เม้าท์ประสบการณ์รักเกือบพังจนเกือบไม่ได้แต่งงาน!+เตรียมตัวทำสวยก่อนแต่งงาน (กระทู้นี้ไม่เหมาะกับคนแอนตี้สวยด้วยแพทย์)

          ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณที่เข้ามาอ่านกระทู้ของหวานนะคะ เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ได้แชร์ประสบการณ์ส่วนตัวในเน็ต หวานเชื่อนะคะว่าใครๆก็มีความฝันที่อยากจะแต่งงานกับคนที่เรารักและมีครอบครัวของตัวเอง แต่กว่าที่จะไปถึงขั้นนั้นมันไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะกับตัวหวานเองที่เกือบจะไม่ได้แต่งงานแล้วค่ะ ซึ่งพอนึกย้อนไปแล้วหวานก็คิดว่ามันเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากๆสำหรับหวาน เพราะถ้าไม่มีวันนั้น หวานก็คงไม่ได้เป็นอย่างวันนี้แน่

          หลายคนคงได้มีประสบการณ์รักครั้งแรกกันช่วงมัธยมกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ของหวานนี่กว่าจะได้มีแฟนคนแรกก็โน่นแหละคะ ตอนขึ้นมหาลัยนั่นแหละ ก็คบกันมาราบรื่นเรื่อยๆ ไม่หวือหวา แทบจะไม่มีปัญหาอะไรเลย จนกระทั่งเรียนจบแล้วเข้าสู่วัยทำงาน เข้าสู่ช่วงอาถรรพ์คบ 7 ปีพอดี ตอนนั้นแหละทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มจากตัวหวานเองนี่แหละ ช่วงนั้นงานของหวานหนักมาก หนักจนไม่มีเวลาดูแลตัวเองเลย ช่วงนั้นหวานโทรมสุดๆ ปล่อยเนื้อปล่อยตัว สิวก็ขึ้นเต็มหน้า และก็ไม่มีเวลาให้แฟนเลย ช่วงนั้นทะเลาะกันบ่อยมากๆ เรื่องเล็กๆน้อยๆก็ยังทะเลาะกันได้ จนมาวันหนึ่งปัญหาที่หนักที่สุดก็มาจนได้ เพราะแฟนหวานมาสารภาพว่ามีกิ๊กซุกอยู่ และไม่ได้มีแค่คนเดียวนะคะแต่มีถึง 7 คน ตอนที่รู้เรื่องนั้นหวานช็อคมาก ทั้งโกรธทั้งเสียใจเพราะไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้กับหวาน หวานเลยตัดสินใจที่จะเลิกกัน เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่อกหัก หวานเสียใจมากจนกินอะไรไม่ได้ แล้วก็ร้องไห้บ่อยมาก ตอนนั้นสภาพของหวานแย่มากๆ จนทุกคนที่อยู่รอบตัวเราเป็นห่วงหวานมากๆ โดยเฉพาะแม่ที่แทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับตามหวานอยู่แล้ว มันเลยทำให้หวานคิดได้ว่ายังมีคนอีกหลายคนมากๆที่รักเราและให้กำลังใจอยู่เสมอ หวานจึงเริ่มหันมาทำใจ พยายามกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แต่เพราะว่าก่อนหน้านี้หวานไม่กินข้าวกินปลาจนน้ำหนักลดฮวบ พอกลับมากินอีกครั้งก็เกิดอาการโยโย่ค่ะ น้ำหนักพุ่งพรวดเป็นสิบโลเลย อ้วนที่สุดในชีวิตแล้วตอนนั้น



ภาพนี้ช่วงที่ไปวิปัสสนาค่ะ ได้เข้าหาธรรมะจริงจังก็หลังอกหักนี่แหละ ตอนนั้นอ้วนๆอวบๆกลมมาก




ภาพหุ่นแบบชัดๆ ผลจากการโยโย่ ขึ้นมาเป็นสิบกิโลเลยค่ะ

          มีคนเคยบอกไว้ว่าผู้หญิงอย่างเราเวลาอกหักก็เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เพราะการอกหักจะทำให้เรามองโลกในมุมที่ต่างจากเดิม หวานคิดว่ามันก็จริงอยู่ส่วนหนึ่งนะคะ หวานก็เลยตัดสินใจว่าเราจะต้องลดน้ำหนักให้ได้ ทั้งออกกำลังกาย เล่นเวท โยคะ คุมอาหารนับแคลTDEE ทำสารพัดเท่าที่จะทำได้ค่ะ จนน้ำหนักเริ่มลดลงไปบ้าง หวานรู้สึกได้เลยว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราแจ่มใสมาก ได้เป็นตัวของตัวเอง รู้สึกมีความสุข สบายใจ เป็นช่วงที่อะไรดีๆ ในชีวิตเข้าที่เข้าทางมากขึ้น เรียกได้ว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยค่ะ

          และสุดท้าย หลังจากที่เลิกกันไปได้เป็นปีแฟนของหวานก็ได้ติดต่อมาอีกครั้ง เขามาขอโทษที่เคยทำเราเสียใจ เหมือนว่าหลังจากที่เราเลิกกันไปแฟนของหวานก็เริ่มเข้าหาธรรมะ ได้ไปเข้าคอร์สเปลี่ยนแนวคิด ทำให้เขาโตขึ้นแล้วคิดได้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันไม่ดี เขาเลยตัดสินใจเลิกทุกอย่างแล้วกลับมาขอคืนดีกับหวานอย่างจริงจัง ถึงแม้ว่าเขาจะพูดแบบนั้นแต่หวานก็ไม่ยอมคืนดีนะคะ ตอนนั้นยังโกรธอยู่ คนรอบๆตัวก็ไม่ยอมรับ เพราะพวกเขาเห็นว่าหวานเสียใจเพราะผู้ชายคนนี้มาก แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ค่ะ คอยอดทนและพยายามพิสูจน์ตัวเองมาตลอด มาง้อมาคอยเทคแคร์จนเราใจอ่อนยอมคุยด้วยบ้าง แต่ก็คุยแบบรักษาระยะห่าง เพราะยังไม่ไว้ใจและยังไม่พร้อมเริ่มต้นใหม่ค่ะ

          แต่การคุยกันครั้งนี้ของเรามันต่างจากเมื่อก่อนมาก เพราะตอนนี้เราทั้งคู่อายุมากขึ้น มีงานทำกันแล้ว เลยทำให้มองโลกโตขึ้น มองความเป็นจริงมากขึ้น มีอะไรก็คุยตรงๆ ไม่เก็บไปน้อยใจเหมือนเมื่อก่อน หวานรู้สึกว่าเราทั้งคู่สนิทใจกันมากกว่าเดิม และหวานก็รู้ว่าเขาเปลี่ยนไปจริงๆ ทั้งพฤติกรรมและความคิด ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่เลยจริงจังมากขึ้น หลังจากที่ผ่านไปได้4ปีกว่าๆ คราวนี้แฟนของหวานก็ได้เอ่ยปากขอหวานแต่งงานเลยค่ะ ยอมรับว่าตอนนั้นตกใจมากเพราะไม่ได้เตรียมใจมาก่อน แล้วก็ดีใจมากๆเช่นกันที่เขาจริงจังกับเราจนถึงขั้นอยากจะแต่งงาน อาจจะเคยมีเรื่องทะเลาะและไม่เข้าใจกัน แต่เราทั้งคู่ต่างก็ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองจากเมื่อก่อน ทำให้หวานเชื่อมั่นในตัวเขาและคิดว่าผู้ชายคนนี้นี่แหละที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย และหวานก็คิดว่าเขาคงคิดแบบเดียวกันถึงได้ขอหวานแต่งงาน

          พอมีเรื่องแต่งงานเข้ามาความวุ่นวายก็ตามมาทันที นั่นก็คือการเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวก่อนแต่งงานนั่นเอง ปกติหวานเป็นคนที่ดูแลตัวเองในระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่เมื่อมีเรื่องแต่งงานเข้ามาด้วยหวานก็คิดว่าอยากจะทำให้ตัวเองดูดีกว่าที่เป็นอยู่ หวานไม่เข้าคอร์สเจ้าสาวเลยนะคะ หวานจะดูแลตัวเองเป็นจุดๆไปมากกว่า หวานคิดว่าไอ้คอร์สขัดผิวขัดหน้าเจ้าสาวมันไม่ได้จำเป็นมากขนาดนั้น เพราะหวานเคยดำมาก่อนจึงรู้ว่าแค่หมั่นทาครีมมั่นหลบแดดก็เพียงพอแล้ว อีกอย่างหวานกลัวว่าถ้าไปขัดผิวแล้วผิวลอกแต่งหน้าไม่ติด เลยจัดการในแบบของตัวเองดีกว่า เพื่อไม่ให้งงหวานจะอธิบายตามลำดับไปเลยนะคะ

1. ออกกำลังกาย-กินอาหารคลีน
จริงๆ หวานก็ออกกำลังกายมาสักพักแล้ว แต่หลังแต่งงานหวานก็เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น หวานเลือกกินคลีนเพราะเห็นหลายๆคนที่ลดน้ำหนักกินอาหารแบบนี้กันตลอด แต่หวานไม่สะดวกทำอาหารเองก็เลยสั่งอาหารคลีนจากร้านในเน็ตมากินแทน แล้วก็งดแอลกอฮอล์ งดของกินจุกจิก งดอาหารทอดมัน งดน้ำอัดลม เรียกง่ายๆก็คืองดกินทุกอย่างตามใจปากเลยค่ะ ช่วงแรกๆก็ยากลำบากนิดหน่อยเพราะอาหารคลีนมันจืดๆไม่อร่อยเหมือนที่เคยกิน(หวานเป็นคนชอบอาหารรสจัดด้วย) เพื่อไม่ให้เบื่อมากไปหวานให้วันมีชีทเดย์(กินตามใจปาก)หนึ่งวันต่อสัปดาห์ และมีการออกกำลังกายด้วยการเวทเทรนนิ่งสัปดาห์ละ 2 วัน วิ่งและคาดิโอลัปดาห์ละ 3 วัน ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆมันก็จะชินไปเองค่ะ

ผลลัพธ์: น้ำหนักลงไปบางส่วน รูปร่างเฟิร์มขึ้น ร่างกายแข็งแรงขึ้น

2. ฉีดหน้าเสริมสวย
ผู้หญิงทุกคนก่อนจะแต่งงานก็ต้องมีฉีดๆจิ้มๆหน้าเพื่อความสวยกันบ้าง ซึ่งหวานเองก็ทำเหมือนกันเพราะอยากให้ตัวเองดูดีที่สุดในวันแต่งงงาน ช่วงประมาณเดือนที่1-3 ก่อนแต่งงานหวานก็ได้ฉีด Growth Factor หวานมีความประทับใจส่วนตัวเพราะก่อนหน้านั้นหวานเคยเป็นสิวหนักมาก จนมาฉีดวิตามินที่นี่หวานถึงได้หายกลับมาเป็นปกติ แถมยังมีผลพลอยได้คือหน้าใสขึ้นด้วย ก็เลยคิดว่าถ้าจะมาฉีดหน้าอีกก็ต้องมาที่นี่แหละ

ที่หวานทำคือการฉีด Growth Factor ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยทำให้หน้าใส กระชับ ไม่ดูแก่ ซึ่งหมอได้แนะนำหวานมาอีกที โดยการฉีดอันนี้จะพิเศษหน่อยตรงที่สารที่ใช้ฉีดคือเลือดของเรานี่เอง โดยในเลือดของเราเนี่ยมันมีสารที่เรียกว่า Growth Factor ซึ่งสารนี้จะกระตุ้นให้เซลล์ฟื้นฟู เพิ่มจำนวนและเติบโตขึ้นแทนเซลล์เก่าที่ตายไปแล้ว ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้ามีความตึงกระชับขึ้น ขั้นตอนง่ายๆก็คือดูดเลือดไปปั่นสกัดออกมา เสร็จปุ๊ปก็เอาเลือดนี้ฉีดไปทั่วหน้าเรา มันจะช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวให้หน้าใสขึ้น จากที่ได้ลอง Growth Factor ไป ก็รู้สึกว่าหน้าตัวเองดีขึ้น ดูตึงกระชับและใสขึ้น รอยดำต่างๆก็ลดลงไปด้วย

นอกจากGrowth Factor แล้ว หวานก็ฉีดพวกวิตามินกับฉีดสิวด้วย เพราะว่าตอนนั้นจู่ๆสิวก็เห่อขึ้นมาเฉย เลยต้องรีบต้องรีบทำให้ตัวเองหน้าเนียนใสด่วนๆ ตอนนั้นเครียดมากกลัวว่าจะสวยไม่ทันงาน แต่สุดท้ายก็หายทันนะ สิวยุบ หน้าใสขึ้น โล่งใจมาก



ผลลัพธ์: รอยดำและริ้วรอยลดลง หน้าใสและกระชับขึ้น

3. บริหารสุขภาพจิต
ช่วงเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว หวานจะดูแลทั้งสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตไปควบคู่กันเสมอ หวานคิดว่าสองสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าสาวควรให้ความสนใจเท่าๆกัน เพราะยิ่งใกล้วันแต่งงานเจ้าสาวมักจะเครียดและกดดันมาก หวานเองก็มีปัญหาแบบนี้ ฉะนั้นหวานจะทำตารางชีวิตของตัวเองเอาไว้เลยเพื่อให้ตัวเองผ่อนคลายมากที่สุด

ก่อนจะไปทำงานหวานจะตื่นทุกหกโมงเช้าเพื่อมานั่งสมาธิประมาณครึ่งชั่วโมง สวดมนต์อีกครึ่งชั่วโมงเพื่อให้จิตใจสงบ หลังจากนั้นก็จะบำรุงร่างกายด้วยการดื่มน้ำเกลือหิมาลายันก่อนจะออกไปวิ่งรอบสวนหมู่บ้านตอนเช้า และไปเล่นโยคะครึ่งชั่วโมง แล้วกลับมากินเวย์โปรตีนก่อนออกไปทำงาน หวานจะพยายามไม่ทำให้ตัวเองเครียด

ผลลัพธ์: จิตใจสงบ มีสมาธิ จิตใจแจ่มใสขึ้น ไม่เครียด

4.ดูดไขมัน
ถึงแม้ว่าน้ำหนักจะลดแต่เรายังไม่ได้หุ่นแบบที่ต้องการที่จะใส่ชุดเจ้าสาวได้สวยๆ รู้สึกว่ามันยังไม่พอ คือมันเฟิร์มขึ้นก็จริงแต่เรายังอยากได้เอวที่เล็กกว่านี้อีกนิด หวานเลยเลือกที่จะทำการดูดไขมันแบบ Vaser ตรงหน้าท้องกับเอว เพราะว่าอยากให้รูปร่างเราเป็นทรง S-Curve เราก็ไปดูดไขมันที่คลินิคเดียวกับที่ฉีดวิตามินนั่นแหละ เพราะประทับใจหมอที่ทำให้หน้าเราหายจากสิวได้ 555 ตอนแรกก็กลัวๆอยู่เหมือนกันเพราะไม่เคยดูดไขมันมาก่อน แต่หมอที่นี่บริการดีมาก ให้ข้อมูลละเอียด และเราเองก็เคยใช้บริการที่นี่มาก่อนแล้วเลยไว้ใจเป็นพิเศษ

การฉีดไขมันไม่ใช่ไปคลินิคแล้วจะทำได้เลยนะคะ ขั้นตอนมันค่อนข้างเยอะเพื่อความปลอดภัยที่สุด หวานต้องไปพบหมอเพื่อตรวจเช็คสุขภาพว่าที่โรคร้ายแรงหรือโรคประจำตัวอะไรบ้างมั้ย ถ้าผ่านความเห็นชอบจากหมอแล้วเขาถึงจะตรวจดูลักษณะไขมันสะสมของเรา แล้วก็นัดวันเวลาที่จะมาทำการดูดไขมัน ก่อนทำก็ต้องอาบน้ำให้สะอาดและอดอาหารอย่างน้อย 6 ชม. และต้องไปลาหยุดงานล่วงหน้าไว้ก่อนประมาณ 2 วันเพื่อพักฟื้นด้วย

ตอนแรกหวานคิดว่าจะเจ็บนะคะ แต่เอาเข้าจริงเจ็บนิดเดียวเองค่ะ แทบไม่รู้สึกอะไรเลย รอยช้ำก็มีบ้างเพราะหวานเป็นคนช้ำง่ายอยู่แล้ว แต่มันไม่มีผลกระทบอะไรกับการใช้ชีวิตประจำวันเลย หลังดูดไขมันแค่สองวันก็สามารถไปทำงานได้ตามปกติแล้วคะ แต่ช่วงสามวันแรกมันจะบวมหน่อย หลังจากนั้นรูปร่างเราก็จะเข้าที่ขึ้นเรื่อยๆ

ถึงแม้ว่าจะไปดูดไขมันมาแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยตัวตามสบายได้เลยนะคะ หมอย้ำตลอดว่าถ้าอยากให้หุ่นดีอย่างยั่งยืนก็ต้องออกกำลังกายรักษาหุ่นด้วย ถ้ายังกินตามใจปากไม่ควบคุมตัวเองก็จะกลับมาอ้วนใหม่อยู่ดี พอผ่านไปได้เดือนหนึ่งหวานก็เริ่มออกกำลังกายและคุมอาหารอีกครั้ง จ้างเทรนเนอร์มาคอยให้คำแนะนำเพราะอยากให้หุ่นคงที่มากที่สุด

ผลลัพธ์: ไขมันส่วนเกินหายไป หุ่นกระชับสมส่วนมากขึ้น รูปร่างสวยเป็นทรงS ตามที่ต้องการ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่