ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
รายละเอียดการเดินทาง
วันที่ 25 มิถุนายน 2019
สายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG417
กรุงเทพ(สุวรรณภูมิ)-กัวลาลัมเปอร์ (เซปัง)
กำหนดออก 16:40น. ถึงปลายทาง 19:50น. ตามเวลาท้องถิ่น
เปิดภาพแรกด้วยเครื่องเช็คอินอัตโนมัติ
วันนี้เราจะเดินทางไปกับสายการบินไทย ซึ่งมีต้นทางที่สถานีสุวรรณภูมิ โดยทุกการเริ่มต้นเดินทางด้วยเครื่องบิน ทุกคนต้องเช็คอินใช่ไหมครั
สำหรับการบินไทยแล้ว เขาก็จะมีเค้าเตอร์เช็คอินมากมายหลายโซน ทั้งวีไอพี บิสคลาส อีโค่ในประเทศ ต่างประเทศ สำหรับผมในวันนี้เดินทางไปในชั้นประหยัด (ตรงไหนว้า) เค้าเตอร์เช็คอินสำหรับเที่ยวบินต่างประเทศจะอยู่แถวที่ H และ J
แต่ถ้าใครสะดวกเช็คอินทางอินเตอร์เน็ตมาก่อน ก็สามารถมารับบัตรโดยสาร (Boarding Pass) หรือจะมาเช็คอินเลือกที่นั่งด้วยตนเองกับเจ้าเครื่อง Kiosk สีฟ้าๆ นี้ก็ได้เช่นกัน
และระบบเช็คอินทุกช่องทางจะปิดรับก่อนเวลาเครื่องออก 60 นาทีครับ
เช็คอิน
สำหรับผมเองแล้วเลือกที่จะเช็คอินเลือกที่นั่งทางอินเตอร์เน็ตมาก่อน เมื่อมาถึงแล้วก็สามารถตรงมาเพื่อโหลดสัมภาระได้ที่ช่องสำหรับผู้เช็คอินทางอินเทอร์เน็ตได้เลย
สำหรับน้ำหนักสัมภาระในแต่ละชั้นโดยสารแต่ละเส้นทางก็จะแตกต่างกันไป ในเส้นทางกัวลาลัมเปอร์นี้ถ้าตั๋วโปรโมชั่นก็จะโหลดได้ 20 กก. ตั๋วชั้นประหยัดทั่วไปก็ 30 กก. ชั้นธุรกิจ 40 กก.
ซึ่งถ้าใครเป็นสมาชิกรอยัลออคิดพลัส ตั้งแต่ระดับบัตรเงินบัตรทองก็จะได้น้ำหนักเพิ่มขึ้นไปตามฐานันดรของแต่ละบัตร
บอร์ดดิ้งพาส
ในขั้นตอนเช็คอินบางครั้งเจ้าหน้าที่อาจจะมีการสอบถามเกี่ยวกับตั๋วเครื่องบินเที่ยวกลับ กรณีที่เราไม่ได้กลับด้วยสารการบินเดียวกัน
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะให้เจ้าบัตรโดยสารหรือบอร์ดดิ้งพาสนี้มา หน้าที่ของเราก็คือต้องดูรายละเอียดด้วยว่า บัตรเป็นชื่อเรา เที่ยวบินที่เราไป หรือไม่ ย้ำ!!! ว่า ต้องดูทุกครั้ง เพราะประสบการณ์ผมเคยเจอว่า ไปได้บอร์ดดิ้งพาสของคนอื่นที่ชื่อคล้ายๆ กันมาแทน หมุนตัวกลับไปเปลี่ยนเกือบไม่ทัน ไม่งั้นอาจจะได้ไปเที่ยวที่อื่นแทน เตือนแล้วนะ!!!
ข้อมูลในบัตรโดยสารก็จะบอกถึงเที่ยวบินของเรา ประตูทางออกหมายเลขใด เลขที่นั่งและเวลาขึ้นเครื่องซึ่งนั่นเป็นเวลาที่เราควรต้องไปถึงประตูทางออกแล้ว
ความสุขเล็กๆ ของผมจะอยู่ตรงข้อความ SEQ. คือลำกับการเช็คอิน ซึ่งถ้าได้เลข SEQ.001 นี้จะเป็นอะไรที่ปลื้มมาก สำหรับเที่ยวบินนี้ผมได้ลำดับที่ 015 ซึ่งแพ้ผู้โดยสารต่อเครื่องจากที่อื่น
แลกเงิน
การไปต่างประเทศ เงินบาทของประเทศไทยจะใช้ได้ก็แค่ที่ลาวแล้วก็แถวๆ ปอยเปต แค่นั้น ดังนั้นเราต้องไปแลกเงินครับ ไปมาเลย์ก็ต้องใช้เงินสกุลริงกิต ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนฤดูกาลนี้อาจจะเป็นที่ถูกอกถูกใจแก่นักท่องเที่ยวยิ่งลัก ค่าเงินมาเลย์ตกอยู่ที่ 7.45 บาทต่อ 1 ริงกิตเท่านั้น
การแลกเงินถ้าในสนามบินตามเค้าเตอร์ธนาคารเรทอาจจะแพงมาก แต่ถ้าคนที่เดินทางบ่อยๆ เขาจะรู้กัน จุดแลกเงินที่เรทงามๆ ในสนามบินสุวรรณภูมิให้กดลิฟท์ลงไปชั้น B เลยครับ เดินไปข้างๆ สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้ง มีให้เลือกหลากสีเลยครับ เรทก็ไล่ๆ กัน แต่ยังไงก็ถูกกว่าแลกข้างบนแน่นอน
การแลกเงินไปต่างประเทศควรแลกไปให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะต้องใช้ เหลือกลับมาแลกกลับอาจจะน้ำตาตกได้นะครับ เพราะช่วงนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นทุกวัน
ช่องทางผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ
เมื่อเคลียร์ตัวเองเสร็จแล้ว ก็เตรียมตัวไปขึ้นเครื่อง สำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศก็ต้องเข้ากระบวนการต่างๆ ของสนามบินซึ่งค่าใช้จ่ายการผ่านกระบวนการเหล่านี้รวมอยู่ในภาษีสนามบิน 700 บาทที่พวกเราเต็มใจจ่ายโดยไม่มีอิดออดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จากเค้าเตอร์เช็คอินการบินไทยแถว H, J เดินเข้ามาสุดด้านใน หลังรูปปั้นยักษ์ใหญ่ก็จะเจอบันไดเลื่อนพร้อมป้ายผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ จุดนี้จะมีเจ้าหน้าที่สนามบินตรวจสอบขั้นต้น ให้เราเตรียมบอร์ดดิ้งพาส และหนังสือเดินทาง (บัตรประชาชนกับใบขับขี่ใช้แทนไม่ได้นะเจ๊)
จุดตรวจค้น
หลังจากขึ้นบันไดเลื่อนมา ก็จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรโดยสารกับหนังสือเดินทางอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็จะคอยต้อนให้เราเข้าไปต่อคิวเพื่อตรวจค้น
และนี่คือจำนวนผู้โดยสารที่รอเข้าตรวจค้น เห็นจำนวนคนแล้วเอ่อ...แปดสิบเปอร์เซ็นเป็นประชาชนจากแผ่นดินใหญ่ นึกถึงเจ็ดร้อยบาทที่จ่ายไปอีกครั้ง ตรงนี้ผมใช้เวลาราว 15 นาทีกว่าๆ จึงจะผ่านได้
ขั้นการตรวจค้นก่อนอื่นเราก็ต้องแยกพวก Laptop Powerbank โทรศัพท์ และก็พวกของเหลวออกจากกระเป๋ามาใส่ถาดแยกต่างหาก
ปลดทุกอย่างที่เป็นโลหะที่ติดตัวมา เช่นนาฬิกา เครื่องประดับ เข็มขัด เศษเหรียญแยกใส่ถาดเช่นกัน ยกเว้นฟันปลอมไม่ต้อง ถอดเสื้อ ถอดรองเท้าใส่ถาดเรียงๆ กันคนนึงก็สองสามถาด ส่งเข้าเครื่องแสกนแล้วเราก็เดินผ่านเครื่องแสกนร้อยล้านที่ไม่ได้ใช้งานมาเข้าช่องแสกนเล็กๆ ข้างๆมารอรับของอีกฝั่งหนึ่ง
ประสบการณ์อันปวดกบาลของจุดตรวจค้นนี้ครั้งหนึ่งผมเคยจะแยก Powerbank ออกจากกระเป๋า อีเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าให้ใส่ไว้ข้างในกระเป๋า พอผ่านเครื่องแสกนไปอีกฝั่ง อีเจ้าหน้าที่ฝั่งนั้นบอกขอดู ช่วยนำออกจากกระเป๋าด้วยค่ะ ตอนนั้นได้แต่ชมในใจว่า "อี
..ย ไม่คุยกันมาก่อนเหรอ"
ตรวจหนังสือเดินทาง
หลังจากผ่านจุดตรวจค้นอันแสนทรหดมาแล้ว เดินตามทางต่อมาก็จะเจอบันไดเลื่อนลงไปเค้าเตอร์ตรวจหนังสือเดินทาง
บันไดเลื่อนด้านซ้าย ผมไม่รู้ว่ามันใช้ได้หรือเปล่ามากี่ครั้งกี่ปีก็ไม่เคยเห็นเปิดใช้
พอลงบันไดเลื่อนไปแล้ว ทีนี้ก็เริ่มแยกระหว่างคนที่ถือหนังสือเดินทางไทย จีน สิงคโปร์ กับประเทศอื่นๆ ล่ะ
คนที่ถือหนังสือเดินทางไทย สิงคโปร์สามารถมุ่งตรงไปที่เครื่องอัตโนมัติได้เลย แต่เครื่องของไทยกับสิงคโปร์แยกกันนะ ไทยเลี้ยวซ้าย สิงโปเลี้ยวขวา ประเทศอื่นๆ เชิญเค้าเตอร์ค่ะ
การตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติเริ่มต้นเราจะต้องสอดหนังสือเดินทางคว่ำหน้าที่มีชื่อเราเข้าไปในเครื่อง สักพักระบบจะบอกให้เราเอาหนังสือเดินทางออกและกดหมายเลขเที่ยวบิน ซึ่งเราต้องกดให้ครบทั้งตัวหนังสือและตัวเลข เช่น TG417 อะไรแบบนี้ แต่ถ้ามีบอร์ดดิ้งพาสอยู่ในมือจะใช้การแสกนโค้ดเลยก็ง่ายเช่นกัน ตรงนี้มือใหม่ไม่ต้องกังวลนะ จุดนี้เขามีเจ้าหน้าที่คอยชั่วยเหลือ
หลังจากกดหมายเลขเที่ยวบินแล้วประตูแรกจะเปิดออก ให้เราไปยืนตรงที่มีตำแหน่งรอยเท้า ถอดแว่น ส่งสายตาจิกไปยังกล้อง ยิ้มมุมปากเล็กน้อยประหนึ่งคิดว่าประเทศไทยจ๋าหนูลาก่อน วางนิ้วชี้มือขวาตรงกระจกสำหรันแสกนนิ้ว เสร็จแล้วระบบจะขึ้นข้อความ "ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ" พร้อมเปิดประตูอีกด้านให้เราก้าวออกไปสวยๆ เป็นว่าเราออกนอกประเทศเรียบร้อยแล้ว
ส่วนรูปพื้นที่ด้านล่างไม่สามารถถ่ายได้นะครับ
ปฏิมากรรมกวนเกษียรสมุทร
ผ่านจุดตรวจหนังสือเดินทางถ้าเป็นทางออก 2 ก็จะเจอปฏิมากรรมพระนารายณ์กวนเกษียรสมุทร ถ้าใครมาครั้งแรกๆ ก็อาจจะตื่นตาตื่นใจแอ๊บแบ๊วถ่ายรูปเก็บไว้สักหน่อย เพราะขากลับเข้ามาเราจะไม่ผ่านจุดนี้ ส่วนคนที่มาบ่อยๆ ก็แค่หยุดยืนไหว้สักการะหรือไม่ก็อาจจะเดินผ่านเลยไป
แต่ก็มีขั้นแอดวานซ์กว่า ตามความเชื่อในแบบไทยๆ มีการนำเครื่องเซ่น น้ำเปล่าหรือพวงมาลัยดอกไม้มาถวายซึ่งนั้นก็ปกติ แต่ที่ผมแปลกใจว่า ใครเป็นคนคิดคนแรกว่าพระอินทร์จะเสวยนมเปรี้ยวบีทาเก้น?? เช่นเดียวกับน้ำแดงถวายรูปปั้นยักษ์ใหญ่ที่อยู่ด้านนอก
ละลายทรัพย์
หลุดเขต ตม. มาได้ ท่านจะพบกับถนนคนเดินที่เปิด 24 ชั่วโมง ที่นี่คือ ดินแดนปลอดอากร หรือ Duty Free ที่มีขายตั้งแต่สินค้าแบรนด์เนม เครื่องใช้ไฟฟ้า สุรา ยาสูบ ขนมคบเคี้ยว ข้าวเหนียวมะม่วง โอย... เยอะ ข้อแม้อย่างเดียวของที่นี่คือซื้อแล้วต้องนำออกไปใช้นอกประเทศ แต่ดูๆแล้วหลายๆ อย่างก็แอบแพงอยู่นะ
พวกเครื่องดื่มแอลกอฮอลและบุหรี่ ก่อนจะซื้อต้องสำรวจด้วยนะว่า ประเทศปลายทางที่เราไป มีข้อจำกัดให้นำเข้าได้ไม่เกินเท่าไหร่ ไม่งั้นอาจจะมีซื้อไปทิ้งกับบ้างล่ะ
ขากลับก็เช่นกัน ประเทศไทยสามารถนำเข้าโดยไม่ต้องชำระอากร สุราได้ไม่เกินคนละ 1 ลิตร บุหรี่ไม่เกิน 200 มวน ถ้าเกินนั้นก็ต้องเลือกว่าจะเสี่ยงเข้าช่องเขียว หรือยอมชำระอากรในช่องแดง
ร้านอาหารในโซนนี้ ถ้าจะกินอย่างน้อยต้องมีแบงก์ห้าร้อยอัพ แทบต้องขายตัวมาซื้อข้าวกิน มันเป็นโซนที่กรมการค้าหรือพาณิชย์มาตรวจกลับไม่พบว่ามีอะไรที่แพงเกินไป จริงจริ๊ง..งนะ (เสียงสูง)
ถ้าใครหิวข้าวและพอมีเวลาเหลือ เช็คอินเสร็จก่อนเข้าจุดตรวจค้น ก็แวะกินที่ศูนย์อาหารเมจิคชั้น 1 ด้านทิศตะวันตกจะดีกว่าประหยัดกว่า
ส่วนน้ำเปล่า ในนี้เขานิยมน้ำแร่ออร่า อีเวียง ขวดนึงก็ราวๆ ห้าสิบบาท แต่ถ้าต้องการน้ำธรรมดาราคาถูก ร้านขายยา Boots มีขายนะ 7 บาทเท่านั้น แต่ก็ต้องใช้หนังสือเดินทางกับบอร์ดดิ้งพาสในการซื้อด้วย
Review บินไปกัวลาลัมเปอร์กับสายการบินไทย เที่ยวบิน TG417
รายละเอียดการเดินทาง
วันที่ 25 มิถุนายน 2019
สายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG417
กรุงเทพ(สุวรรณภูมิ)-กัวลาลัมเปอร์ (เซปัง)
กำหนดออก 16:40น. ถึงปลายทาง 19:50น. ตามเวลาท้องถิ่น
เปิดภาพแรกด้วยเครื่องเช็คอินอัตโนมัติ
วันนี้เราจะเดินทางไปกับสายการบินไทย ซึ่งมีต้นทางที่สถานีสุวรรณภูมิ โดยทุกการเริ่มต้นเดินทางด้วยเครื่องบิน ทุกคนต้องเช็คอินใช่ไหมครั
สำหรับการบินไทยแล้ว เขาก็จะมีเค้าเตอร์เช็คอินมากมายหลายโซน ทั้งวีไอพี บิสคลาส อีโค่ในประเทศ ต่างประเทศ สำหรับผมในวันนี้เดินทางไปในชั้นประหยัด (ตรงไหนว้า) เค้าเตอร์เช็คอินสำหรับเที่ยวบินต่างประเทศจะอยู่แถวที่ H และ J
แต่ถ้าใครสะดวกเช็คอินทางอินเตอร์เน็ตมาก่อน ก็สามารถมารับบัตรโดยสาร (Boarding Pass) หรือจะมาเช็คอินเลือกที่นั่งด้วยตนเองกับเจ้าเครื่อง Kiosk สีฟ้าๆ นี้ก็ได้เช่นกัน
และระบบเช็คอินทุกช่องทางจะปิดรับก่อนเวลาเครื่องออก 60 นาทีครับ
เช็คอิน
สำหรับผมเองแล้วเลือกที่จะเช็คอินเลือกที่นั่งทางอินเตอร์เน็ตมาก่อน เมื่อมาถึงแล้วก็สามารถตรงมาเพื่อโหลดสัมภาระได้ที่ช่องสำหรับผู้เช็คอินทางอินเทอร์เน็ตได้เลย
สำหรับน้ำหนักสัมภาระในแต่ละชั้นโดยสารแต่ละเส้นทางก็จะแตกต่างกันไป ในเส้นทางกัวลาลัมเปอร์นี้ถ้าตั๋วโปรโมชั่นก็จะโหลดได้ 20 กก. ตั๋วชั้นประหยัดทั่วไปก็ 30 กก. ชั้นธุรกิจ 40 กก.
ซึ่งถ้าใครเป็นสมาชิกรอยัลออคิดพลัส ตั้งแต่ระดับบัตรเงินบัตรทองก็จะได้น้ำหนักเพิ่มขึ้นไปตามฐานันดรของแต่ละบัตร
บอร์ดดิ้งพาส
ในขั้นตอนเช็คอินบางครั้งเจ้าหน้าที่อาจจะมีการสอบถามเกี่ยวกับตั๋วเครื่องบินเที่ยวกลับ กรณีที่เราไม่ได้กลับด้วยสารการบินเดียวกัน
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะให้เจ้าบัตรโดยสารหรือบอร์ดดิ้งพาสนี้มา หน้าที่ของเราก็คือต้องดูรายละเอียดด้วยว่า บัตรเป็นชื่อเรา เที่ยวบินที่เราไป หรือไม่ ย้ำ!!! ว่า ต้องดูทุกครั้ง เพราะประสบการณ์ผมเคยเจอว่า ไปได้บอร์ดดิ้งพาสของคนอื่นที่ชื่อคล้ายๆ กันมาแทน หมุนตัวกลับไปเปลี่ยนเกือบไม่ทัน ไม่งั้นอาจจะได้ไปเที่ยวที่อื่นแทน เตือนแล้วนะ!!!
ข้อมูลในบัตรโดยสารก็จะบอกถึงเที่ยวบินของเรา ประตูทางออกหมายเลขใด เลขที่นั่งและเวลาขึ้นเครื่องซึ่งนั่นเป็นเวลาที่เราควรต้องไปถึงประตูทางออกแล้ว
ความสุขเล็กๆ ของผมจะอยู่ตรงข้อความ SEQ. คือลำกับการเช็คอิน ซึ่งถ้าได้เลข SEQ.001 นี้จะเป็นอะไรที่ปลื้มมาก สำหรับเที่ยวบินนี้ผมได้ลำดับที่ 015 ซึ่งแพ้ผู้โดยสารต่อเครื่องจากที่อื่น
แลกเงิน
การไปต่างประเทศ เงินบาทของประเทศไทยจะใช้ได้ก็แค่ที่ลาวแล้วก็แถวๆ ปอยเปต แค่นั้น ดังนั้นเราต้องไปแลกเงินครับ ไปมาเลย์ก็ต้องใช้เงินสกุลริงกิต ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนฤดูกาลนี้อาจจะเป็นที่ถูกอกถูกใจแก่นักท่องเที่ยวยิ่งลัก ค่าเงินมาเลย์ตกอยู่ที่ 7.45 บาทต่อ 1 ริงกิตเท่านั้น
การแลกเงินถ้าในสนามบินตามเค้าเตอร์ธนาคารเรทอาจจะแพงมาก แต่ถ้าคนที่เดินทางบ่อยๆ เขาจะรู้กัน จุดแลกเงินที่เรทงามๆ ในสนามบินสุวรรณภูมิให้กดลิฟท์ลงไปชั้น B เลยครับ เดินไปข้างๆ สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้ง มีให้เลือกหลากสีเลยครับ เรทก็ไล่ๆ กัน แต่ยังไงก็ถูกกว่าแลกข้างบนแน่นอน
การแลกเงินไปต่างประเทศควรแลกไปให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะต้องใช้ เหลือกลับมาแลกกลับอาจจะน้ำตาตกได้นะครับ เพราะช่วงนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นทุกวัน
ช่องทางผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ
เมื่อเคลียร์ตัวเองเสร็จแล้ว ก็เตรียมตัวไปขึ้นเครื่อง สำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศก็ต้องเข้ากระบวนการต่างๆ ของสนามบินซึ่งค่าใช้จ่ายการผ่านกระบวนการเหล่านี้รวมอยู่ในภาษีสนามบิน 700 บาทที่พวกเราเต็มใจจ่ายโดยไม่มีอิดออดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จากเค้าเตอร์เช็คอินการบินไทยแถว H, J เดินเข้ามาสุดด้านใน หลังรูปปั้นยักษ์ใหญ่ก็จะเจอบันไดเลื่อนพร้อมป้ายผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ จุดนี้จะมีเจ้าหน้าที่สนามบินตรวจสอบขั้นต้น ให้เราเตรียมบอร์ดดิ้งพาส และหนังสือเดินทาง (บัตรประชาชนกับใบขับขี่ใช้แทนไม่ได้นะเจ๊)
จุดตรวจค้น
หลังจากขึ้นบันไดเลื่อนมา ก็จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรโดยสารกับหนังสือเดินทางอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็จะคอยต้อนให้เราเข้าไปต่อคิวเพื่อตรวจค้น
และนี่คือจำนวนผู้โดยสารที่รอเข้าตรวจค้น เห็นจำนวนคนแล้วเอ่อ...แปดสิบเปอร์เซ็นเป็นประชาชนจากแผ่นดินใหญ่ นึกถึงเจ็ดร้อยบาทที่จ่ายไปอีกครั้ง ตรงนี้ผมใช้เวลาราว 15 นาทีกว่าๆ จึงจะผ่านได้
ขั้นการตรวจค้นก่อนอื่นเราก็ต้องแยกพวก Laptop Powerbank โทรศัพท์ และก็พวกของเหลวออกจากกระเป๋ามาใส่ถาดแยกต่างหาก
ปลดทุกอย่างที่เป็นโลหะที่ติดตัวมา เช่นนาฬิกา เครื่องประดับ เข็มขัด เศษเหรียญแยกใส่ถาดเช่นกัน ยกเว้นฟันปลอมไม่ต้อง ถอดเสื้อ ถอดรองเท้าใส่ถาดเรียงๆ กันคนนึงก็สองสามถาด ส่งเข้าเครื่องแสกนแล้วเราก็เดินผ่านเครื่องแสกนร้อยล้านที่ไม่ได้ใช้งานมาเข้าช่องแสกนเล็กๆ ข้างๆมารอรับของอีกฝั่งหนึ่ง
ประสบการณ์อันปวดกบาลของจุดตรวจค้นนี้ครั้งหนึ่งผมเคยจะแยก Powerbank ออกจากกระเป๋า อีเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าให้ใส่ไว้ข้างในกระเป๋า พอผ่านเครื่องแสกนไปอีกฝั่ง อีเจ้าหน้าที่ฝั่งนั้นบอกขอดู ช่วยนำออกจากกระเป๋าด้วยค่ะ ตอนนั้นได้แต่ชมในใจว่า "อี..ย ไม่คุยกันมาก่อนเหรอ"
ตรวจหนังสือเดินทาง
หลังจากผ่านจุดตรวจค้นอันแสนทรหดมาแล้ว เดินตามทางต่อมาก็จะเจอบันไดเลื่อนลงไปเค้าเตอร์ตรวจหนังสือเดินทาง
บันไดเลื่อนด้านซ้าย ผมไม่รู้ว่ามันใช้ได้หรือเปล่ามากี่ครั้งกี่ปีก็ไม่เคยเห็นเปิดใช้
พอลงบันไดเลื่อนไปแล้ว ทีนี้ก็เริ่มแยกระหว่างคนที่ถือหนังสือเดินทางไทย จีน สิงคโปร์ กับประเทศอื่นๆ ล่ะ
คนที่ถือหนังสือเดินทางไทย สิงคโปร์สามารถมุ่งตรงไปที่เครื่องอัตโนมัติได้เลย แต่เครื่องของไทยกับสิงคโปร์แยกกันนะ ไทยเลี้ยวซ้าย สิงโปเลี้ยวขวา ประเทศอื่นๆ เชิญเค้าเตอร์ค่ะ
การตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติเริ่มต้นเราจะต้องสอดหนังสือเดินทางคว่ำหน้าที่มีชื่อเราเข้าไปในเครื่อง สักพักระบบจะบอกให้เราเอาหนังสือเดินทางออกและกดหมายเลขเที่ยวบิน ซึ่งเราต้องกดให้ครบทั้งตัวหนังสือและตัวเลข เช่น TG417 อะไรแบบนี้ แต่ถ้ามีบอร์ดดิ้งพาสอยู่ในมือจะใช้การแสกนโค้ดเลยก็ง่ายเช่นกัน ตรงนี้มือใหม่ไม่ต้องกังวลนะ จุดนี้เขามีเจ้าหน้าที่คอยชั่วยเหลือ
หลังจากกดหมายเลขเที่ยวบินแล้วประตูแรกจะเปิดออก ให้เราไปยืนตรงที่มีตำแหน่งรอยเท้า ถอดแว่น ส่งสายตาจิกไปยังกล้อง ยิ้มมุมปากเล็กน้อยประหนึ่งคิดว่าประเทศไทยจ๋าหนูลาก่อน วางนิ้วชี้มือขวาตรงกระจกสำหรันแสกนนิ้ว เสร็จแล้วระบบจะขึ้นข้อความ "ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ" พร้อมเปิดประตูอีกด้านให้เราก้าวออกไปสวยๆ เป็นว่าเราออกนอกประเทศเรียบร้อยแล้ว
ส่วนรูปพื้นที่ด้านล่างไม่สามารถถ่ายได้นะครับ
ปฏิมากรรมกวนเกษียรสมุทร
ผ่านจุดตรวจหนังสือเดินทางถ้าเป็นทางออก 2 ก็จะเจอปฏิมากรรมพระนารายณ์กวนเกษียรสมุทร ถ้าใครมาครั้งแรกๆ ก็อาจจะตื่นตาตื่นใจแอ๊บแบ๊วถ่ายรูปเก็บไว้สักหน่อย เพราะขากลับเข้ามาเราจะไม่ผ่านจุดนี้ ส่วนคนที่มาบ่อยๆ ก็แค่หยุดยืนไหว้สักการะหรือไม่ก็อาจจะเดินผ่านเลยไป
แต่ก็มีขั้นแอดวานซ์กว่า ตามความเชื่อในแบบไทยๆ มีการนำเครื่องเซ่น น้ำเปล่าหรือพวงมาลัยดอกไม้มาถวายซึ่งนั้นก็ปกติ แต่ที่ผมแปลกใจว่า ใครเป็นคนคิดคนแรกว่าพระอินทร์จะเสวยนมเปรี้ยวบีทาเก้น?? เช่นเดียวกับน้ำแดงถวายรูปปั้นยักษ์ใหญ่ที่อยู่ด้านนอก
ละลายทรัพย์
หลุดเขต ตม. มาได้ ท่านจะพบกับถนนคนเดินที่เปิด 24 ชั่วโมง ที่นี่คือ ดินแดนปลอดอากร หรือ Duty Free ที่มีขายตั้งแต่สินค้าแบรนด์เนม เครื่องใช้ไฟฟ้า สุรา ยาสูบ ขนมคบเคี้ยว ข้าวเหนียวมะม่วง โอย... เยอะ ข้อแม้อย่างเดียวของที่นี่คือซื้อแล้วต้องนำออกไปใช้นอกประเทศ แต่ดูๆแล้วหลายๆ อย่างก็แอบแพงอยู่นะ
พวกเครื่องดื่มแอลกอฮอลและบุหรี่ ก่อนจะซื้อต้องสำรวจด้วยนะว่า ประเทศปลายทางที่เราไป มีข้อจำกัดให้นำเข้าได้ไม่เกินเท่าไหร่ ไม่งั้นอาจจะมีซื้อไปทิ้งกับบ้างล่ะ
ขากลับก็เช่นกัน ประเทศไทยสามารถนำเข้าโดยไม่ต้องชำระอากร สุราได้ไม่เกินคนละ 1 ลิตร บุหรี่ไม่เกิน 200 มวน ถ้าเกินนั้นก็ต้องเลือกว่าจะเสี่ยงเข้าช่องเขียว หรือยอมชำระอากรในช่องแดง
ร้านอาหารในโซนนี้ ถ้าจะกินอย่างน้อยต้องมีแบงก์ห้าร้อยอัพ แทบต้องขายตัวมาซื้อข้าวกิน มันเป็นโซนที่กรมการค้าหรือพาณิชย์มาตรวจกลับไม่พบว่ามีอะไรที่แพงเกินไป จริงจริ๊ง..งนะ (เสียงสูง)
ถ้าใครหิวข้าวและพอมีเวลาเหลือ เช็คอินเสร็จก่อนเข้าจุดตรวจค้น ก็แวะกินที่ศูนย์อาหารเมจิคชั้น 1 ด้านทิศตะวันตกจะดีกว่าประหยัดกว่า
ส่วนน้ำเปล่า ในนี้เขานิยมน้ำแร่ออร่า อีเวียง ขวดนึงก็ราวๆ ห้าสิบบาท แต่ถ้าต้องการน้ำธรรมดาราคาถูก ร้านขายยา Boots มีขายนะ 7 บาทเท่านั้น แต่ก็ต้องใช้หนังสือเดินทางกับบอร์ดดิ้งพาสในการซื้อด้วย