ขอเล่าเรื่องของ Rwanda ต่อจากกระทู้แรกนะคะ
ไหนๆ ก็เดินทางข้ามทะเลข้ามน้ำมาถึง Kagali แล้ว จะไม่มาที่ Genocide Memorial ไม่ได้ค่ะ เพราะเป็นสถานที่ๆ เก็บความหลังอันแสนโหดร้ายและเจ็บปวดของชาวรวันดา จากเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปี 1994 (ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน ถึงวันที่ 15 กรกฏาคม)
เอมี่กับสามีนัด Charles ไกด์ของเราให้มารับที่โรงแรมตอน 9 โมงเช้า เพื่อที่จะไป Memorial แห่งนี้ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 15 นาที ดังนั้น เราคาดว่าคงจะใช้เวลาที่ Memorial ถึงประมาณเที่ยง แล้วค่อยเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่อไป (ที่ไหนนั้น ตามอ่านในกระทู้ถัดไปนะคะ) ก่อนที่เราจะไปที่นั่นกัน สามีพูดให้เอมี่ฟังเกี่ยวกับ Genocide หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้ เป็นการปูทางความรู้ให้นิดหน่อย และเพื่อให้เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม กับสื่งที่จะได้รู้และได้เห็น แค่รู้ว่ามีศพของพวกที่เสียชีวิตจำนวน 250,000 ศพฝังอยู่ที่ Memorial แห่งนี้ เอมี่ก็ขนลุกแล้ว
เราสองคนใช้เวลาอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะได้รับรู้ถึงความจริง ซึ่งชาวรวันดายอมรับและประกาศให้โลกรู้อย่างชัดเจน และหว้งว่าคงจะไม่มีเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกไม่ว่าที่ไหนในโลกนี้ก็ตาม "Never again"
เอมี่ขอเล่าตามที่ได้ไปสัมผัสมาด้วยตนเองนะคะ ที่ Memorial จัดทำได้ดีมากค่ะ แสดงข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนกระทั่งจุดสิ้นสุด พร้อมภาพประกอบอย่างชัดเจน และการฟื้นฟูประเทศให้กลับมาเหมือนเดิม
ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้ รวันดาซึ่งเคยตกอยู่ในอาณานิคมของเยอรมันและเบลเบี่ยม มีประชากรที่ประกอบด้วยชนเผ่า 3 ชนเผ่า ได้แก่ Hutu เป็นชนเผ่าใหญ่ (85%) และชนเผ่าน้อย Tutsi (14%) และ Twa (1%) ทั้งเยอรมันและเบลเยี่ยมให้ความสำคัญกับชนเผ่า Tutsi มากกว่าชนเผ่า Hutu เนื่องจากเห็นว่าพวก Tutsi ฉลาดกว่า Hutu ที่เป็นชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ พวก Tutsi จึงได้รับการศึกษาและได้ทำงานที่ดีกว่าพวก Hutu ทำให้พวก Hutu เกิดความอิจฉา และเกลียดชังพวก Tutsi เป็นอย่างมาก นี่คือจุดเริ่มต้นของการที่พวก Hutu วางแผนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวก Tutsi เพื่อกำจัดชนเผ่านี้ให้หมดไปจากประเทศ
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นี้ เริ่มเกิดขึ้นที่เมืองหลวง Kigali ก่อน แล้วลุกลามไปยังเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ จุดชนวนของการฆ่ากันคือ เครื่องบินที่ประธานาธิบดีรวันดาและ Burundi (ประเทศหนึ่งในแอฟริกา อยู่ติดกับทางตอนใต้ของรวันดา) โดยสารอยู่ ถูกยิงตกและทำให้ประธานาธิบดีของทั้งสองประเทศเสียชีวิต ซึ่งทั้งสองคนเป็นชนเผ่า Hutu โดยจับตัวคนร้ายหรือคนบ่งการไม่ได้ นี่คือการจัดฉาก เพื่อที่พวก Hutu จะได้ลงมือฆ่าพวก Tutsi โดยพวก Hutu โจมตีว่าพวก Tutsi อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เครื่องบินถูกยิงตกดังกล่าว และเริ่มลงมือฆ่าพวก Tutsi ทุกคน ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้เคยเป็นญาติ เป็นเพื่อน เป็นคนรู้จักที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน กลับมาฆ่าฟันกันเอง มีคนเสียชีวิตประมาณ 800,000 ถึง 1 ล้านคน และมีคนอพยพออกนอกประเทศกว่า 2 ล้านคน ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่ามีการฆ่าคนในประเทศเดียวกันยาวนานกว่า 3 เดือน และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 25 ปีที่แล้วนี้เอง สะเทือนใจมากค่ะ
ปัจจุบันนี้ ไม่มีการแบ่งแยกชนเผ่าใดๆ ในรวันดาอีกต่อไป ประชาชนทุกคนเป็นชาวรวันดา (Rwandans) เอมี่สอบถามไกด์ว่าเขาสามารถบอกได้หรือไม่ว่าคนไหนเป็น Hutu คนไหนเป็น Tutsi ไกด์ตอบว่าได้ เขาสามารถบ่งบอกว่าใครเป็นชนเผ่าไหนได้จากรูปร่าง หน้าตา (เอมี่กับสามีไม่สามารถแยกออกได้ว่าใครเป็นชนเผ่าไหน เพราะทุกคนดูหน้าตาคล้ายกันหมด) แต่ไม่มีใครพูดถึงเผ่าพันธุ์อีกต่อไป เพราะมีกฏหมายห้ามเอาไว้อย่างชัดเจน
เอมี่ไม่ได้ถ่ายรูปสถานที่มานะคะ เพราะมันน่าเศร้าสลดใจมาก แต่มันเป็นความจริงที่โลกต้องจดจำ และจะต้องไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก
ถ้าใครสนใจ อยากได้ความรู้เพิ่มเติม ลองเข้าไปที่ www.kgm.rw
หรือถ้ามีโอกาสได้ไป Rwanda ต้องไปที่ Genocide Memorial แห่งนี้ให้ได้นะคะ
Rwanda: Kigali Genocide Memorial
ไหนๆ ก็เดินทางข้ามทะเลข้ามน้ำมาถึง Kagali แล้ว จะไม่มาที่ Genocide Memorial ไม่ได้ค่ะ เพราะเป็นสถานที่ๆ เก็บความหลังอันแสนโหดร้ายและเจ็บปวดของชาวรวันดา จากเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปี 1994 (ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน ถึงวันที่ 15 กรกฏาคม)
เอมี่กับสามีนัด Charles ไกด์ของเราให้มารับที่โรงแรมตอน 9 โมงเช้า เพื่อที่จะไป Memorial แห่งนี้ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 15 นาที ดังนั้น เราคาดว่าคงจะใช้เวลาที่ Memorial ถึงประมาณเที่ยง แล้วค่อยเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่อไป (ที่ไหนนั้น ตามอ่านในกระทู้ถัดไปนะคะ) ก่อนที่เราจะไปที่นั่นกัน สามีพูดให้เอมี่ฟังเกี่ยวกับ Genocide หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้ เป็นการปูทางความรู้ให้นิดหน่อย และเพื่อให้เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม กับสื่งที่จะได้รู้และได้เห็น แค่รู้ว่ามีศพของพวกที่เสียชีวิตจำนวน 250,000 ศพฝังอยู่ที่ Memorial แห่งนี้ เอมี่ก็ขนลุกแล้ว
เราสองคนใช้เวลาอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะได้รับรู้ถึงความจริง ซึ่งชาวรวันดายอมรับและประกาศให้โลกรู้อย่างชัดเจน และหว้งว่าคงจะไม่มีเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกไม่ว่าที่ไหนในโลกนี้ก็ตาม "Never again"
เอมี่ขอเล่าตามที่ได้ไปสัมผัสมาด้วยตนเองนะคะ ที่ Memorial จัดทำได้ดีมากค่ะ แสดงข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนกระทั่งจุดสิ้นสุด พร้อมภาพประกอบอย่างชัดเจน และการฟื้นฟูประเทศให้กลับมาเหมือนเดิม
ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้ รวันดาซึ่งเคยตกอยู่ในอาณานิคมของเยอรมันและเบลเบี่ยม มีประชากรที่ประกอบด้วยชนเผ่า 3 ชนเผ่า ได้แก่ Hutu เป็นชนเผ่าใหญ่ (85%) และชนเผ่าน้อย Tutsi (14%) และ Twa (1%) ทั้งเยอรมันและเบลเยี่ยมให้ความสำคัญกับชนเผ่า Tutsi มากกว่าชนเผ่า Hutu เนื่องจากเห็นว่าพวก Tutsi ฉลาดกว่า Hutu ที่เป็นชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ พวก Tutsi จึงได้รับการศึกษาและได้ทำงานที่ดีกว่าพวก Hutu ทำให้พวก Hutu เกิดความอิจฉา และเกลียดชังพวก Tutsi เป็นอย่างมาก นี่คือจุดเริ่มต้นของการที่พวก Hutu วางแผนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวก Tutsi เพื่อกำจัดชนเผ่านี้ให้หมดไปจากประเทศ
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นี้ เริ่มเกิดขึ้นที่เมืองหลวง Kigali ก่อน แล้วลุกลามไปยังเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ จุดชนวนของการฆ่ากันคือ เครื่องบินที่ประธานาธิบดีรวันดาและ Burundi (ประเทศหนึ่งในแอฟริกา อยู่ติดกับทางตอนใต้ของรวันดา) โดยสารอยู่ ถูกยิงตกและทำให้ประธานาธิบดีของทั้งสองประเทศเสียชีวิต ซึ่งทั้งสองคนเป็นชนเผ่า Hutu โดยจับตัวคนร้ายหรือคนบ่งการไม่ได้ นี่คือการจัดฉาก เพื่อที่พวก Hutu จะได้ลงมือฆ่าพวก Tutsi โดยพวก Hutu โจมตีว่าพวก Tutsi อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เครื่องบินถูกยิงตกดังกล่าว และเริ่มลงมือฆ่าพวก Tutsi ทุกคน ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้เคยเป็นญาติ เป็นเพื่อน เป็นคนรู้จักที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน กลับมาฆ่าฟันกันเอง มีคนเสียชีวิตประมาณ 800,000 ถึง 1 ล้านคน และมีคนอพยพออกนอกประเทศกว่า 2 ล้านคน ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่ามีการฆ่าคนในประเทศเดียวกันยาวนานกว่า 3 เดือน และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 25 ปีที่แล้วนี้เอง สะเทือนใจมากค่ะ
ปัจจุบันนี้ ไม่มีการแบ่งแยกชนเผ่าใดๆ ในรวันดาอีกต่อไป ประชาชนทุกคนเป็นชาวรวันดา (Rwandans) เอมี่สอบถามไกด์ว่าเขาสามารถบอกได้หรือไม่ว่าคนไหนเป็น Hutu คนไหนเป็น Tutsi ไกด์ตอบว่าได้ เขาสามารถบ่งบอกว่าใครเป็นชนเผ่าไหนได้จากรูปร่าง หน้าตา (เอมี่กับสามีไม่สามารถแยกออกได้ว่าใครเป็นชนเผ่าไหน เพราะทุกคนดูหน้าตาคล้ายกันหมด) แต่ไม่มีใครพูดถึงเผ่าพันธุ์อีกต่อไป เพราะมีกฏหมายห้ามเอาไว้อย่างชัดเจน
เอมี่ไม่ได้ถ่ายรูปสถานที่มานะคะ เพราะมันน่าเศร้าสลดใจมาก แต่มันเป็นความจริงที่โลกต้องจดจำ และจะต้องไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก
ถ้าใครสนใจ อยากได้ความรู้เพิ่มเติม ลองเข้าไปที่ www.kgm.rw
หรือถ้ามีโอกาสได้ไป Rwanda ต้องไปที่ Genocide Memorial แห่งนี้ให้ได้นะคะ