของเด็กสาวที่มีความสุขง่ายๆกับเรื่องราวรอบๆตัว
3. PAUL CEZANNE - POMMES ET BICUITS
ศิลปินคนต่อไปมีชื่อว่า ปอล เซซาน (Paul Cézanne) โดยภาพเขียนที่เราจะนำมาเสนอให้ทุกคนได้รู้จักกัน คือ ภาพที่มีชื่อว่า "Pommes et Bicuits" หรือ แอปเปิ้ลและบิสกิต ภาพเขียนนี้ใช้เวลาวาดตั้งแต่ปี 1879 จนกระทั่งมาเเล้วเสร็จในปี 1880 ภาพเขียนของเซซานส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การลงน้ำหนัก การวางสัดส่วนของวัตถุในภาพ
ถ้าสังเกตดีๆ แอปเปิ้ลของเซซานนั้นมีความคล้ายคลึงกับพีชมากกว่าแอปเปิ้ลเสียอีก ซึ่งนั่นก็ถือเป็นการถ่ายทอดจินตนาการของจิตกรลงในผลงาน
5. HENRI MATISSE - ODALISQUE A LA CULOTTE ROUGE
อ็องรี มาติส กับภาพวาดชื่อ Odalisque à La Culotte Rouge หรือหญิงสาวกางเกงเเดงในนฮาเร็ม มาติสเป็นศิลปินที่โดดเด่นในเรื่องการใช้สีสันที่สดใสในการสร้างสรรค์งานศิลปะ เน้นการสร้างสรรค์ผลงานตามจิตวิญญาณของตัวเอง หรือ ตามแบบฉบับ"ลัทธิโฟวิสม์" (Fauvism) นั่นเอง
มาติสมักจะใช้ภาพเขียนเพื่อนำเสนอสัญชาติญาณของมนุษย์ เช่น ความต้องการทางกายภาพของมนุษย์ เป็นต้อน บ่อยครั้งที่มาติสจะใช้ภาพเขียนของหญิงสาวในฮาเร็ม หรือ Odalisque เป็นจุดเด่นในภาพเขียนของเขา
ถ้าสังเกตที่สีหน้าของผู้หญิงในภาพ จะพบว่ามีการแสดงออกทางสีหน้าเพียงเล็กน้อย ซึ่งก็เป็นอิทธิพลจากศิลปะเเบบแอฟริกัน โอเชียเนีย หรือ บรรพศิลป์ (Primitiv) นั่นเอง
เกร็ดน่ารู้เล็กน้อย: เพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นบอกมาค่ะ ว่าภาพนี้ถูกใช้เป็นภาพบนตราไปรษณีย์ในประเทศญี่ปุ่นด้วย
5. PABLO PICASSO - GRANDE NATURE MORTE
ภาพสุดท้ายที่อยากให้ทุกคนตามไปดูกัน คือ ภาพเขียนของปาโบล ปิกัสโซ ศิลปินแห่งลัทธิการเขียนภาพแบบ "คิวบิสม์" (Cubism) ซึ่งเน้นไปที่การเขียนภาพตามรูปทรงเรขาคณิต ภาพนี้มีชื่อว่า Grande Nature Morte ซึ่งถ้าเเปลออกมาตรงตัวก็คงจะหมายความได้ประมาณว่า "ธรรมชาติที่ตายไป"
ปิกัสโซมีความเชื่อว่ารูปทรงเรขาคณิตคือพื้นฐาน องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตเเละวัตถุต่างๆ เขาจะสร้างสรรค์ผลงานโดยการพินิจพิเคราะห์วัตถุตรงหน้า เเล้วนำมาจัดโครงสร้างใหม่ตามจินตนาการของเขา ภาพเขียนจะประกอบไปด้วยลายเส้นจำนวนมาก ดังที่เห็นในภาพด้านบน ซึ่งเป็นร่องรอยการสร้างสรรค์ผลงานของเขานั่นเอง
หลังจากเสร็จสิ้นจากการเดินชมภาพเขียนเเละงานศิลปะต่างๆ เราขอเเนะนำให้เข้าไปเยี่ยมชมร้านกาแฟและร้านของที่ระลึกของทางพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมีทั้งโปสการ์ด ประเป๋าผ้า ข้าวของ เครื่องใช้ในบ้าน ที่เต็มไปด้วยลวดลายศิลปะที่สวยงาม
การเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์เเห่งนี้สะดวกสบาย เพียงเเค่นั่งรถเมโทรสาย 1 หรือ 8 หรือ 12 ไปลงที่สถานี Concorde
หรือใครมีเเผลไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ลูฟว์อยู่เเล้วก้เดินลัดเข้ามาที่สวนสาธารณะ Tuileries ได้เลยเพราะว่าพิพิธภัณฑ์นี้ตั้งอยู่ภายในสวนเเห่งนี้นั่นเอง
ราคาตั๋ว
- ราคาตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์อยู่ที่ 9 ยูโร (สำหรับพิพิธภัณฑ์นี้เพียงอย่างเดียว)
- แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 18 ปีก็เข้าฟรีไปเลย
- ส่วนใครที่เป็นนักเรียนนักศึกษาในทวีปยุโรปเเละอายุไม่เกิน 25 ปีก็เข้าฟรีไปเลยเช่นกัรน เพียงเเค่ยื่นนบัตรนักเรียน
- ตั๋วราคา 18 ยูโร (สามารถใช้ได้กับพิพิธภัณฑ์ Orangerie และพิพิธภัณฑ์ Orsay ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล)
เวลาทำการ: วันจันทร์, วันพุธถึงวันอาทิตย์ ตั้งเเต่ 9:00 น. ถึง 18:00 น. (เปิดให้เข้ารอบสุดท้าายเวลา 17:15 น.) ปิดดทำการทุกวันอังคาร
แนะนำให้ลองไปดูกันนะคะ ภาพเขียนสระบัว ดูแล้วสบายตามากจริงๆ
+++ใครสนใจอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม ลองเข้าไปอ่านได้ทีลิ้งด้านล่างเลย+++
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.obonparis.com/th/magazine/what-to-see-in-orangerie-museum
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.obonparis.com/th/magazine/orangerie-museum
พิพิธภัณฑ์ผลส้ม พื้นที่สุดสงบใจกลางเมืองปารีส - แหล่งรวบรวมผลงานอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้