รถปาเจโร่สีดำป้ายแดงเคลื่อนตัวเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านยายก้านกับตาสน เสียงล้อรถที่บดกับก้อนหินศิลาแรงเสียงดังมาแต่ไกล ทำให้คนที่นั่งอยู่หน้าบ้านหยุดทำทุกอย่างที่ทำอยู่เงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกัน
สองตายายกับหลานสาวตัวเล็กๆกำลังนั่งเล่นที่แคร่ ตาสนกำลังสานไม้กวาดทางมะพร้าวอยู่ ยายก้านก็กำลังนั่งเคี้ยวมาก ส่วนหลานสาวกำลังนั่งเล่นตุ๊กตาตามประสา
รายได้หลักของยายก้านกับตาสนก็มาจากพ่อของบูมหลังจากน้องสาวกับน้องเขยเสียชีวิต ตนเองเป็นคนรับผิดชอบพ่อแม่แทน รวมทั้งรับผิดชอบหลานสาวตัวน้อยด้วย
ส่วนเงินที่ได้มาจากความรับผิดชอบของคู่กรณี ยายก้านไม่อยากแตะต้องเลย แม้เงินจะมากมายแค่ไหนก็ชดเชยชีวิตลูกของเขาไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรยายก้านก็ต้องรับไว้ เอาไว้เป็นทุนการศึกษาให้กับน้องเบสต่อไปในอนาคต
ตาสนถักไม้กวดทางมะพร้าวขายด้ามละสามสิบบาท ขายให้กับคนในหมู่บ้านนั่นแหละ ทุกคนจะรู้ว่าบ้านตาสนขายตระกร้าไม้ไผ่ ขายไม่กวาดทางมะพร้าว แค่แขวนไว้หน้าบ้านก็พอแล้ว ไม่ต้องเดินขายให้เหนื่อย
ได้เงินห้าสิบบาทหกสิบบาทก็ยังดี ดีกว่าอยู่เฉยๆรอเงินรายเดือนจากลูกชายกับลูกสะใภ้ นอกจากนั้นสองตายายยังมีเบี้ยเลี้ยงเงินคนชราอีกด้วย
เมื่อรถจอดสนิทแล้วคนในรถเปิดประตูออกมาพร้อมกัน พร้อมหิ้วสำภาระของฝากมากมายออกมา แล้วเดินตรงไปยังสามคนที่นั่งบนแคร่หน้าบ้าน
“ลุงบูรณ์!! “
น้องเบสเห็นลุงป้าและก็พี่ชายลงมาจากรถ กำลังเดินมาทางตนเอง วางตุ๊กตาไว้ลุกขึ้นวิ่งไปหาผู้เป็นลุง เมื่อน้องเบสวิ่งไปถึงแล้ว กระโดดขึ้นเอวลุงอย่างคุ้นเคย ส่วนผู้เป็นลุงก็ย่อตัวลงอุ้มหลานอย่างรู้งาน
แม่ บูม และพ่อที่กำลังอุ้มน้องเบสเดินมาทางปู่กับย่า ที่นั่งมองเป็นตาเดียวกัน ไม่ได้แปลกใจในการมาของตนเอง แค่มองตามธรรมชาติของมนุษย์ที่มีอะไรอยู่ตรงหน้าก็แค่นั้น
เมื่อเดินมาถึงแคร่หน้าบ้าน ทุกคนไหว้สวัสดีปู่กับย่าจากนั้นแม่กับบูมก็เอาข้าวของที่ซื้อมาเข้าไปเก็บในครัว ส่วนพ่อก็ยังอุ้มน้องเบสอยู่ ไม่ยอมปล่อยหลานลง
“ซื้อรถคันใหม่อีกแล้วเหรอพ่อ”
ตาสนถามลูกชาย เมื่อไม่คุ้นกับรถที่ลูกชายขับมาวันนี้ จากเมื่อก่อนเป็นรถกระบะแค็ปสีขาว แต่วันนี้ขับรถป้ายแดง คันใหญ่ ดูๆแล้วน่าจะแพงเอาเรื่อง ถึงสมัยตาสนหนุ่มๆ ไม่เคยมีรถสักคัน แต่ก็พอจะรู้เรื่องรถยนต์สมัยนี้กับเขาอยู่บ้าง จากการพูดคุยของเพื่อนบ้าน หนุ่มๆสาวๆสมัยนี้ที่เขาคุยกันให้ได้ยิน
“คันเก่าเอาไว้บรรทุกของ คันนี้เอาไว้เที่ยวพ่อ”
วิบูรณ์ตอบผู้เป็นพ่อแล้วหัวเราะไปด้วย นอกจากการเป็นครูสอนระดับประถมศึกษาแล้ว วิบูรณ์กับภรรยายังทำไร่ทำนาปกติเหมือนอย่างชาวบ้านทั่วไป
แม่ของบูมมีที่นาที่ไร่ ที่ตากับยายแบ่งให้ก่อนจะเสีย เพียงแต่ไม่ได้ลงแรงทำลงแค่เงินก็พอ บางครั้งก็มีบ้างที่เขาลงแรงทำเอง วิบูรณ์สอนบูมเสมอว่าถ้าเราไม่ทำนาเราจะได้ซื้อข้าวคนอื่นกิน ถ้าเราทำของเราเอง นอกจากจะไม่ได้ซื้อเหลือกินยังได้ขายอีกด้วย
“มันใช้ได้อยู่ก็ใช่ไปเถอะ ไปซื้อคันใหม่ให้เปลืองกะตังค์ เก็บเงินไว้ใช้ไม่ดีกว่าเหรอ”
ตาสนไม่เคยห้ามลูกๆตั้งแต่สมัยไหนแล้ว ถ้าลูกๆอยากทำอะไรไม่เคยขัด สอนให้ลองผิดลองถูก ถ้าผิดก็แก้ไขแล้วทำใหม่ ถ้าทำถูกแล้วก็ทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าลูกๆจะทำอะไรสนับสนุนเต็มที่
“มันนั่งสบายนะพ่อ พ่อกับแม่ไปนั่งเจิมรถ เป็นสิริมงคลให้ผมหน่อย”
วิบูรณ์ไม่รอช้า ที่เขาทำอะไรได้สำเร็จเขาอยากให้พ่อกับแม่ยินดีชื่นชมเป็นคนแรกเสมอ คนอื่นชมไม่เท่าคนในครอบครัวด่า วิบูรณ์คิดแบบนี้
พูดจบเขาก็พาพ่อแม่เดินไปยังรถที่จอดไว้ข้างบ้าน ตัวเองก็ยังอุ้มหลานอยู่ วิบูรณ์รักน้องเบสเหมือนลูกสาวตัวเองคนนึง ด้วยเหตุผลอะไรหลายๆอย่าง เขาก็จะให้ความรักความเอาใจใส่หลานคนนี้ให้ดีที่สุด ไม่แพ้บูมลูกชายเขาเอง
จะว่าไปแล้วญาติฝั่งพ่อน้องเบสก็ติดต่อกันเรื่อยๆ แต่พอปู่ย่าน้องเบสเสียไปอีกคนก็ไม่ค่อยมีใครติดต่อหลานน้อยคนนี้มาเลย นานๆเจอกันโดยบังเอิญที
“น้องเบส ลงจากลุงบูรณ์ได้แล้วลูก ลุงหนัก” ยายก้านบอกหลานสาวที่ยังอยู่บนเอวลูกชาย
“ไม่เป็นไรแม่ ไอ้แห้งเบาๆเอง”
วิบูรณ์กอดหลานมือนึง ส่วนมือนึงก็กดสวิชคลายล็อค แล้วเปิดประตูให้พ่อกับแม่เข้าไปนั้งในรถ ส่วนบูมกับแม่ก็ช่วยกันทำกับข้าวจากที่ตัวเองซื้อมาในครัว
จากนั้นกับข้าวก็ถูกยกมาวางไว้แคร่หน้าบ้าน รอพ่อกับปู่ย่ามากินแค่นั้น ขณะนี้ปู่กับย่ากำลังชมรถใหม่ของพ่ออยู่ แป๊บๆสี่คนก็เดินกลับมากินข้าว
วันนี้เนสสอบปิดภาคเรียนแรกวันสุดท้าย เมื่อสอบเสร็จแล้วเนสไม่ยอมไปฉลองกับเพื่อน เพราะเนสอยากกลับบ้านเร็วๆ เนสรู้ว่าวันนี้บูมจะมาบ้านย่า ตอนนี้ก็น่าจะมาถึงแล้วล่ะ
บ่ายสามของวันนี้เนสสอบเสร็จพอดี รถรับส่งยังไม่มารับ เนสจึงตัดสินใจนั่งรถสองแถวกลับบ้านก่อน เมื่อรถสองแถวมาจอดที่หน้าบ้านยายจันทร์ เนสเดินไปจ่ายค่ารถโดยสาร พอดีกับที่มองไปทางบ้านบูม เห็นรถยนต์มาจอดที่บ้าน แล้วมีผู้หญิงผู้ชายวัยกลางคนนั่งเล่นที่หน้าบ้านกับตาสนยายก้าน
ใครมาบ้านยายนะ แล้วบูมไปไหน หรือว่าบูมมาแล้วส่วนผู้ใหญ่สองคนที่นั่งอยู่กับตายายจะเป็นพ่อแม่บูม แต่มองดีๆผู้หญิงก็หน้าคล้ายๆบูมนะ หรือจะเป็นแม่บูม ส่วนผู้ชายหน้าคล้ายๆน้องเบส ไม่น่าจะใช่พ่อน้องเบสแน่นอน ยายเคยเล่าว่าพ่อแม่น้องเบสเสียแล้ว
จากที่ยืนแอบมองได้สักพัก เนสก็เดินเข้าไปในบ้านเปลี่ยนชุดนักเรียนออก แล้วมานั่งเล่นหน้าบ้านตามปกติ ในบ้านตอนนี้ถึงจะยังกลางวันอยู่ก็มืดพอสมควร ยุงเยอะด้วย ออกมานั้งข้างนอกจะดีที่สุด ยายไม่อยู่บ้านไม่รู้ไปไหน ที่บ้านย่าบูมก็ไม่เห็นมี
เนสนั่งไกวเปลไปมา มือก็เลื่อนโทรศัพท์ดูเฟส เห็นรูปบูมถ่ายภาพไปเล่นน้ำที่ไหนสักที่ ถึงแม้จะมีการเช็คอิน เนสก็ไม่รู้จักอยู่ดี ยังไม่เคยไปไหนเลยตั้งแต่มาอยู่นี่
เนสกดเข้าไปดูภาพที่ละภาพ เห็นบูมถ่ายกับเพื่อนๆหกคน ชายสามหญิงสาม แต่พอสังเกตบางรูปดีๆ จะเห็นว่าบูมจับมือกับผู้หญิงคนหนึ่ง เนสจำผู้หญิงคนนี้ได้ดี แฟนบูมนั้นเอง วันก่อนนั้นเนสก็เคยกดเข้าไปดูเฟสผู้หญิงคนนี้แล้ว สวยน่ารักพอสมควร
เห็นภาพที่บูมลงล่าสุด มีเวลาบอกว่าลงไปเวลาเท่าไหร่ เป็นรูปที่บูมถ่ายกับครอบครัววันนี้ อ่านที่บูมอธิบายภาพ ผู้หญิงกับผู้ชายที่เนสเห็นเป็นพ่อกับแม่บูมจริงๆด้วย แสดงว่าบูมก็มาแล้วสิ แล้วบูมไปไหนละ จะพูดไปแล้วน้องเบสก็ไม่เห็น คงพากันดูทีวีในบ้านละมั่ง
แล้วเนสก็กดถูกใจรูปที่บูมลงเมื่อเช้า จากนั้นก็เลื่อนดูหน้าฟีดไปเรื่อยเปื่อย สักพักแชทของบูมก็เด้งขึ้นมา หลังจากที่เนสกดถูกใจไปไม่กี่นาที
“เนส สอบเสร็จยัง” เนสเปิดอ่านกำลังคิดว่าจะตอบกลับไปดีมั้ยนะ แต่เนสอีกคนก็บอกให้เนสตอบกลับไป
“อือ กลับมาบ้านแล้ว”
เนสตอบกลับไปข้อความขึ้นคำว่าอ่านแล้ว แต่คนปลายทางไม่ได้ตอบกลับมา พอเนสมองไปบ้านบูมก็เห็นบูมออกมานั่งเล่นที่แคร่หน้าบ้านกับปู่ย่าและพ่อกับแม่แล้ว จากนั้นก็ตามด้วยน้องเบสเดินตามหลังออกมา
เนสนั้งเล่นที่หน้าบ้านรอยายกลับมา จากที่นั่งหันหน้าไปทางบ้านบูม พอเห็นบูมเดินออกมาหน้าบ้านเนสก็เปลี่ยนท่านั่งใหม่ โดยนั่งหันหลังให้บ้านย่าบูม หันหน้าไปทางบ้านข้างๆอีกหลัง
สักพักก็มีมอเตอร์ไซต์วิ่งมาจอดหน้าบ้าน คนขับเป็นเด็กน้อยน่าจะประมาณ ป.5-6 แต่ตัวสูงพอสมควร พอที่จะบังคับมอเตอร์ไซต์ทั้งคันได้ เนสนึกถึงความปลอดภัย เด็กแค่นี้ทำไมพ่อแม่ปล่อยให้ใช้รถมอเตอร์ไซต์นะ คนซ้อนคือยายจันทร์ ยายกลับจากบ้านญาติอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกล ขับรถไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว
“อ้าวน้าจันทร์ ไปไหนมาล่ะนั้น”
วิบูรณ์ถามเพื่อนบ้านอย่างคุ้นเคย ลูกสาวยายจันทร์อายุน้อยกว่าตนเองไม่กี่ปี จบม.3 ก็เข้ากรุงเทพไปหางานทำ ส่วนเขาเองพ่อแม่ให้เรียนต่อ พ่อแม่ไม่ได้มีเงินอะไรมากมาย แต่ก็พยายามส่งเขากับน้องสาวให้ได้เรียนถึง ม.6 จากนั้นเขาก็เข้ากรุงเทพหาเงินส่งตัวเองเรียนต่อจนจบ
“อ้าวเฮ้ย วิบูรณ์ไปไงมาไง มาส่งไอ้บูมมาอยู่กับตาสนเหรอ”
จากที่ยายจันทร์จะเดินเข้าบ้านตัวเอง กลับเปลี่ยนเป็นเดินเข้าบ้านยายก้านแทน วิบูรณ์กับภรรยายกมือไหว้ยายจันทร์เป็นการทักทายครั้งแรก รวมทั้งบูมด้วย มาตั้งแต่เมื่อเช้ายังไม่เห็นยายจันทร์เลย
“เป็นยังไงสบายดีมั้ยเอง”
“สบายดีน้า แล้วน้าละเป็นไงบ้าง แข็งแรงดีมั้ย”
วิบูรณ์ไม่พูดเฉยๆเดินไปค้องแขนยายจันทร์ให้มานั้งลงบนแคร่ด้วยกัน วิบูรณ์คิดกับยายจันทร์เหมือนแม่คนนึง สมัยเด็กๆพ่อแม่ไม่อยู่บ้าน เขากับน้องสาวก็ได้ยายจันทร์นี่แหละดูแล
เนื่องจากลูกๆยายจันทร์จบแค่มัธยมศึกษาภาคบังคับ แล้วลงไปทำงานที่กรุงเทพ ส่งเงินมาให้ยายจันทร์ทุกเดือน ส่วนเขากับน้องสาวเรียนต่อมัธยมปลาย พ่อแม่เดือดร้อนเรื่องเงินก็ได้ยายจันทร์หยิบยื่นช่วยเหลือ
พอเขาลงไปทำงานที่กรุงเทพ ก็มีลูกๆของยายจันทร์คอยช่วยเหลืออีกด้วย ตอนนี้เขาได้ดีมีชัย เขาจะลืมแม่คนนี้ได้ไง เวลามาบ้านเกิดเขาได้อะไรมา เขาไม่ลืมที่จะแบ่งไปให้ยายจันทร์ด้วยทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“ข้าก็ป่วยออดแอดๆตามอายุนี่แหละ” ยายจันทร์มีรูปร่างท้วม ต่างจากยายก้านที่มีรูปร่างผอมแห้ง แต่ทั้งสองก็แข็งแรงพอสมควร
“โห!! รถใหม่เองละสิ ป้ายแดงมาเลย อย่าลืมเอาไปแทงหวยนา”
“ไม่พลาดอยู่แล้วน้า ไปลองนั่งมั้ย”
“ฮื่อๆ “ ยายจันทร์โบกมือขี้เกียจไป แค่นั่งชมอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว
สองเพื่อนบ้านนั่งสนทนากันไป ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบซึ่งกันและกัน ถามโน่นถามนี่ ยายจันทร์นึกได้ว่ายังไม่ได้แนะนำหลานสาวให้รู้จักเลย
“เนสเอ้ย เนสมานี่หน่อยลูก” ยายจันทร์เรียกหลานสาวให้มาทำความรู้จักหน่อย
“ลูกไอ้นิดเหรอน้า คนโตหรือคนเล็กนั่น”
วิบูรณ์ถามยายจันทร์เมื่อมองเห็นเด็กสาวตัวบางๆ ผอมๆ ขาวๆเดินมุ่งหน้ามาทางบ้านตัวเอง ดูแล้วอายุน่าจะราวๆลูกชาย ถ้าจะห่างกันก็น่าจะไม่เกินปีเดียว
“คนเล็กมัน”
“ไหว้ลุงหน่อยลูก ลุงบูรณ์พ่อไอ้บูมมัน ส่วนนี่ป้าเจี๊ยบแม่ไอ้บูม”
ยายจันทร์แนะนำสองคนให้กับหลานสาว เนสยกมือไหว้ทั้งสองคนอย่างนอบน้อม ส่วนวิบูรณ์กับภรรยาก็รับไหว้อย่างเอ็นดู
“ลุงกับป้าน้องน้องเบส” เด็กน้อยแย้งตามประสาเด็ก แล้วเอามือไปเกาะแขนผู้เป็นลุงไว้
“เอ้อ! ป้ากับลุงเองนั้นแหละเบส” ทุกคนหัวเราะชอบใจกันใหญ่
“น้าจันทร์ไม่ต้องทำกับข้าวนะ มากินข้าวเย็นด้วยกันพี่บูรณ์ซื้อกับข้าวมาเยอะแยะ” แม่ของบูมเรียกยายจันทร์ว่าน้าตามผู้เป็นสามี
“ใช่ยาย วันนี้มากินข้าวเย็นด้วยกัน กับข้าวเยอะแยะเศรษฐีเลี้ยง” ตาสนพูดหยอกลูกชาย
“โหย! พ่อถ้าผมเป็นเศรษฐีก็ดีสิ พ่อแม่คงสบายกว่านี้ แล้วผมจะลาออกจากการเป็นครูมานอนเล่นอยู่บ้านเฉยๆ”
19.00 น. ของวันนี้กับข้าวถูกวางไว้บนเสื่อกกที่ปูไว้หน้าบ้าน หากจะนั้งบนแคร่ไม่พอสมาชิกทุกคน มีทั้งส้มตำ ปลาเผาสองตัว ยำวุ้นเส้น ข้าวเหนียว กุ้งเผา หอยลวกซีฟู้ด และกับข้าวอื่นๆอีกมากมาย พร้อมเบียร์อีกสองสามสี่ขวด พ่อของบูม และ ลูกพี่ลูกน้องของพ่ออีกสองคนกินด้วยกัน
นอกจากสมาชิกในบ้านของยายก้าน ยายจันทร์แล้วยังมีสมาชิกบ้านน้องสาวของตาสนอีกสามสี่คน เป็นเรื่องปกติที่ลูกชายกลับมาบ้านจะต้องสังสรรค์กันแบบนี้
“เอ้า บูม”
อา ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อยื่นแก้วเบียร์ให้หลาน ไม่ได้แกล้งตั้งใจยื่นให้จริง บูมส่ายหัวไม่รับ ยังกลัวพ่อว่าอยู่ดี ให้เขาขึ้น ม.ปลายก่อนเถอะ เขาจะกินแบบเปิดเผย
“บูมมันไม่กินหรอก มันไปแอบกินที่อื่นนู้น”
ผู้เป็นพ่อพูดเหมือนเคยเห็น แต่มันก็เป็นแบบที่พ่อพูดนั้นแหละ บูมแอบกินไม่ให้พ่อกับแม่เห็น กลัวว่าจะโดนพ่อกับแม่ดุ
วันนี้ที่บ้านย่าจะดูครึกครื้นผิดปกติกว่าทุกวัน เป็นเพราะพ่อแม่ของเขามาด้วย เพื่อนบ้านอีกหลายๆคนผ่านมาก็ร้องตะโกนทักทายพ่อ
ส่วนบูมเนสน้องเบสก็ก้มหน้าก้มตากินปลาเผา กุ้งเผา อย่างอร่อย แม้บูมจะไปกินมาแล้ววันก่อน ก็ไม่ทำให้เบื่อเลยเพราะมันคือเมนูโปรดของเขา
แม่ ย่า ปู่ และก็ยายจันทร์ ก็คุยกันตามประสาผู้ใหญ่ กินไปกินมาย่าก็หยุดกิน ทั้งที่กินไปนิดเดียว
“อิ่มแล้วเหรอแม่ กับข้าวเหลือตั้งแยะ หนูเห็นแม่พึ่งกินไปนิดเดียวเองนะคะ”ผู้เป็นสะใภ้ถาม เพราะเห็นแม่พึ่งกินไปนิดเดียวเอง
เรื่องสั้น...รักสามเศร้า.....8
รถปาเจโร่สีดำป้ายแดงเคลื่อนตัวเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านยายก้านกับตาสน เสียงล้อรถที่บดกับก้อนหินศิลาแรงเสียงดังมาแต่ไกล ทำให้คนที่นั่งอยู่หน้าบ้านหยุดทำทุกอย่างที่ทำอยู่เงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกัน
สองตายายกับหลานสาวตัวเล็กๆกำลังนั่งเล่นที่แคร่ ตาสนกำลังสานไม้กวาดทางมะพร้าวอยู่ ยายก้านก็กำลังนั่งเคี้ยวมาก ส่วนหลานสาวกำลังนั่งเล่นตุ๊กตาตามประสา
รายได้หลักของยายก้านกับตาสนก็มาจากพ่อของบูมหลังจากน้องสาวกับน้องเขยเสียชีวิต ตนเองเป็นคนรับผิดชอบพ่อแม่แทน รวมทั้งรับผิดชอบหลานสาวตัวน้อยด้วย
ส่วนเงินที่ได้มาจากความรับผิดชอบของคู่กรณี ยายก้านไม่อยากแตะต้องเลย แม้เงินจะมากมายแค่ไหนก็ชดเชยชีวิตลูกของเขาไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรยายก้านก็ต้องรับไว้ เอาไว้เป็นทุนการศึกษาให้กับน้องเบสต่อไปในอนาคต
ตาสนถักไม้กวดทางมะพร้าวขายด้ามละสามสิบบาท ขายให้กับคนในหมู่บ้านนั่นแหละ ทุกคนจะรู้ว่าบ้านตาสนขายตระกร้าไม้ไผ่ ขายไม่กวาดทางมะพร้าว แค่แขวนไว้หน้าบ้านก็พอแล้ว ไม่ต้องเดินขายให้เหนื่อย
ได้เงินห้าสิบบาทหกสิบบาทก็ยังดี ดีกว่าอยู่เฉยๆรอเงินรายเดือนจากลูกชายกับลูกสะใภ้ นอกจากนั้นสองตายายยังมีเบี้ยเลี้ยงเงินคนชราอีกด้วย
เมื่อรถจอดสนิทแล้วคนในรถเปิดประตูออกมาพร้อมกัน พร้อมหิ้วสำภาระของฝากมากมายออกมา แล้วเดินตรงไปยังสามคนที่นั่งบนแคร่หน้าบ้าน
“ลุงบูรณ์!! “
น้องเบสเห็นลุงป้าและก็พี่ชายลงมาจากรถ กำลังเดินมาทางตนเอง วางตุ๊กตาไว้ลุกขึ้นวิ่งไปหาผู้เป็นลุง เมื่อน้องเบสวิ่งไปถึงแล้ว กระโดดขึ้นเอวลุงอย่างคุ้นเคย ส่วนผู้เป็นลุงก็ย่อตัวลงอุ้มหลานอย่างรู้งาน
แม่ บูม และพ่อที่กำลังอุ้มน้องเบสเดินมาทางปู่กับย่า ที่นั่งมองเป็นตาเดียวกัน ไม่ได้แปลกใจในการมาของตนเอง แค่มองตามธรรมชาติของมนุษย์ที่มีอะไรอยู่ตรงหน้าก็แค่นั้น
เมื่อเดินมาถึงแคร่หน้าบ้าน ทุกคนไหว้สวัสดีปู่กับย่าจากนั้นแม่กับบูมก็เอาข้าวของที่ซื้อมาเข้าไปเก็บในครัว ส่วนพ่อก็ยังอุ้มน้องเบสอยู่ ไม่ยอมปล่อยหลานลง
“ซื้อรถคันใหม่อีกแล้วเหรอพ่อ”
ตาสนถามลูกชาย เมื่อไม่คุ้นกับรถที่ลูกชายขับมาวันนี้ จากเมื่อก่อนเป็นรถกระบะแค็ปสีขาว แต่วันนี้ขับรถป้ายแดง คันใหญ่ ดูๆแล้วน่าจะแพงเอาเรื่อง ถึงสมัยตาสนหนุ่มๆ ไม่เคยมีรถสักคัน แต่ก็พอจะรู้เรื่องรถยนต์สมัยนี้กับเขาอยู่บ้าง จากการพูดคุยของเพื่อนบ้าน หนุ่มๆสาวๆสมัยนี้ที่เขาคุยกันให้ได้ยิน
“คันเก่าเอาไว้บรรทุกของ คันนี้เอาไว้เที่ยวพ่อ”
วิบูรณ์ตอบผู้เป็นพ่อแล้วหัวเราะไปด้วย นอกจากการเป็นครูสอนระดับประถมศึกษาแล้ว วิบูรณ์กับภรรยายังทำไร่ทำนาปกติเหมือนอย่างชาวบ้านทั่วไป
แม่ของบูมมีที่นาที่ไร่ ที่ตากับยายแบ่งให้ก่อนจะเสีย เพียงแต่ไม่ได้ลงแรงทำลงแค่เงินก็พอ บางครั้งก็มีบ้างที่เขาลงแรงทำเอง วิบูรณ์สอนบูมเสมอว่าถ้าเราไม่ทำนาเราจะได้ซื้อข้าวคนอื่นกิน ถ้าเราทำของเราเอง นอกจากจะไม่ได้ซื้อเหลือกินยังได้ขายอีกด้วย
“มันใช้ได้อยู่ก็ใช่ไปเถอะ ไปซื้อคันใหม่ให้เปลืองกะตังค์ เก็บเงินไว้ใช้ไม่ดีกว่าเหรอ”
ตาสนไม่เคยห้ามลูกๆตั้งแต่สมัยไหนแล้ว ถ้าลูกๆอยากทำอะไรไม่เคยขัด สอนให้ลองผิดลองถูก ถ้าผิดก็แก้ไขแล้วทำใหม่ ถ้าทำถูกแล้วก็ทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าลูกๆจะทำอะไรสนับสนุนเต็มที่
“มันนั่งสบายนะพ่อ พ่อกับแม่ไปนั่งเจิมรถ เป็นสิริมงคลให้ผมหน่อย”
วิบูรณ์ไม่รอช้า ที่เขาทำอะไรได้สำเร็จเขาอยากให้พ่อกับแม่ยินดีชื่นชมเป็นคนแรกเสมอ คนอื่นชมไม่เท่าคนในครอบครัวด่า วิบูรณ์คิดแบบนี้
พูดจบเขาก็พาพ่อแม่เดินไปยังรถที่จอดไว้ข้างบ้าน ตัวเองก็ยังอุ้มหลานอยู่ วิบูรณ์รักน้องเบสเหมือนลูกสาวตัวเองคนนึง ด้วยเหตุผลอะไรหลายๆอย่าง เขาก็จะให้ความรักความเอาใจใส่หลานคนนี้ให้ดีที่สุด ไม่แพ้บูมลูกชายเขาเอง
จะว่าไปแล้วญาติฝั่งพ่อน้องเบสก็ติดต่อกันเรื่อยๆ แต่พอปู่ย่าน้องเบสเสียไปอีกคนก็ไม่ค่อยมีใครติดต่อหลานน้อยคนนี้มาเลย นานๆเจอกันโดยบังเอิญที
“น้องเบส ลงจากลุงบูรณ์ได้แล้วลูก ลุงหนัก” ยายก้านบอกหลานสาวที่ยังอยู่บนเอวลูกชาย
“ไม่เป็นไรแม่ ไอ้แห้งเบาๆเอง”
วิบูรณ์กอดหลานมือนึง ส่วนมือนึงก็กดสวิชคลายล็อค แล้วเปิดประตูให้พ่อกับแม่เข้าไปนั้งในรถ ส่วนบูมกับแม่ก็ช่วยกันทำกับข้าวจากที่ตัวเองซื้อมาในครัว
จากนั้นกับข้าวก็ถูกยกมาวางไว้แคร่หน้าบ้าน รอพ่อกับปู่ย่ามากินแค่นั้น ขณะนี้ปู่กับย่ากำลังชมรถใหม่ของพ่ออยู่ แป๊บๆสี่คนก็เดินกลับมากินข้าว
วันนี้เนสสอบปิดภาคเรียนแรกวันสุดท้าย เมื่อสอบเสร็จแล้วเนสไม่ยอมไปฉลองกับเพื่อน เพราะเนสอยากกลับบ้านเร็วๆ เนสรู้ว่าวันนี้บูมจะมาบ้านย่า ตอนนี้ก็น่าจะมาถึงแล้วล่ะ
บ่ายสามของวันนี้เนสสอบเสร็จพอดี รถรับส่งยังไม่มารับ เนสจึงตัดสินใจนั่งรถสองแถวกลับบ้านก่อน เมื่อรถสองแถวมาจอดที่หน้าบ้านยายจันทร์ เนสเดินไปจ่ายค่ารถโดยสาร พอดีกับที่มองไปทางบ้านบูม เห็นรถยนต์มาจอดที่บ้าน แล้วมีผู้หญิงผู้ชายวัยกลางคนนั่งเล่นที่หน้าบ้านกับตาสนยายก้าน
ใครมาบ้านยายนะ แล้วบูมไปไหน หรือว่าบูมมาแล้วส่วนผู้ใหญ่สองคนที่นั่งอยู่กับตายายจะเป็นพ่อแม่บูม แต่มองดีๆผู้หญิงก็หน้าคล้ายๆบูมนะ หรือจะเป็นแม่บูม ส่วนผู้ชายหน้าคล้ายๆน้องเบส ไม่น่าจะใช่พ่อน้องเบสแน่นอน ยายเคยเล่าว่าพ่อแม่น้องเบสเสียแล้ว
จากที่ยืนแอบมองได้สักพัก เนสก็เดินเข้าไปในบ้านเปลี่ยนชุดนักเรียนออก แล้วมานั่งเล่นหน้าบ้านตามปกติ ในบ้านตอนนี้ถึงจะยังกลางวันอยู่ก็มืดพอสมควร ยุงเยอะด้วย ออกมานั้งข้างนอกจะดีที่สุด ยายไม่อยู่บ้านไม่รู้ไปไหน ที่บ้านย่าบูมก็ไม่เห็นมี
เนสนั่งไกวเปลไปมา มือก็เลื่อนโทรศัพท์ดูเฟส เห็นรูปบูมถ่ายภาพไปเล่นน้ำที่ไหนสักที่ ถึงแม้จะมีการเช็คอิน เนสก็ไม่รู้จักอยู่ดี ยังไม่เคยไปไหนเลยตั้งแต่มาอยู่นี่
เนสกดเข้าไปดูภาพที่ละภาพ เห็นบูมถ่ายกับเพื่อนๆหกคน ชายสามหญิงสาม แต่พอสังเกตบางรูปดีๆ จะเห็นว่าบูมจับมือกับผู้หญิงคนหนึ่ง เนสจำผู้หญิงคนนี้ได้ดี แฟนบูมนั้นเอง วันก่อนนั้นเนสก็เคยกดเข้าไปดูเฟสผู้หญิงคนนี้แล้ว สวยน่ารักพอสมควร
เห็นภาพที่บูมลงล่าสุด มีเวลาบอกว่าลงไปเวลาเท่าไหร่ เป็นรูปที่บูมถ่ายกับครอบครัววันนี้ อ่านที่บูมอธิบายภาพ ผู้หญิงกับผู้ชายที่เนสเห็นเป็นพ่อกับแม่บูมจริงๆด้วย แสดงว่าบูมก็มาแล้วสิ แล้วบูมไปไหนละ จะพูดไปแล้วน้องเบสก็ไม่เห็น คงพากันดูทีวีในบ้านละมั่ง
แล้วเนสก็กดถูกใจรูปที่บูมลงเมื่อเช้า จากนั้นก็เลื่อนดูหน้าฟีดไปเรื่อยเปื่อย สักพักแชทของบูมก็เด้งขึ้นมา หลังจากที่เนสกดถูกใจไปไม่กี่นาที
“เนส สอบเสร็จยัง” เนสเปิดอ่านกำลังคิดว่าจะตอบกลับไปดีมั้ยนะ แต่เนสอีกคนก็บอกให้เนสตอบกลับไป
“อือ กลับมาบ้านแล้ว”
เนสตอบกลับไปข้อความขึ้นคำว่าอ่านแล้ว แต่คนปลายทางไม่ได้ตอบกลับมา พอเนสมองไปบ้านบูมก็เห็นบูมออกมานั่งเล่นที่แคร่หน้าบ้านกับปู่ย่าและพ่อกับแม่แล้ว จากนั้นก็ตามด้วยน้องเบสเดินตามหลังออกมา
เนสนั้งเล่นที่หน้าบ้านรอยายกลับมา จากที่นั่งหันหน้าไปทางบ้านบูม พอเห็นบูมเดินออกมาหน้าบ้านเนสก็เปลี่ยนท่านั่งใหม่ โดยนั่งหันหลังให้บ้านย่าบูม หันหน้าไปทางบ้านข้างๆอีกหลัง
สักพักก็มีมอเตอร์ไซต์วิ่งมาจอดหน้าบ้าน คนขับเป็นเด็กน้อยน่าจะประมาณ ป.5-6 แต่ตัวสูงพอสมควร พอที่จะบังคับมอเตอร์ไซต์ทั้งคันได้ เนสนึกถึงความปลอดภัย เด็กแค่นี้ทำไมพ่อแม่ปล่อยให้ใช้รถมอเตอร์ไซต์นะ คนซ้อนคือยายจันทร์ ยายกลับจากบ้านญาติอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกล ขับรถไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว
“อ้าวน้าจันทร์ ไปไหนมาล่ะนั้น”
วิบูรณ์ถามเพื่อนบ้านอย่างคุ้นเคย ลูกสาวยายจันทร์อายุน้อยกว่าตนเองไม่กี่ปี จบม.3 ก็เข้ากรุงเทพไปหางานทำ ส่วนเขาเองพ่อแม่ให้เรียนต่อ พ่อแม่ไม่ได้มีเงินอะไรมากมาย แต่ก็พยายามส่งเขากับน้องสาวให้ได้เรียนถึง ม.6 จากนั้นเขาก็เข้ากรุงเทพหาเงินส่งตัวเองเรียนต่อจนจบ
“อ้าวเฮ้ย วิบูรณ์ไปไงมาไง มาส่งไอ้บูมมาอยู่กับตาสนเหรอ”
จากที่ยายจันทร์จะเดินเข้าบ้านตัวเอง กลับเปลี่ยนเป็นเดินเข้าบ้านยายก้านแทน วิบูรณ์กับภรรยายกมือไหว้ยายจันทร์เป็นการทักทายครั้งแรก รวมทั้งบูมด้วย มาตั้งแต่เมื่อเช้ายังไม่เห็นยายจันทร์เลย
“เป็นยังไงสบายดีมั้ยเอง”
“สบายดีน้า แล้วน้าละเป็นไงบ้าง แข็งแรงดีมั้ย”
วิบูรณ์ไม่พูดเฉยๆเดินไปค้องแขนยายจันทร์ให้มานั้งลงบนแคร่ด้วยกัน วิบูรณ์คิดกับยายจันทร์เหมือนแม่คนนึง สมัยเด็กๆพ่อแม่ไม่อยู่บ้าน เขากับน้องสาวก็ได้ยายจันทร์นี่แหละดูแล
เนื่องจากลูกๆยายจันทร์จบแค่มัธยมศึกษาภาคบังคับ แล้วลงไปทำงานที่กรุงเทพ ส่งเงินมาให้ยายจันทร์ทุกเดือน ส่วนเขากับน้องสาวเรียนต่อมัธยมปลาย พ่อแม่เดือดร้อนเรื่องเงินก็ได้ยายจันทร์หยิบยื่นช่วยเหลือ
พอเขาลงไปทำงานที่กรุงเทพ ก็มีลูกๆของยายจันทร์คอยช่วยเหลืออีกด้วย ตอนนี้เขาได้ดีมีชัย เขาจะลืมแม่คนนี้ได้ไง เวลามาบ้านเกิดเขาได้อะไรมา เขาไม่ลืมที่จะแบ่งไปให้ยายจันทร์ด้วยทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“ข้าก็ป่วยออดแอดๆตามอายุนี่แหละ” ยายจันทร์มีรูปร่างท้วม ต่างจากยายก้านที่มีรูปร่างผอมแห้ง แต่ทั้งสองก็แข็งแรงพอสมควร
“โห!! รถใหม่เองละสิ ป้ายแดงมาเลย อย่าลืมเอาไปแทงหวยนา”
“ไม่พลาดอยู่แล้วน้า ไปลองนั่งมั้ย”
“ฮื่อๆ “ ยายจันทร์โบกมือขี้เกียจไป แค่นั่งชมอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว
สองเพื่อนบ้านนั่งสนทนากันไป ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบซึ่งกันและกัน ถามโน่นถามนี่ ยายจันทร์นึกได้ว่ายังไม่ได้แนะนำหลานสาวให้รู้จักเลย
“เนสเอ้ย เนสมานี่หน่อยลูก” ยายจันทร์เรียกหลานสาวให้มาทำความรู้จักหน่อย
“ลูกไอ้นิดเหรอน้า คนโตหรือคนเล็กนั่น”
วิบูรณ์ถามยายจันทร์เมื่อมองเห็นเด็กสาวตัวบางๆ ผอมๆ ขาวๆเดินมุ่งหน้ามาทางบ้านตัวเอง ดูแล้วอายุน่าจะราวๆลูกชาย ถ้าจะห่างกันก็น่าจะไม่เกินปีเดียว
“คนเล็กมัน”
“ไหว้ลุงหน่อยลูก ลุงบูรณ์พ่อไอ้บูมมัน ส่วนนี่ป้าเจี๊ยบแม่ไอ้บูม”
ยายจันทร์แนะนำสองคนให้กับหลานสาว เนสยกมือไหว้ทั้งสองคนอย่างนอบน้อม ส่วนวิบูรณ์กับภรรยาก็รับไหว้อย่างเอ็นดู
“ลุงกับป้าน้องน้องเบส” เด็กน้อยแย้งตามประสาเด็ก แล้วเอามือไปเกาะแขนผู้เป็นลุงไว้
“เอ้อ! ป้ากับลุงเองนั้นแหละเบส” ทุกคนหัวเราะชอบใจกันใหญ่
“น้าจันทร์ไม่ต้องทำกับข้าวนะ มากินข้าวเย็นด้วยกันพี่บูรณ์ซื้อกับข้าวมาเยอะแยะ” แม่ของบูมเรียกยายจันทร์ว่าน้าตามผู้เป็นสามี
“ใช่ยาย วันนี้มากินข้าวเย็นด้วยกัน กับข้าวเยอะแยะเศรษฐีเลี้ยง” ตาสนพูดหยอกลูกชาย
“โหย! พ่อถ้าผมเป็นเศรษฐีก็ดีสิ พ่อแม่คงสบายกว่านี้ แล้วผมจะลาออกจากการเป็นครูมานอนเล่นอยู่บ้านเฉยๆ”
19.00 น. ของวันนี้กับข้าวถูกวางไว้บนเสื่อกกที่ปูไว้หน้าบ้าน หากจะนั้งบนแคร่ไม่พอสมาชิกทุกคน มีทั้งส้มตำ ปลาเผาสองตัว ยำวุ้นเส้น ข้าวเหนียว กุ้งเผา หอยลวกซีฟู้ด และกับข้าวอื่นๆอีกมากมาย พร้อมเบียร์อีกสองสามสี่ขวด พ่อของบูม และ ลูกพี่ลูกน้องของพ่ออีกสองคนกินด้วยกัน
นอกจากสมาชิกในบ้านของยายก้าน ยายจันทร์แล้วยังมีสมาชิกบ้านน้องสาวของตาสนอีกสามสี่คน เป็นเรื่องปกติที่ลูกชายกลับมาบ้านจะต้องสังสรรค์กันแบบนี้
“เอ้า บูม”
อา ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อยื่นแก้วเบียร์ให้หลาน ไม่ได้แกล้งตั้งใจยื่นให้จริง บูมส่ายหัวไม่รับ ยังกลัวพ่อว่าอยู่ดี ให้เขาขึ้น ม.ปลายก่อนเถอะ เขาจะกินแบบเปิดเผย
“บูมมันไม่กินหรอก มันไปแอบกินที่อื่นนู้น”
ผู้เป็นพ่อพูดเหมือนเคยเห็น แต่มันก็เป็นแบบที่พ่อพูดนั้นแหละ บูมแอบกินไม่ให้พ่อกับแม่เห็น กลัวว่าจะโดนพ่อกับแม่ดุ
วันนี้ที่บ้านย่าจะดูครึกครื้นผิดปกติกว่าทุกวัน เป็นเพราะพ่อแม่ของเขามาด้วย เพื่อนบ้านอีกหลายๆคนผ่านมาก็ร้องตะโกนทักทายพ่อ
ส่วนบูมเนสน้องเบสก็ก้มหน้าก้มตากินปลาเผา กุ้งเผา อย่างอร่อย แม้บูมจะไปกินมาแล้ววันก่อน ก็ไม่ทำให้เบื่อเลยเพราะมันคือเมนูโปรดของเขา
แม่ ย่า ปู่ และก็ยายจันทร์ ก็คุยกันตามประสาผู้ใหญ่ กินไปกินมาย่าก็หยุดกิน ทั้งที่กินไปนิดเดียว
“อิ่มแล้วเหรอแม่ กับข้าวเหลือตั้งแยะ หนูเห็นแม่พึ่งกินไปนิดเดียวเองนะคะ”ผู้เป็นสะใภ้ถาม เพราะเห็นแม่พึ่งกินไปนิดเดียวเอง