อย่างที่ผมเขียนในกระทู้ก่อนหน้า สรรพสิ่งเมื่อชัดด้านใดก็จะแปรสภาพเป็นสิ่งนั้น
เมื่อไม่ชัดไปด้านใดด้านหนึ่ง คงสถานะที่ผมขอเรียกว่ากลาง คือ ไร้สถานะ ไร้สภาพ ไร้รูป ไร้ชื่อ ไร้นิยาม
สิ่งเดียวกันแสดงรูปธรรมที่เกิดขึ้นให้เห็นแตกต่างกันไปตามประสิทธิภาพการรับรู้ของประสาทสัมผัสของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด
ดังนั้นสิ่งเดียวกันจึงเป็นจริงในภาพสภาวะที่แตกต่างกัน ขึ้นกับสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด
และแม้แต่คนก็เช่นกัน สิ่งเดียวกันย่อมเห็นและรับรู้ไม่เหมือนกัน
ผมถึงเชื่อเสมอว่ารูปธรรมสรรพสิ่งที่เห็นนั่นเห็นจริง แต่สภาวะรูปธรรมที่เห็นมันไม่จริง
และผมยังเชื่อเสมอว่า “จริงแท้แล้วสรรพสิ่ง” มันควรมีสภาวะเดียวเสมอเหมือนกันหมด
ไม่มีแบ่งแยกว่าเป็น หิน ดิน ต้นไม้ คน สัตว์ สิ่งของหรืออื่นๆ
และเราจะมองเห็นสภาวะ “จริงแท้” หนึ่งเดียวนั้นได้ก็ต่อเมื่อเราเองต้องอยู่ในสภาวะนั้นเช่นกันคือ สภาวะไร้ตัวตน ไร้อัตตา
:
:
:
—-ผลึกหิน—-
@@@สรรพสิ่งจริงแท้มีสภาวะเดียว@@@ —-ผลึกหิน—-
เมื่อไม่ชัดไปด้านใดด้านหนึ่ง คงสถานะที่ผมขอเรียกว่ากลาง คือ ไร้สถานะ ไร้สภาพ ไร้รูป ไร้ชื่อ ไร้นิยาม
สิ่งเดียวกันแสดงรูปธรรมที่เกิดขึ้นให้เห็นแตกต่างกันไปตามประสิทธิภาพการรับรู้ของประสาทสัมผัสของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด
ดังนั้นสิ่งเดียวกันจึงเป็นจริงในภาพสภาวะที่แตกต่างกัน ขึ้นกับสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด
และแม้แต่คนก็เช่นกัน สิ่งเดียวกันย่อมเห็นและรับรู้ไม่เหมือนกัน
ผมถึงเชื่อเสมอว่ารูปธรรมสรรพสิ่งที่เห็นนั่นเห็นจริง แต่สภาวะรูปธรรมที่เห็นมันไม่จริง
และผมยังเชื่อเสมอว่า “จริงแท้แล้วสรรพสิ่ง” มันควรมีสภาวะเดียวเสมอเหมือนกันหมด
ไม่มีแบ่งแยกว่าเป็น หิน ดิน ต้นไม้ คน สัตว์ สิ่งของหรืออื่นๆ
และเราจะมองเห็นสภาวะ “จริงแท้” หนึ่งเดียวนั้นได้ก็ต่อเมื่อเราเองต้องอยู่ในสภาวะนั้นเช่นกันคือ สภาวะไร้ตัวตน ไร้อัตตา
:
:
:
—-ผลึกหิน—-