"ทางสายกลาง" มัชฌิมาปฏิปทา เส้นทางของพระพุทธเจ้า
ทางสายกลาง คือ เราจะต้องคำนึงถึงความจริงแห่งอริยสัจจ์ คือ ความจริงที่เหมาะสมกับเหตุของภูมินั้นๆ ถึงจะเรียกว่า ทางสายกลาง
จะสุดโต่งก็ไม่ได้ จะหย่อนยานก็ไม่ได้ ต้องให้ "พอดี" กับ "เหตุ" ตรงนั้น
ก็จะประคองได้ไปเรื่อยๆ พอมาจุด ๒ เราก็ประคองให้พ้นจุด ๒ และพอถึงจุด ๒ ก็ขึ้น จุด ๓ ได้ แต่ถ้าเราไปสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่งก็ตก ก็ไม่ผ่าน
ทางสายกลาง พูดกันตรงๆ เลย ก็คือ "ความสันโดษ"
แต่คนทั่วไปไปแปล "สันโดษ" ผิดหมด ไปแปลว่าไม่เอาอะไรเลย อย่างนี้ไม่ใช่
"สันโดษ" แปลว่า "สมควรแก่เหตุ" เหมาะแก่เหตุในภูมินั้นๆ
สมมติว่า เราอยู่ในภูมิชั้น ๒ แล้วเราจะต้องกินอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ จะต้องไปทำงานที่หนัก และทางไกล แต่จะต้องมากินอาหารเจ (齋) ต้องมาห่ออาหารไปด้วย ฯลฯ เราจะไม่ไหวเอาได้
แต่ถ้าบอกว่าสันโดษ คนจะเข้าใจผิดไปเรื่อย เพราะว่าคนแปลแล้วฟังมาผิดหมด บางคนก็บอกว่าจะต้องไปอยู่กระต๊อบ บ้านกระท่อมปลายนา ไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับใคร
ความสันโดษนี้คนเราจะต้องใช้อยู่เป็นประจำทุกวัน เป็นธรรมะที่สำคัญมาก ที่จะต้องใช้ตลอดเวลา แต่คนไปแปลผิด ไปยกซะสูงหมด
ทางสายกลาง จะต้องถูกต้องตามภาวะธรรมนั้นๆ เราอยู่ในภูมิแค่นี้ เราก็ต้องมีธรรมะแค่นี้
แม้แต่เป็นพระภิกษุเหมือนกัน แต่ทางสายกลางนั้นไม่เหมือนกัน แต่ละรูปก็ไม่เหมือนกัน เพราะแต่ละรูปมีเจตนาไม่เหมือนกัน แต่มีหลักเดียวกัน คือ หลักธรรม เราอย่าลืมอริยสัจจ์แห่งภูมินั้นๆ ถ้าฝืนอริยสัจจ์ก็ฝืนความจริงแห่งธรรมนั้นๆ จะดีได้ยังไง? ไม่มีทาง!!
พระพุทธเจ้าอดอาหาร พระพุทธเจ้าเห็นว่าไม่ใช่อริยสัจจ์แห่งภูมิ พระพุทธองค์ถอยเลย แล้วพระพุทธเจ้ามาเริ่มเสวยอาหารใหม่ หันมาเอาธรรมะที่เหมาะกับภูมิ ไม่เอาเกินไป ไม่เอาสมาธิที่เลยเถิด เอาแค่ตรงนั้น แล้วเอาพลังสมาธิมาเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ค้นหาสาเหตุได้
ณ ตอนนั้น ก่อนที่จะตรัสรู้ พระพุทธเจ้าคิดยังไง ตอนบำเพ็ญทุกรกิริยา?
ตอนที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญทุกรกิริยานั้น จุดประสงค์เพื่อไปลอกเลียนแบบเขา เพราะตอนนั้นถูกอิทธิพลเลียนแบบ พวกฤาษีจะต้องไปนั่ง ท่านก็เลยทำตามว่าอย่างนี้ถูกต้องไหม? จะเอาแบบ เลียนแบบ
พอทำตามแบบไปแล้ว มันไม่ใช่ พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้แก้ทุกข์ไม่ได้ เพราะออกจากสมาบัติก็ทุกข์อีก (สมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔, อรูปฌาน ๔) แต่ครั้นจะอยู่แต่สมาบัติก็เป็นไปไม่ได้ ฝืนความจริง แล้วพระพุทธเจ้าก็จะมาค้นหาว่า จะเอาอะไรดีล่ะ? แล้วจะทำยังไงแก้ทุกข์
พระพุทธเจ้าก็เจริญธรรมะขึ้นมา แล้วคิดในใจว่า
ทุกข์มาจากไหน?
"ทุกข์" มาจาก "เหตุ" แล้วทำไมเราไม่แก้ที่ "เหตุ" แล้วเราไปนั่งสมาธิแล้วเราจะไปแก้ที่เหตุได้ยังไง? ก็แก้ไม่ได้ นี่แหละ จึงเป็นที่มาของวิปัสสนากรรมฐาน คือ แทนที่จะไปนั่งสมาธิเฉยๆ แต่เอาความเป็นพลังของสมาธิขั้นที่ ๓ นี้ กำลังนี้ไปขบคิดพิจารณาว่า
ตรงที่ "ทุกข์" นี้ มีเหตุจากไหน?
เหตุนั้นเป็นได้ยังไง?
วิธีที่จะแก้เหตุทำยังไง?
วิธีแก้ก็คืออริยสัจ ๔ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ซึ่งหลักการอริยสัจ ๔ อยู่ในธรรมชาติอยู่แล้ว แต่พระพุทธเจ้าไปค้นพบเจอ
แต่ทางพราหมณ์มีอริยสัจ ๔ ไหม?
ทางพราหมณ์ก็มีอริยสัจ ๔ เหมือนกัน แต่ทางพราหมณ์เขาไม่ได้เน้น แต่ช่วงหลังของพราหมณ์จะเน้นเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า แล้วจะดีเอง
เหมือนกับทางพระพุทธศาสนามหายาน (大乘) นิกายสุขาวดี (淨土宗) เข้าถึง อมิตพุทธ (阿彌陀佛) ก็จะดีเอง
เหมือนกับทางศาสนาอิสลาม (Islam) เข้าถึงอัลเลาะห์ ก็จะดีเอง
ทางคริสต์ (Christ) ก็บอกว่า เข้าไปอยู่กับพระเจ้า ก็จะดีเอง
"ดี" ยังไง? ข้างในมี "เหตุ" แต่เขาไม่สาธยาย
แต่พระพุทธเจ้าเอามาสาธยาย และก็เน้น เน้นว่ามันอยู่ตรงนี้ เหตุอยู่ตรงนี้ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ ถ้ามีตรงนี้ก็ไม่จำเป็นต้องถึงพระเจ้า (God) เพราะว่าพระเจ้าก็ต้องใช้หลักนี้
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตั้งคำว่า "วิปัสสนากรรมฐาน" ขึ้นมา
ต้องพูดให้ครบๆ ไม่ใช่ "วิปัสสนา" อย่างเดียว เพราะว่า "วิปัสสนา" นั้นแปลว่า การขบคิด พิจารณา จะต้องมาขบคิดอะไร? มาขบคิดฐานแห่งกรรม กรรมก็คือการกระทำ ทุกครั้งที่เรากระทำจะต้องมีฐาน
วิปัสสนากัมมัฏฐาน แปลว่า เห็นแจ้งพื้นฐานของการกระทำ, การทำให้แจ้งซึ่งฐานแห่งเหตุของการกระทำ เหตุทำให้เป็นผล เห็นแห่งการเกิด เกิดเป็นผล เป็นผลเป็นเหตุ เหตุแห่งเป็นผลต่อเนื่องเป็นไป โดยวิถีแห่งธรรมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หัวใจวิปัสสนากรรมฐาน คือ เป็นการค้นหาตามความเป็นจริงอริยสัจ ๔ ด้วยยุทธศาสตร์วิธีแห่งโยนิโสมนสิการ จากเริ่มต้นไปหาสุดท้าย และสุดท้ายวนกลับมาเป็นชั้นๆ ขึ้น นี่แหละ วิปัสสนากรรมฐาน
ฉะนั้น เราเข้าใจความหมายวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ถ้าเราไปนั่งหลับตาทำสมาธิแล้วไม่ต้องไปคิดอะไร แล้วจะกลายเป็นวิปัสสนากรรมฐานไม่ได้
โยนิโสมนสิการ คือ การคิดพิจารณาตั้งแต่เหตุไปถึงผล ผลไปถึงเหตุ ให้ครบวงจรตามภาวะจริงแท้แห่งธรรม
"ฐาน" ก็คือ "เหตุ"
พอ "ผล" มันปรากฏออกมาไม่ดี ก็ต้องมาดูที่ "เหตุ" ก็จะรู้แล้ว
อ๋อ...เราทำ "เหตุ" นี้ จึงปรากฏ "ผล" เช่นนี้
เปลี่ยนเหตุซะ ผลก็ต้องเปลี่ยน นี่แหละพระพุทธเจ้าคิดอย่างนี้ขึ้นมา
พระพุทธเจ้าก็นำมาทดลองกับตนเอง แล้วก็ได้ผล เข้าใจมากขึ้น พอได้ผลก็ออกมาเผยแผ่แล้ว พยายามเน้น
ตอนที่ว่าตรัสรู้ ไม่ใช่ว่า ไปนั่งทำสมาธิแล้วตรัสรู้ อย่างนี้ไม่ใช่ คนเข้าใจผิด วันนั้นพระองค์จะทบทวนสรุป สรุปว่าอย่างนี้ทุกต้อง ๑๐๐% แล้วล่ะ แน่นอนล่ะ จะใช้หลักฯอันนี้ล่ะ ไม่สะเปะสะปะว่าหลักโน้นหลักนี้ล่ะ
แล้วยังจะมีหลักโน้น หลักนี้อีกเหรอ?
มีเยอะแยะไปหมด เดี๋ยวก็จะไปเจอตรงนั้นจะดีไหมว่ะ? อันนี้ก็จะดีไหมว่ะ?
วันที่ตรัสรู้ก็คือ เป็นวันที่ไปตัดสินใจ ตัดสินใจของท่านว่า จะสรุปเป็นอย่างนี้ ๑-๒-๓-๔ มั่นคงอย่างนี้แล้ว เรียกว่า สรุปกำปั้นทุบดิน ดีแล้ว ยึดหลักนี้แล้ว ตรัสรู้แล้ว สรุปได้แล้ว พอสรุปได้ก็ปั้บ!! ก็ประกาศ
แล้วท่านก็มาคำนึงในใจว่า โอ!! หลักนี้มันยาก
พระพรหมธาดาก็มาอาราธนา มาบอกว่า ประชาชนก็เปรียบเสมือนกับดอกบัว ๔ เหล่า พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เออ...จริง
ก็รำลึกว่า บัวบางเหล่าก็ยังรออยู่ บางเหล่าก็ยังไม่พร้อม แต่ก็สามารถพัฒนาได้จากเหล่าที่ ๑ ไปถึงเหล่าที่ ๔ ได้ จึงตัดสินใจ ใช้หลักนี้เผยแผ่
เปรียบเทียบคนกับดอกบัว ๔ เหล่า
กว่าจะมาเป็นบัวได้นั้น จะต้องมีการไต่เต้ามาตั้งแต่เล็กๆ ตั้งแต่ยังอยู่โคลมตม ผุดแทงหน่อขึ้นมาเป็นบัวใต้น้ำ ปริ่มน้ำ และพ้นน้ำ เช่นเดียวกับเรา เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์เราต้องเอาเยี่ยงอย่างบัว เกิดมาจากอวิชชา ความไม่รู้แจ้ง ก็กระทำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นสภาพตามความเป็นจริงของธรรม
ดอกบัวสี่เหล่านี้ ทุกๆ คน สามารถมีทั้งหมด ๔ เหล่านี้อยู่ในตัว เช่น บางคนเป็นช่างซ่อมรถ เมื่อมีผู้รู้พูดถึงเกี่ยวกับรถ เข้าก็เข้าใจได้ง่าย ไม่ต้องอธิบายมาก เป็นอุคคฏิตัญญู แต่ถ้าพูดเรื่องการวาดภาพ ซึ่งช่างรถไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน อธิบายยังไงเขาก็ไม่เข้าใจ ดอกบัว ๔ เหล่า มีดังนี้
ดอกบัวเหล่าที่ ๑ โคลนตม คือ เหลวใหล ไม่จริงจัง มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีจุดหมาย ประเภทหลงทาง เรื่อยเฉย ไปตามสภาวะรูปธรรม (จะคิดถึงตัวเอง)
พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าและปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ)
ดอกบัวเหล่าที่ ๒ มีการริเริ่ม รู้จักเอามาเสียดายเวลา ความรู้สึกริเริ่ม มีความรู้สึกล่ะ ริเริ่มสัมมา อยากให้มีสาระมากขึ้น อยากจะรู้ (จะคิดถึงตัวเอง)
พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ)
ดอกบัวเหล่าที่ ๓ กระตือรือร้น อยากเปลี่ยนแปลง อยากแก้ไขสิ่งที่ถูกต้อง อยากทำอะไรให้มีสาระ เริ่มเห็นประโยชน์ อยากรู้อยากเห็น จะตั้งเป้าหมาย จุดหมาย เห็นประโยชน์ว่าตนเองเป็นคนทำ
พวกที่มีสติปัญญาดี เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปจิตัญญู)
ดอกบัวเหล่าที่ ๔ พ้นน้ำ รับแสงอาทิตย์ พยายามขบคิด ปุจฉา วิสัชนาอะไรต่างๆ วินิจฉัย พิจารณาสิ่งต่างๆ เตรียมตัวเข้าสู่ปรมัตถ์
พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที (อุคคฏิตัญญู)
พระพุทธเจ้าคิดว่า จะโปรดสัตว์แล้วมันยากตรงไหน?
ยากที่ว่า "คนรับความจริงไม่ได้"
พระพุทธเจ้าจะเน้นเรื่องความจริง
คนทั่วไปจะรับความจริงไม่ได้ เพราะว่ามันถูกสอนมาในเรื่องไม่รับความจริง แต่พระพุทธเจ้ามาปฏิวัติ (Revolutions) ความคิดเขา ใหม่ๆ พระพุทธเจ้าออกมาประกาศ ผู้คนด่าทอ ต่อว่าไปหมด คนก็จะเถียง กว่าจะให้คนเขายอมรับได้ไม่ใช่ง่ายๆ พระพุทธเจ้าต้องเดินสายไปเทศน์ ไปคุยกับผู้คนหลากหลาย จนในที่สุดกษัตริย์เห็นแล้วได้ทดลองแล้วก็ได้ผล จึงหันมาสนับสนุน เช่นแคว้นมหาอำนาจสมัยพุทธกาล ได้แก่ พระเจ้าพิมพิสาร แคว้นมคธ กรุงราชคฤห์ พระเจ้าปเสนทิโกศล แคว้นโกศล พระเจ้าอุเทน แคว้นวังสะ เมืองโกสัมพี พระเจ้าจันฑปัตโชติ แคว้นอวันตี เมืองอุชเชนี พระเจ้าลิจฉวี แคว้นวัชชี เมืองเวสาลี เป็นต้น
สมัยนั้นเข้าเรียกว่าพระพุทธเจ้าว่าเป็นกบฏ (rebellion) เปลี่ยนความคิดแนวใหม่
ตัวที่ตรัสรู้อย่าไปคิดจนเว่อร์ (over) คือเรียบเรียงมาแล้ว สรุปตัดสินใจมาแล้วว่าจะเอาอย่างนี้ไหม?
ตรัสรู้ก็คือ สรุปแล้วว่าจะเอาอย่างนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงแล้วในชาตินี้
หลักของพระพุทธเจ้ามี ๕ ข้อคือ
ข้อแรก เป็นหัวใจเลยก็คือ อริยสัจ ๔ คือจะต้องหาเหตุ ท่านประกาศเลยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากเหตุ
ดังปรากฏในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค บรรทัดที่ ๑๘๖๑-๑๘๘๓ หน้าที่ ๗๖-๗๗ ว่า
อิมัส๎มิง สะติ อิทัง โหติ อิมัสสุปปาทา อิทัง อุปปัชชะติ
อิมัส๎มิง อะสะติ อิทัง นะ โหติ อิมัสสะ นิโรธา อิทัง นิรุชฌะติ
คำแปล
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ
และอีกหนึ่งเหตุการณ์ คือ พระสารีบุตรได้ถามพระอัสสชิว่า "ใครเป็นศาสดาของท่าน ศาสดาของท่าน สอนไว้ว่าอย่างไร"
พระอัสสชิ ตอบว่า อาตมาเป็นพระบวชใหม่ ไม่อาจตอบธรรมะที่ลึกซึ้งได้ แต่จักกล่าวใจความสำคัญแก่ท่านโดยย่อว่า
เย ธัมมา เหตุปฺปะภะวา เยสัง เหตุง ตะถาคะโต อาหะ
เตสัญจะ โย นิโรโธ จะ เอวัง วาที มะหาสะมะโณติ ฯ
คำแปล
ธรรมทั้งหลายเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมทั้งหลายเหล่านั้น พระมหาสมณะเจ้า ทรงสั่งสอนอย่างนี้
ทำไมพระไตรลักษณ์ถึงไม่ใช่หัวใจของพระพุทธศาสนา?
ก็เพราะว่า พระไตรลักษณ์มีอยู่ในนั้นแล้ว อยู่ในธรรมอยู่แล้ว แต่ว่าจะมีกระบวนการอะไรที่จะเข้าไปสู่พระไตรลักษณ์ นั่นก็คืออริยสัจ ๔
ทำไมหลวงพ่อบางรูปบอกว่า ทางสายกลางก็คือปฏิจจสมุปบาท?
ปฏิจจสมุปบาทก็คือเครื่องมือตัวหลังมาวิเคราะห์ให้เห็น ให้เห็นว่าเราอยู่ภูมิไหน เราจะต้องทำอย่างไร? เราเป็นอะไร ก็ต้องใช้อริยสัจ ๔ จะแก้ยังไง
เราคิดว่าปฏิจจสมุปบาทไม่เห็นจะมาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราเลย?
ปฏิจจสมุปบาทเกี่ยวกับกับชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมากเลย เพราะว่าใช้ศัพท์ภาษาบาลี คนทั่วไปไม่เข้าใจก็เลยคิดว่าไม่เกี่ยว
"ทางสายกลาง" มัชฌิมาปฏิปทา เส้นทางของพระพุทธเจ้า
ทางสายกลาง คือ เราจะต้องคำนึงถึงความจริงแห่งอริยสัจจ์ คือ ความจริงที่เหมาะสมกับเหตุของภูมินั้นๆ ถึงจะเรียกว่า ทางสายกลาง
จะสุดโต่งก็ไม่ได้ จะหย่อนยานก็ไม่ได้ ต้องให้ "พอดี" กับ "เหตุ" ตรงนั้น
ก็จะประคองได้ไปเรื่อยๆ พอมาจุด ๒ เราก็ประคองให้พ้นจุด ๒ และพอถึงจุด ๒ ก็ขึ้น จุด ๓ ได้ แต่ถ้าเราไปสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่งก็ตก ก็ไม่ผ่าน
ทางสายกลาง พูดกันตรงๆ เลย ก็คือ "ความสันโดษ"
แต่คนทั่วไปไปแปล "สันโดษ" ผิดหมด ไปแปลว่าไม่เอาอะไรเลย อย่างนี้ไม่ใช่
"สันโดษ" แปลว่า "สมควรแก่เหตุ" เหมาะแก่เหตุในภูมินั้นๆ
สมมติว่า เราอยู่ในภูมิชั้น ๒ แล้วเราจะต้องกินอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ จะต้องไปทำงานที่หนัก และทางไกล แต่จะต้องมากินอาหารเจ (齋) ต้องมาห่ออาหารไปด้วย ฯลฯ เราจะไม่ไหวเอาได้
แต่ถ้าบอกว่าสันโดษ คนจะเข้าใจผิดไปเรื่อย เพราะว่าคนแปลแล้วฟังมาผิดหมด บางคนก็บอกว่าจะต้องไปอยู่กระต๊อบ บ้านกระท่อมปลายนา ไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับใคร
ความสันโดษนี้คนเราจะต้องใช้อยู่เป็นประจำทุกวัน เป็นธรรมะที่สำคัญมาก ที่จะต้องใช้ตลอดเวลา แต่คนไปแปลผิด ไปยกซะสูงหมด
ทางสายกลาง จะต้องถูกต้องตามภาวะธรรมนั้นๆ เราอยู่ในภูมิแค่นี้ เราก็ต้องมีธรรมะแค่นี้
แม้แต่เป็นพระภิกษุเหมือนกัน แต่ทางสายกลางนั้นไม่เหมือนกัน แต่ละรูปก็ไม่เหมือนกัน เพราะแต่ละรูปมีเจตนาไม่เหมือนกัน แต่มีหลักเดียวกัน คือ หลักธรรม เราอย่าลืมอริยสัจจ์แห่งภูมินั้นๆ ถ้าฝืนอริยสัจจ์ก็ฝืนความจริงแห่งธรรมนั้นๆ จะดีได้ยังไง? ไม่มีทาง!!
พระพุทธเจ้าอดอาหาร พระพุทธเจ้าเห็นว่าไม่ใช่อริยสัจจ์แห่งภูมิ พระพุทธองค์ถอยเลย แล้วพระพุทธเจ้ามาเริ่มเสวยอาหารใหม่ หันมาเอาธรรมะที่เหมาะกับภูมิ ไม่เอาเกินไป ไม่เอาสมาธิที่เลยเถิด เอาแค่ตรงนั้น แล้วเอาพลังสมาธิมาเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ค้นหาสาเหตุได้
ณ ตอนนั้น ก่อนที่จะตรัสรู้ พระพุทธเจ้าคิดยังไง ตอนบำเพ็ญทุกรกิริยา?
ตอนที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญทุกรกิริยานั้น จุดประสงค์เพื่อไปลอกเลียนแบบเขา เพราะตอนนั้นถูกอิทธิพลเลียนแบบ พวกฤาษีจะต้องไปนั่ง ท่านก็เลยทำตามว่าอย่างนี้ถูกต้องไหม? จะเอาแบบ เลียนแบบ
พอทำตามแบบไปแล้ว มันไม่ใช่ พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้แก้ทุกข์ไม่ได้ เพราะออกจากสมาบัติก็ทุกข์อีก (สมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔, อรูปฌาน ๔) แต่ครั้นจะอยู่แต่สมาบัติก็เป็นไปไม่ได้ ฝืนความจริง แล้วพระพุทธเจ้าก็จะมาค้นหาว่า จะเอาอะไรดีล่ะ? แล้วจะทำยังไงแก้ทุกข์
พระพุทธเจ้าก็เจริญธรรมะขึ้นมา แล้วคิดในใจว่า
ทุกข์มาจากไหน?
"ทุกข์" มาจาก "เหตุ" แล้วทำไมเราไม่แก้ที่ "เหตุ" แล้วเราไปนั่งสมาธิแล้วเราจะไปแก้ที่เหตุได้ยังไง? ก็แก้ไม่ได้ นี่แหละ จึงเป็นที่มาของวิปัสสนากรรมฐาน คือ แทนที่จะไปนั่งสมาธิเฉยๆ แต่เอาความเป็นพลังของสมาธิขั้นที่ ๓ นี้ กำลังนี้ไปขบคิดพิจารณาว่า
ตรงที่ "ทุกข์" นี้ มีเหตุจากไหน?
เหตุนั้นเป็นได้ยังไง?
วิธีที่จะแก้เหตุทำยังไง?
วิธีแก้ก็คืออริยสัจ ๔ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ซึ่งหลักการอริยสัจ ๔ อยู่ในธรรมชาติอยู่แล้ว แต่พระพุทธเจ้าไปค้นพบเจอ
แต่ทางพราหมณ์มีอริยสัจ ๔ ไหม?
ทางพราหมณ์ก็มีอริยสัจ ๔ เหมือนกัน แต่ทางพราหมณ์เขาไม่ได้เน้น แต่ช่วงหลังของพราหมณ์จะเน้นเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า แล้วจะดีเอง
เหมือนกับทางพระพุทธศาสนามหายาน (大乘) นิกายสุขาวดี (淨土宗) เข้าถึง อมิตพุทธ (阿彌陀佛) ก็จะดีเอง
เหมือนกับทางศาสนาอิสลาม (Islam) เข้าถึงอัลเลาะห์ ก็จะดีเอง
ทางคริสต์ (Christ) ก็บอกว่า เข้าไปอยู่กับพระเจ้า ก็จะดีเอง
"ดี" ยังไง? ข้างในมี "เหตุ" แต่เขาไม่สาธยาย
แต่พระพุทธเจ้าเอามาสาธยาย และก็เน้น เน้นว่ามันอยู่ตรงนี้ เหตุอยู่ตรงนี้ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ ถ้ามีตรงนี้ก็ไม่จำเป็นต้องถึงพระเจ้า (God) เพราะว่าพระเจ้าก็ต้องใช้หลักนี้
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตั้งคำว่า "วิปัสสนากรรมฐาน" ขึ้นมา
ต้องพูดให้ครบๆ ไม่ใช่ "วิปัสสนา" อย่างเดียว เพราะว่า "วิปัสสนา" นั้นแปลว่า การขบคิด พิจารณา จะต้องมาขบคิดอะไร? มาขบคิดฐานแห่งกรรม กรรมก็คือการกระทำ ทุกครั้งที่เรากระทำจะต้องมีฐาน
วิปัสสนากัมมัฏฐาน แปลว่า เห็นแจ้งพื้นฐานของการกระทำ, การทำให้แจ้งซึ่งฐานแห่งเหตุของการกระทำ เหตุทำให้เป็นผล เห็นแห่งการเกิด เกิดเป็นผล เป็นผลเป็นเหตุ เหตุแห่งเป็นผลต่อเนื่องเป็นไป โดยวิถีแห่งธรรมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หัวใจวิปัสสนากรรมฐาน คือ เป็นการค้นหาตามความเป็นจริงอริยสัจ ๔ ด้วยยุทธศาสตร์วิธีแห่งโยนิโสมนสิการ จากเริ่มต้นไปหาสุดท้าย และสุดท้ายวนกลับมาเป็นชั้นๆ ขึ้น นี่แหละ วิปัสสนากรรมฐาน
ฉะนั้น เราเข้าใจความหมายวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ถ้าเราไปนั่งหลับตาทำสมาธิแล้วไม่ต้องไปคิดอะไร แล้วจะกลายเป็นวิปัสสนากรรมฐานไม่ได้
โยนิโสมนสิการ คือ การคิดพิจารณาตั้งแต่เหตุไปถึงผล ผลไปถึงเหตุ ให้ครบวงจรตามภาวะจริงแท้แห่งธรรม
"ฐาน" ก็คือ "เหตุ"
พอ "ผล" มันปรากฏออกมาไม่ดี ก็ต้องมาดูที่ "เหตุ" ก็จะรู้แล้ว
อ๋อ...เราทำ "เหตุ" นี้ จึงปรากฏ "ผล" เช่นนี้
เปลี่ยนเหตุซะ ผลก็ต้องเปลี่ยน นี่แหละพระพุทธเจ้าคิดอย่างนี้ขึ้นมา
พระพุทธเจ้าก็นำมาทดลองกับตนเอง แล้วก็ได้ผล เข้าใจมากขึ้น พอได้ผลก็ออกมาเผยแผ่แล้ว พยายามเน้น
ตอนที่ว่าตรัสรู้ ไม่ใช่ว่า ไปนั่งทำสมาธิแล้วตรัสรู้ อย่างนี้ไม่ใช่ คนเข้าใจผิด วันนั้นพระองค์จะทบทวนสรุป สรุปว่าอย่างนี้ทุกต้อง ๑๐๐% แล้วล่ะ แน่นอนล่ะ จะใช้หลักฯอันนี้ล่ะ ไม่สะเปะสะปะว่าหลักโน้นหลักนี้ล่ะ
แล้วยังจะมีหลักโน้น หลักนี้อีกเหรอ?
มีเยอะแยะไปหมด เดี๋ยวก็จะไปเจอตรงนั้นจะดีไหมว่ะ? อันนี้ก็จะดีไหมว่ะ?
วันที่ตรัสรู้ก็คือ เป็นวันที่ไปตัดสินใจ ตัดสินใจของท่านว่า จะสรุปเป็นอย่างนี้ ๑-๒-๓-๔ มั่นคงอย่างนี้แล้ว เรียกว่า สรุปกำปั้นทุบดิน ดีแล้ว ยึดหลักนี้แล้ว ตรัสรู้แล้ว สรุปได้แล้ว พอสรุปได้ก็ปั้บ!! ก็ประกาศ
แล้วท่านก็มาคำนึงในใจว่า โอ!! หลักนี้มันยาก
พระพรหมธาดาก็มาอาราธนา มาบอกว่า ประชาชนก็เปรียบเสมือนกับดอกบัว ๔ เหล่า พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เออ...จริง
ก็รำลึกว่า บัวบางเหล่าก็ยังรออยู่ บางเหล่าก็ยังไม่พร้อม แต่ก็สามารถพัฒนาได้จากเหล่าที่ ๑ ไปถึงเหล่าที่ ๔ ได้ จึงตัดสินใจ ใช้หลักนี้เผยแผ่
เปรียบเทียบคนกับดอกบัว ๔ เหล่า
กว่าจะมาเป็นบัวได้นั้น จะต้องมีการไต่เต้ามาตั้งแต่เล็กๆ ตั้งแต่ยังอยู่โคลมตม ผุดแทงหน่อขึ้นมาเป็นบัวใต้น้ำ ปริ่มน้ำ และพ้นน้ำ เช่นเดียวกับเรา เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์เราต้องเอาเยี่ยงอย่างบัว เกิดมาจากอวิชชา ความไม่รู้แจ้ง ก็กระทำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นสภาพตามความเป็นจริงของธรรม
ดอกบัวสี่เหล่านี้ ทุกๆ คน สามารถมีทั้งหมด ๔ เหล่านี้อยู่ในตัว เช่น บางคนเป็นช่างซ่อมรถ เมื่อมีผู้รู้พูดถึงเกี่ยวกับรถ เข้าก็เข้าใจได้ง่าย ไม่ต้องอธิบายมาก เป็นอุคคฏิตัญญู แต่ถ้าพูดเรื่องการวาดภาพ ซึ่งช่างรถไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน อธิบายยังไงเขาก็ไม่เข้าใจ ดอกบัว ๔ เหล่า มีดังนี้
ดอกบัวเหล่าที่ ๑ โคลนตม คือ เหลวใหล ไม่จริงจัง มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีจุดหมาย ประเภทหลงทาง เรื่อยเฉย ไปตามสภาวะรูปธรรม (จะคิดถึงตัวเอง)
พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าและปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ)
ดอกบัวเหล่าที่ ๒ มีการริเริ่ม รู้จักเอามาเสียดายเวลา ความรู้สึกริเริ่ม มีความรู้สึกล่ะ ริเริ่มสัมมา อยากให้มีสาระมากขึ้น อยากจะรู้ (จะคิดถึงตัวเอง)
พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ)
ดอกบัวเหล่าที่ ๓ กระตือรือร้น อยากเปลี่ยนแปลง อยากแก้ไขสิ่งที่ถูกต้อง อยากทำอะไรให้มีสาระ เริ่มเห็นประโยชน์ อยากรู้อยากเห็น จะตั้งเป้าหมาย จุดหมาย เห็นประโยชน์ว่าตนเองเป็นคนทำ
พวกที่มีสติปัญญาดี เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปจิตัญญู)
ดอกบัวเหล่าที่ ๔ พ้นน้ำ รับแสงอาทิตย์ พยายามขบคิด ปุจฉา วิสัชนาอะไรต่างๆ วินิจฉัย พิจารณาสิ่งต่างๆ เตรียมตัวเข้าสู่ปรมัตถ์
พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที (อุคคฏิตัญญู)
พระพุทธเจ้าคิดว่า จะโปรดสัตว์แล้วมันยากตรงไหน?
ยากที่ว่า "คนรับความจริงไม่ได้"
พระพุทธเจ้าจะเน้นเรื่องความจริง
คนทั่วไปจะรับความจริงไม่ได้ เพราะว่ามันถูกสอนมาในเรื่องไม่รับความจริง แต่พระพุทธเจ้ามาปฏิวัติ (Revolutions) ความคิดเขา ใหม่ๆ พระพุทธเจ้าออกมาประกาศ ผู้คนด่าทอ ต่อว่าไปหมด คนก็จะเถียง กว่าจะให้คนเขายอมรับได้ไม่ใช่ง่ายๆ พระพุทธเจ้าต้องเดินสายไปเทศน์ ไปคุยกับผู้คนหลากหลาย จนในที่สุดกษัตริย์เห็นแล้วได้ทดลองแล้วก็ได้ผล จึงหันมาสนับสนุน เช่นแคว้นมหาอำนาจสมัยพุทธกาล ได้แก่ พระเจ้าพิมพิสาร แคว้นมคธ กรุงราชคฤห์ พระเจ้าปเสนทิโกศล แคว้นโกศล พระเจ้าอุเทน แคว้นวังสะ เมืองโกสัมพี พระเจ้าจันฑปัตโชติ แคว้นอวันตี เมืองอุชเชนี พระเจ้าลิจฉวี แคว้นวัชชี เมืองเวสาลี เป็นต้น
สมัยนั้นเข้าเรียกว่าพระพุทธเจ้าว่าเป็นกบฏ (rebellion) เปลี่ยนความคิดแนวใหม่
ตัวที่ตรัสรู้อย่าไปคิดจนเว่อร์ (over) คือเรียบเรียงมาแล้ว สรุปตัดสินใจมาแล้วว่าจะเอาอย่างนี้ไหม?
ตรัสรู้ก็คือ สรุปแล้วว่าจะเอาอย่างนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงแล้วในชาตินี้
หลักของพระพุทธเจ้ามี ๕ ข้อคือ
ข้อแรก เป็นหัวใจเลยก็คือ อริยสัจ ๔ คือจะต้องหาเหตุ ท่านประกาศเลยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากเหตุ
ดังปรากฏในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค บรรทัดที่ ๑๘๖๑-๑๘๘๓ หน้าที่ ๗๖-๗๗ ว่า
อิมัส๎มิง สะติ อิทัง โหติ อิมัสสุปปาทา อิทัง อุปปัชชะติ
อิมัส๎มิง อะสะติ อิทัง นะ โหติ อิมัสสะ นิโรธา อิทัง นิรุชฌะติ
คำแปล
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ
และอีกหนึ่งเหตุการณ์ คือ พระสารีบุตรได้ถามพระอัสสชิว่า "ใครเป็นศาสดาของท่าน ศาสดาของท่าน สอนไว้ว่าอย่างไร"
พระอัสสชิ ตอบว่า อาตมาเป็นพระบวชใหม่ ไม่อาจตอบธรรมะที่ลึกซึ้งได้ แต่จักกล่าวใจความสำคัญแก่ท่านโดยย่อว่า
เย ธัมมา เหตุปฺปะภะวา เยสัง เหตุง ตะถาคะโต อาหะ
เตสัญจะ โย นิโรโธ จะ เอวัง วาที มะหาสะมะโณติ ฯ
คำแปล
ธรรมทั้งหลายเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมทั้งหลายเหล่านั้น พระมหาสมณะเจ้า ทรงสั่งสอนอย่างนี้
ทำไมพระไตรลักษณ์ถึงไม่ใช่หัวใจของพระพุทธศาสนา?
ก็เพราะว่า พระไตรลักษณ์มีอยู่ในนั้นแล้ว อยู่ในธรรมอยู่แล้ว แต่ว่าจะมีกระบวนการอะไรที่จะเข้าไปสู่พระไตรลักษณ์ นั่นก็คืออริยสัจ ๔
ทำไมหลวงพ่อบางรูปบอกว่า ทางสายกลางก็คือปฏิจจสมุปบาท?
ปฏิจจสมุปบาทก็คือเครื่องมือตัวหลังมาวิเคราะห์ให้เห็น ให้เห็นว่าเราอยู่ภูมิไหน เราจะต้องทำอย่างไร? เราเป็นอะไร ก็ต้องใช้อริยสัจ ๔ จะแก้ยังไง
เราคิดว่าปฏิจจสมุปบาทไม่เห็นจะมาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราเลย?
ปฏิจจสมุปบาทเกี่ยวกับกับชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมากเลย เพราะว่าใช้ศัพท์ภาษาบาลี คนทั่วไปไม่เข้าใจก็เลยคิดว่าไม่เกี่ยว