✖︎
✖︎
ทหารอเมริกันยิงปืนครกใกล้เมือง Rhine 1945
@ Thirteen Productions LLC
✖︎
✖︎
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ความขยันอดทนอันน่าทึ่งของ
ทหารนาซีเยอรมันและทหารสัมพันธมิตร
ต่างใช้ยาที่มีส่วนผสมลับ/ยาเสริมประสิทธิภาพ
ในช่วงทศวรรษที่ 1940 ทหารนาซีเยอรมัน
ได้รับยา
Methamphetamine ชื่อ Pervitin
ในขณะที่ทหารอเมริกันและอังกฤษ
จะได้รับยา
Amphetamine ชื่อ Benzedrine
ทหารเสนารักษ์ทั้งสองฝ่ายต่างแจกจ่าย
ยาสารกระตุ้นเหล่านี้และอื่น ๆ เช่น Cocaine คาแฟอีน
เพื่อทำให้ทหารที่เหนื่อยล้าตื่นขึ้นมา
อย่างกระฉับกระเฉงในวันที่ต้องสู้รบกันหนักมาก
เพื่อให้กองกำลังปฏิบัติการได้ยาวนานขึ้น
ภายใต้เงื่อนไขการลงโทษ/สู้แหลก
และเพื่อระงับ/บรรเทาความน่ากลัว/ความอ่อนล้าต่าง ๆ
จากอาการบาดเจ็บ/ความเครียดหลังจากเกิดบาดแผล (PTSD)
ตามรายงานของ
Secrets of the Dead : World War Speed
สารคดีที่ออกอากาศในวันที่ 25 มิถุนายน 2019
ผลจากการสู้รบที่แข่งขันกันต้องการจะเอาชนะกัน
การแข่งขันด้วยอาวุธยาจึงเข้มข้นอย่างแรง
พวกทหารที่ใช้ยาเหล่านี้ต่างถูกยัดเยียดยาจนเกินขีดจำกัด
เกินอัตราปกติที่คนเราควรจะใช้ยาได้ในแต่ละครั้ง
แต่ผลกระทบระยะยาวของการใช้ยาเหล่านี้
มักถูกมองข้ามโดยทหารเสนารักษ์/กองทัพ
ตัวแทนจาก PBS กล่าวในรายงาน
Amphetamines กับ Methamphetamines
คือ กลุ่มสารกระตุ้นที่ส่งผลกระทบต่อระบบ
ประสาทส่วนกลาง ตามรายงานของ
สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH)
ยา Amphetamines
ยานี้ทำให้เกิดความรู้สึกสบาย
เพิ่มความตื่นตัวและลดความอยากอาหาร
ตามรายงานสถาบันยาเสพติดแห่งชาติ (NIDA)
ทำให้ผอมแห้งแรงน้อยขาดอาหาร 5 หมู่
ยา Methamphetamines
การเสพยาจำนวนมากในครั้งเดียว
อาจทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมสมองโดยตรง
เมื่อเทียบกับยาชนิดอื่น ๆ
นั้นหมายความว่ายาจะออกฤทธิ์ยาวนาน
และอาจเป็นอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง
ตามข้อมูลจาก NIDA ทำให้เพี้ยน บ้าคลั่ง ดีดได้
✖︎
✖︎
✖︎
Pervitin ยาผลึกแก้วใสของทหารนาซีเยอรมัน
ให้โดยเสนารักษ์ของกองทัพในช่วง WWII
@ : Thirteen Productions LLC
✖︎
ยา ไม่กลัวและบ้าคลั่ง
ยา Methamphetamine/Pervitin ของเยอรมัน
มีการขายในท้องตลาดในช่วงปี 1930
เพื่อการสันทนาการ-ปลุกให้ตื่น
นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลอง Pervitin ก่อน WWII
เพื่อดูว่าผู้ใช้ที่เป็นนักศึกษา
จะตื่นตัวได้นานแค่ไหน
และยังคงทำข้อสอบได้ดีขนาดไหน
ในช่วงปี 1940
ยา Pervitin มีการแจกจ่ายกันอย่างกว้างขวาง
ในหมู่นักบินในกองทัพอากาศ Luftwaffe
เพื่อนำไปสู่ภารกิจการรบที่ยาวนาน
ขับไล่ความง่วงนอนและความหิวกระหาย
ถ้าเครื่องบินเกิดถูกใ่ายตรงข้ามยิงตก
ปีนั้นเป็นปีแห่ง สงครามสายฟ้าแลบ
นาซีเยอรมันโจมตีด้วยการทิ้งระเบิด
แบบไม่หยุดยั้งกับอังกฤษ
โดยกองบินทิ้งระเบิดหลายเที่ยวบินมาก
James Holland นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2
และที่ปรึกษาด้านสารคดี กล่าวสรุป
✖︎
✖︎
" ตามบันทึก British War Office
ประเมินว่าในช่วงสามเดือนของสงครามฟ้าแลบ
ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงมิถุนายน 1940
มีการส่งยา Pervitin มากกว่า 35 ล้านเม็ด
ให้กับทหารเยอรมัน กะลาสีเรือนักบิน
จำนวนกว่า 3 ล้านคนที่มารบ
ผลของฤทธิ์ยา Pervitin ทำให้ทหาร Wehrmacht
กองทัพนาซีเยอรมนีเดินทัพไกล
และต่อสู้อย่างยาวนานเป็นเวลา 10 วันติดต่อกัน
แม้ว่าจะถูกปิดล้อมและติดกับดักกองทัพอังกฤษ
แต่ก็สามารถมีชัยชนะในการรบที่ Dunkirk
ทำให้อังกฤษต้องถอยทัพไปตั้งหลักที่เกาะ
ในสหราชอาณาจักรจึงมีข่าวลือแพร่สะพัดว่า
นักบินเรือบินทิ้งระเบิดเยอรมันเก่งเหนือคน
เพราะสู้กับแรง
G-forces ได้ด้วยยา
หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้บรรยายการพบเห็น
พลร่มชาวเยอรมันผู้ซึ่ง เสพยาอย่างหนัก
จนไม่กลัวตาย และรบอย่างบ้าคลั่ง "
Nicolas Rasmussen อาจารย์ประจำ
คณะมนุษยศาสตร์และภาษา
University of New South Wales ใน Australia
ตามรายงานในปี 2012
The Journal of Interdisciplinary History
✖︎
✖︎
✖︎
Benzedrine แบบสูดดม หรือ กิน
ของทหารสัมพันธมิตร
@ Thirteen Productions LLC
✖︎
✖︎
คุณไม่สามารถฝืนต่อไปได้
หลังจากเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับอังกฤษ
ค้นพบกล่องใส่ยา Pervitin
ภายในเครื่องบินเยอรมันนีที่ถูกยิงตก
ทางการทหารจึงได้วางแผนจะเสริมเพิ่มพลัง
ให้ทน ให้อึด กับทหารสัมพันธมิตร
ด้วยสารเคมีที่คล้ายกับยา Pervitin
จึงคิดค้น Amphetamine/Benzedrine
ในรูปยาเม็ดและยาดม
กองทัพอากาศสหราชอาณาจักร
ได้อนุมัติให้ใช้อย่างเป็นทางการในปี 1941
โดยให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่เสนารักษ์
ที่ประจำอยู่กับฝูงบินหรือฐานทัพอากาศ
" มันหยุดคุณจากการนอนหลับ
แต่มันไม่หยุดคุณจากความรู้สึกเหนื่อยล้า
ร่างกายของคุณไม่มีโอกาสฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้า
มันทรมาน ดังนั้นเมื่อมาถึงจุดที่คุณหลุดจากยา
แล้วคุณก็จะฟุบลง คุณไม่สามารถฝืนต่อไปได้
กองทัพอังกฤษและอเมริกา
ต่างใช้ Amphetamine ในขณะนั้น
แม้ว่ายังไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างเพียงพอว่า
ยาจะเพิ่มประสิทธิภาพในการรบที่เหนื่อยล้า
แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรต่างได้ใช้ยานี้
สำหรับปรับเปลี่ยนอารมณ์
เพื่อเพิ่มความก้าวร้าวและความมั่นใจ
และสร้างขวัญและกำลังใจในการรบ "
Nicolas Rasmussen สรุปผลการศึกษาในปี 2011
ในปี 1942
ทหารอเมริกันยกพลขึ้นบกในแอฟริกาเหนือ
ทหารต้องปฏิบัติการรบภายใต้อิทธิพล
แนวคิดเรื่องความรวดเร็ว ทนและอึด
ยา Benzedrine มากกว่าห้าแสนเม็ด
จึงถูกสั่งให้ผลิตขึ้นมาตามคำสั่งของ
พล.อ.พิเศษ
Dwight D. Eisenhower
มีบันทึกจากผู้บัญชาการของอังกฤษ ระบุว่า
ทหารกองพลยานเกราะรถถังที่ 24 ของอังกฤษ
ได้รับ Benzedrine 20 มิลลิกรัมต่อวัน
ก่อนการสู้รบในอียิปต์ร่วมกับทหารสหรัฐ
โดยการเปรียบเทียบปริมาณที่แนะนำ
สำหรับนักบินในกองทัพอากาศ
ในเวลานั้นที่ใช้เพียง 10 มิลลิกรัม
ตามรายงานสารคดีของ PBS
Amphetamines ได้รับการยอมรับแล้วว่า
มีความเสี่ยงสูงในการติดยาและใช้ในทางที่ผิด
แต่ในปี 1940 ผู้เชี่ยวชาญ/กองทัพ
ต่างได้พยายามละเลยเพิกเฉยแนวคิดนี้
ด้วยการใช้ในรูปแบบนวนิยายทางวิทยาศาสตร์
นักวิจัยได้รายงานในปี 2013 ใน
Journal of Psychopharmacology
" แม้ว่า Benzedrine ไม่อันตรายเท่า Pervitin
แต่ถึงอย่างไรยาทุกชนิดยังคงมีความเสี่ยงอยู่
ในตอนท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2
มีความรู้ที่เพิ่มขึ้นมากเกี่ยวกับ
อาการ/ผลข้างเคียงของยาเหล่านี้
แต่สิ่งที่ยังไม่เห็นก็คือ เรื่องที่ต้องทำต่อไป
กับพวกคนที่ติดยา ที่ต้องเรียนรู้การรักษา
ให้ลดละเลิก ในปีต่อ ๆ มา
การติดยาพวกนี้อย่างเต็มที่
และมีอันตรายอย่างไรบ้าง
เป็นเรื่องที่ยังไม่เข้าใจอย่างถูกต้อง
ในตอนท้ายของสงคราม
ทางการให้ความช่วยเหลือบ้าง
แต่ให้เพียงเล็กน้อยกับผู้ที่ติดยาเหล่านี้ "
James Holland ให้สัมภาษณ์กับ Live Science
เรียบเรียง/ที่มา
http://bit.ly/31W5dy7
✖︎
✖︎
เรื่องเล่าไร้สาระ
มีบางคนสันนิษฐานว่า
ฮิตเลอร์คงแอบใช้ยา Pervitin ด้วย
เพราะปราศรัยได้ยาวนานและดุดันอย่างยิ่ง
มีครั้งหนึ่ง ที่ฮิตเลอร์ไปพบมุสโซลีนี ผู้นำอิตาลี
ฮิตเลอร์สามารถพล่ามได้ยาวนานถึง 6 ชั่วโมง
พร้อมกับอาการตาขวางแบบไม่ยอมหุบปาก
ในสมัยก่อนปี 2539 ยาประเภทนี้
แถวบ้านนอกเมืองไทยจะมีรถเร่ขายยา
ที่ฉายหนังกลางแปลงตามวัด/ที่สาธารณะ
แล้วบอกขายยาพร้อมกับฉายหนังกลางแปลง
มักจะเป็นยาผงใช้ชื่อสลากยาหน้าซองว่า
ยาขยัน
สรรพคุณ กินแก้ปวดแก้เมื่อย
กินแล้วขยันขันแข็ง ทำงานหนักได้ดี
ดีกว่าการกินการเคี้ยวใบกระท่อม ที่สู้แดดแพ้ฝน
เพราะการเคี้ยวใบกระท่อม
ถ้าถูกฝน/กระทบความชื้น จะปวดเมื่อย
และขี้หนาวขึ้นมาทำให้ทำงานไม่รอด
ต่อมามีการพัฒนาเป็นยาเม็ด
ในสมัยก่อนไม่มีการควบคุมหรือห้ามจำหน่าย
ใช้ชื่อเรียกขานกันว่า
ยาม้า
บางคนว่ามาจากชื่อย่อยา Am=M
บางคนว่ามาจากยาโด๊ปม้าแข่งให้วิ่งสู้
ในยุคที่ยังไม่มีเครื่องมือตรวจจับยาโด๊ป
บางคนว่ามาจากรูปม้ายายี่ห้อดัง Wellcome
เจ้าแรกที่ขายที่นำมาขายในไทย
(ตอนนี้ผลิตขายยาอื่น ๆ แล้ว)
แบบกินแล้วคึกคักเหมือนม้าดีดกระโหลก
มักจะนิยมกินกันในพวกนิสิตนักศึกษา
ที่หาค่ำกินเช้า ไม่ค่อยเข้าเรียน อ่านหนังสือไม่ทัน
คือ กินยาเพื่อไม่ให้ง่วง จะได้อ่านหนังสือโต้รุ่ง
ก่อนเข้าสอบในวันรุ่งขึ้น ได้บ้าง ตกบ้าง
มีข่าวเล่าลือกันว่า
บางโรงงานผสมยาม้าลงในถังน้ำดื่มคูลเลอร์
เพื่อให้พวกคนงานที่กินน้ำ จะได้ขยันทำงานหนัก
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้มากในยุคนั้น
ที่การซื้อขายยาม้ายังไม่ผิดกฎหมาย
ส่วนพวกรถสิบล้อก็มักจะนิยมกินยาม้า
แต่จะใช้แทะเป็นขา ๆ ที่ละนิดแก้ง่วง
คือ เม็ดหนึ่งจะแบ่งเป็นสี่ส่วน เรียกว่า สี่ขา
ยาม้าจะมัดติดกับพวงมาลัยดอกไม้
ที่มักจะแขวนกับกระจกมองหลังในรถบรรทุก
โดยจะหาซื้อกันตามร้านข้างทาง
ที่มีคนขายพวงมาลัยขาประจำช่วงค่ำ ๆ
มีซิก(Signal)กันว่า พวงมาลัยพิเศษ/เซ่นเจ้า
หรือชูนิ้ว 1-2 นิ้ว แบบเป็นอันรู้กัน
ก็จะมียาม้าแขวนมัดติดกับพวงมาลัย 1-2 เม็ด
ในช่วงที่กฎหมายยังไม่เข้มงวด
และยังไม่มีการตรวจจับฉี่ม่วง ในช่วงเวลานั้น
วิธีน็อคฤทธิ์ยาม้า
หลังจากขับรถสิบล้อถึงที่หมายแล้ว
คนขับสิบล้อบอกว่าให้ดื่มเบียร์เย็น ๆ
จะทำให้ง่วงนอนหลับสบายไปเลย
ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาทำภาระกิจต่อไป
เพราะมักจะตีด่วนราว 8-12 ชั่วโมงรวดเดียว
แล้วพักหนึ่งวันก่อนขับเที่ยวต่อไป
เว้นแต่บางรายที่โลภมากยอมแบกเที่ยวก็กินยา
ต่อมายาม้านี้มีการระบาดมาก
เพราะผลิตง่าย ซิ้อง่าย ขายคล่อง หลายยี่ห้อด้วย
จนทางการต้องออกกฎหมายลงโทษอย่างรุนแรง
ในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2539
และมีการตรวจจับฉี่ม่วง
ทำให้พวกขับรถสิบล้อต้องเพลาลง
แต่ไประบาดในหมู่วัยรุ่น/บางกลุ่มแทน
เพราะกินแล้วดีดดีกว่า ถูกกว่าเหล้าในช่วงแรก
สมัยนายเสนาะ เทียนทอง รมต.สาธารณสุข
ได้เปลี่ยนชื่อให้เรียก ยาม้า ว่า ยาบ้า
✖︎
✖︎
✖︎
✖︎
✖︎
กำเนิดยาบ้า
✖︎
✖︎
หน่วยแซปเปอร์ของเวียตกง
จากคำบอกเล่าของนายอภิชาติ ชอบชื่นชม
ที่ติดคุกที่บางเขนในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519
พร้อมกับนิสิตนักศึกษาจำนวนหนึ่ง
ท่านรู้จักแซปเปอร์เวียตกงคนหนึ่งที่ถูกจับตัวได้
ถูกขังที่คุกแห่งนี้ กำลังรอการแลกเปลี่ยนเชลยศึก
นักโทษเวียตกงรายนี้แข็งแรงมาก
และฟิตร่างกายตลอดเวลาที่ติดคุก และบอกว่า
ถ้าถูกปล่อยตัวจะกลับไปรบเพื่อชาติต่อไป
กับยอมรับว่าถูกซ้อมหนักมากก่อนถูกขังที่นี่
พร้อมกับยอมรับว่า
ก่อนการรบใหญ่พวกแซปเปอร์เวียตกง
จะมีการฉีดมอร์ฟืนทำให้สตรีม มึนเมา
เพื่อกระตุ้นไม่ให้เจ็บปวดเวลาถูกยิง
หรือถูกของมีคมเกี่ยว ทำให้เกิดบาดแผล
ทำให้การรบกับพวกนี้จะลำบากมาก
เพราะไม่กลัวตาย/ไม่กลัวเจ็บแต่อย่างใด
Stream จากฤทธิ์มอร์ฟีนจนมึนชาไปหมดแล้ว
และเรื่องดังกล่าวก็มีการยืนยันในศึกเวียตนาม
ยาขยันของทหารนาซีเยอรมันและทหารฝ่ายสัมพันธมิตร
✖︎
ทหารอเมริกันยิงปืนครกใกล้เมือง Rhine 1945
@ Thirteen Productions LLC
✖︎
✖︎
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ความขยันอดทนอันน่าทึ่งของ
ทหารนาซีเยอรมันและทหารสัมพันธมิตร
ต่างใช้ยาที่มีส่วนผสมลับ/ยาเสริมประสิทธิภาพ
ในช่วงทศวรรษที่ 1940 ทหารนาซีเยอรมัน
ได้รับยา Methamphetamine ชื่อ Pervitin
ในขณะที่ทหารอเมริกันและอังกฤษ
จะได้รับยา Amphetamine ชื่อ Benzedrine
ทหารเสนารักษ์ทั้งสองฝ่ายต่างแจกจ่าย
ยาสารกระตุ้นเหล่านี้และอื่น ๆ เช่น Cocaine คาแฟอีน
เพื่อทำให้ทหารที่เหนื่อยล้าตื่นขึ้นมา
อย่างกระฉับกระเฉงในวันที่ต้องสู้รบกันหนักมาก
เพื่อให้กองกำลังปฏิบัติการได้ยาวนานขึ้น
ภายใต้เงื่อนไขการลงโทษ/สู้แหลก
และเพื่อระงับ/บรรเทาความน่ากลัว/ความอ่อนล้าต่าง ๆ
จากอาการบาดเจ็บ/ความเครียดหลังจากเกิดบาดแผล (PTSD)
ตามรายงานของ Secrets of the Dead : World War Speed
สารคดีที่ออกอากาศในวันที่ 25 มิถุนายน 2019
ผลจากการสู้รบที่แข่งขันกันต้องการจะเอาชนะกัน
การแข่งขันด้วยอาวุธยาจึงเข้มข้นอย่างแรง
พวกทหารที่ใช้ยาเหล่านี้ต่างถูกยัดเยียดยาจนเกินขีดจำกัด
เกินอัตราปกติที่คนเราควรจะใช้ยาได้ในแต่ละครั้ง
แต่ผลกระทบระยะยาวของการใช้ยาเหล่านี้
มักถูกมองข้ามโดยทหารเสนารักษ์/กองทัพ
ตัวแทนจาก PBS กล่าวในรายงาน
Amphetamines กับ Methamphetamines
คือ กลุ่มสารกระตุ้นที่ส่งผลกระทบต่อระบบ
ประสาทส่วนกลาง ตามรายงานของ
สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH)
ยา Amphetamines
ยานี้ทำให้เกิดความรู้สึกสบาย
เพิ่มความตื่นตัวและลดความอยากอาหาร
ตามรายงานสถาบันยาเสพติดแห่งชาติ (NIDA)
ทำให้ผอมแห้งแรงน้อยขาดอาหาร 5 หมู่
ยา Methamphetamines
การเสพยาจำนวนมากในครั้งเดียว
อาจทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมสมองโดยตรง
เมื่อเทียบกับยาชนิดอื่น ๆ
นั้นหมายความว่ายาจะออกฤทธิ์ยาวนาน
และอาจเป็นอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง
ตามข้อมูลจาก NIDA ทำให้เพี้ยน บ้าคลั่ง ดีดได้
✖︎
✖︎
Pervitin ยาผลึกแก้วใสของทหารนาซีเยอรมัน
ให้โดยเสนารักษ์ของกองทัพในช่วง WWII
@ : Thirteen Productions LLC
✖︎
ยา ไม่กลัวและบ้าคลั่ง
ยา Methamphetamine/Pervitin ของเยอรมัน
มีการขายในท้องตลาดในช่วงปี 1930
เพื่อการสันทนาการ-ปลุกให้ตื่น
นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลอง Pervitin ก่อน WWII
เพื่อดูว่าผู้ใช้ที่เป็นนักศึกษา
จะตื่นตัวได้นานแค่ไหน
และยังคงทำข้อสอบได้ดีขนาดไหน
ในช่วงปี 1940
ยา Pervitin มีการแจกจ่ายกันอย่างกว้างขวาง
ในหมู่นักบินในกองทัพอากาศ Luftwaffe
เพื่อนำไปสู่ภารกิจการรบที่ยาวนาน
ขับไล่ความง่วงนอนและความหิวกระหาย
ถ้าเครื่องบินเกิดถูกใ่ายตรงข้ามยิงตก
ปีนั้นเป็นปีแห่ง สงครามสายฟ้าแลบ
นาซีเยอรมันโจมตีด้วยการทิ้งระเบิด
แบบไม่หยุดยั้งกับอังกฤษ
โดยกองบินทิ้งระเบิดหลายเที่ยวบินมาก
James Holland นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2
และที่ปรึกษาด้านสารคดี กล่าวสรุป
✖︎
" ตามบันทึก British War Office
ประเมินว่าในช่วงสามเดือนของสงครามฟ้าแลบ
ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงมิถุนายน 1940
มีการส่งยา Pervitin มากกว่า 35 ล้านเม็ด
ให้กับทหารเยอรมัน กะลาสีเรือนักบิน
จำนวนกว่า 3 ล้านคนที่มารบ
ผลของฤทธิ์ยา Pervitin ทำให้ทหาร Wehrmacht
กองทัพนาซีเยอรมนีเดินทัพไกล
และต่อสู้อย่างยาวนานเป็นเวลา 10 วันติดต่อกัน
แม้ว่าจะถูกปิดล้อมและติดกับดักกองทัพอังกฤษ
แต่ก็สามารถมีชัยชนะในการรบที่ Dunkirk
ทำให้อังกฤษต้องถอยทัพไปตั้งหลักที่เกาะ
ในสหราชอาณาจักรจึงมีข่าวลือแพร่สะพัดว่า
นักบินเรือบินทิ้งระเบิดเยอรมันเก่งเหนือคน
เพราะสู้กับแรง G-forces ได้ด้วยยา
หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้บรรยายการพบเห็น
พลร่มชาวเยอรมันผู้ซึ่ง เสพยาอย่างหนัก
จนไม่กลัวตาย และรบอย่างบ้าคลั่ง "
Nicolas Rasmussen อาจารย์ประจำ
คณะมนุษยศาสตร์และภาษา
University of New South Wales ใน Australia
ตามรายงานในปี 2012
The Journal of Interdisciplinary History
✖︎
✖︎
Benzedrine แบบสูดดม หรือ กิน
ของทหารสัมพันธมิตร
@ Thirteen Productions LLC
✖︎
✖︎
คุณไม่สามารถฝืนต่อไปได้
หลังจากเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับอังกฤษ
ค้นพบกล่องใส่ยา Pervitin
ภายในเครื่องบินเยอรมันนีที่ถูกยิงตก
ทางการทหารจึงได้วางแผนจะเสริมเพิ่มพลัง
ให้ทน ให้อึด กับทหารสัมพันธมิตร
ด้วยสารเคมีที่คล้ายกับยา Pervitin
จึงคิดค้น Amphetamine/Benzedrine
ในรูปยาเม็ดและยาดม
กองทัพอากาศสหราชอาณาจักร
ได้อนุมัติให้ใช้อย่างเป็นทางการในปี 1941
โดยให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่เสนารักษ์
ที่ประจำอยู่กับฝูงบินหรือฐานทัพอากาศ
" มันหยุดคุณจากการนอนหลับ
แต่มันไม่หยุดคุณจากความรู้สึกเหนื่อยล้า
ร่างกายของคุณไม่มีโอกาสฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้า
มันทรมาน ดังนั้นเมื่อมาถึงจุดที่คุณหลุดจากยา
แล้วคุณก็จะฟุบลง คุณไม่สามารถฝืนต่อไปได้
กองทัพอังกฤษและอเมริกา
ต่างใช้ Amphetamine ในขณะนั้น
แม้ว่ายังไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างเพียงพอว่า
ยาจะเพิ่มประสิทธิภาพในการรบที่เหนื่อยล้า
แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรต่างได้ใช้ยานี้
สำหรับปรับเปลี่ยนอารมณ์
เพื่อเพิ่มความก้าวร้าวและความมั่นใจ
และสร้างขวัญและกำลังใจในการรบ "
Nicolas Rasmussen สรุปผลการศึกษาในปี 2011
ในปี 1942
ทหารอเมริกันยกพลขึ้นบกในแอฟริกาเหนือ
ทหารต้องปฏิบัติการรบภายใต้อิทธิพล
แนวคิดเรื่องความรวดเร็ว ทนและอึด
ยา Benzedrine มากกว่าห้าแสนเม็ด
จึงถูกสั่งให้ผลิตขึ้นมาตามคำสั่งของ
พล.อ.พิเศษ Dwight D. Eisenhower
มีบันทึกจากผู้บัญชาการของอังกฤษ ระบุว่า
ทหารกองพลยานเกราะรถถังที่ 24 ของอังกฤษ
ได้รับ Benzedrine 20 มิลลิกรัมต่อวัน
ก่อนการสู้รบในอียิปต์ร่วมกับทหารสหรัฐ
โดยการเปรียบเทียบปริมาณที่แนะนำ
สำหรับนักบินในกองทัพอากาศ
ในเวลานั้นที่ใช้เพียง 10 มิลลิกรัม
ตามรายงานสารคดีของ PBS
Amphetamines ได้รับการยอมรับแล้วว่า
มีความเสี่ยงสูงในการติดยาและใช้ในทางที่ผิด
แต่ในปี 1940 ผู้เชี่ยวชาญ/กองทัพ
ต่างได้พยายามละเลยเพิกเฉยแนวคิดนี้
ด้วยการใช้ในรูปแบบนวนิยายทางวิทยาศาสตร์
นักวิจัยได้รายงานในปี 2013 ใน
Journal of Psychopharmacology
" แม้ว่า Benzedrine ไม่อันตรายเท่า Pervitin
แต่ถึงอย่างไรยาทุกชนิดยังคงมีความเสี่ยงอยู่
ในตอนท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2
มีความรู้ที่เพิ่มขึ้นมากเกี่ยวกับ
อาการ/ผลข้างเคียงของยาเหล่านี้
แต่สิ่งที่ยังไม่เห็นก็คือ เรื่องที่ต้องทำต่อไป
กับพวกคนที่ติดยา ที่ต้องเรียนรู้การรักษา
ให้ลดละเลิก ในปีต่อ ๆ มา
การติดยาพวกนี้อย่างเต็มที่
และมีอันตรายอย่างไรบ้าง
เป็นเรื่องที่ยังไม่เข้าใจอย่างถูกต้อง
ในตอนท้ายของสงคราม
ทางการให้ความช่วยเหลือบ้าง
แต่ให้เพียงเล็กน้อยกับผู้ที่ติดยาเหล่านี้ "
James Holland ให้สัมภาษณ์กับ Live Science
เรียบเรียง/ที่มา
http://bit.ly/31W5dy7
✖︎
เรื่องเล่าไร้สาระ
มีบางคนสันนิษฐานว่า
ฮิตเลอร์คงแอบใช้ยา Pervitin ด้วย
เพราะปราศรัยได้ยาวนานและดุดันอย่างยิ่ง
มีครั้งหนึ่ง ที่ฮิตเลอร์ไปพบมุสโซลีนี ผู้นำอิตาลี
ฮิตเลอร์สามารถพล่ามได้ยาวนานถึง 6 ชั่วโมง
พร้อมกับอาการตาขวางแบบไม่ยอมหุบปาก
ในสมัยก่อนปี 2539 ยาประเภทนี้
แถวบ้านนอกเมืองไทยจะมีรถเร่ขายยา
ที่ฉายหนังกลางแปลงตามวัด/ที่สาธารณะ
แล้วบอกขายยาพร้อมกับฉายหนังกลางแปลง
มักจะเป็นยาผงใช้ชื่อสลากยาหน้าซองว่า ยาขยัน
สรรพคุณ กินแก้ปวดแก้เมื่อย
กินแล้วขยันขันแข็ง ทำงานหนักได้ดี
ดีกว่าการกินการเคี้ยวใบกระท่อม ที่สู้แดดแพ้ฝน
เพราะการเคี้ยวใบกระท่อม
ถ้าถูกฝน/กระทบความชื้น จะปวดเมื่อย
และขี้หนาวขึ้นมาทำให้ทำงานไม่รอด
ต่อมามีการพัฒนาเป็นยาเม็ด
ในสมัยก่อนไม่มีการควบคุมหรือห้ามจำหน่าย
ใช้ชื่อเรียกขานกันว่า ยาม้า
บางคนว่ามาจากชื่อย่อยา Am=M
บางคนว่ามาจากยาโด๊ปม้าแข่งให้วิ่งสู้
ในยุคที่ยังไม่มีเครื่องมือตรวจจับยาโด๊ป
บางคนว่ามาจากรูปม้ายายี่ห้อดัง Wellcome
เจ้าแรกที่ขายที่นำมาขายในไทย
(ตอนนี้ผลิตขายยาอื่น ๆ แล้ว)
แบบกินแล้วคึกคักเหมือนม้าดีดกระโหลก
มักจะนิยมกินกันในพวกนิสิตนักศึกษา
ที่หาค่ำกินเช้า ไม่ค่อยเข้าเรียน อ่านหนังสือไม่ทัน
คือ กินยาเพื่อไม่ให้ง่วง จะได้อ่านหนังสือโต้รุ่ง
ก่อนเข้าสอบในวันรุ่งขึ้น ได้บ้าง ตกบ้าง
มีข่าวเล่าลือกันว่า
บางโรงงานผสมยาม้าลงในถังน้ำดื่มคูลเลอร์
เพื่อให้พวกคนงานที่กินน้ำ จะได้ขยันทำงานหนัก
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้มากในยุคนั้น
ที่การซื้อขายยาม้ายังไม่ผิดกฎหมาย
ส่วนพวกรถสิบล้อก็มักจะนิยมกินยาม้า
แต่จะใช้แทะเป็นขา ๆ ที่ละนิดแก้ง่วง
คือ เม็ดหนึ่งจะแบ่งเป็นสี่ส่วน เรียกว่า สี่ขา
ยาม้าจะมัดติดกับพวงมาลัยดอกไม้
ที่มักจะแขวนกับกระจกมองหลังในรถบรรทุก
โดยจะหาซื้อกันตามร้านข้างทาง
ที่มีคนขายพวงมาลัยขาประจำช่วงค่ำ ๆ
มีซิก(Signal)กันว่า พวงมาลัยพิเศษ/เซ่นเจ้า
หรือชูนิ้ว 1-2 นิ้ว แบบเป็นอันรู้กัน
ก็จะมียาม้าแขวนมัดติดกับพวงมาลัย 1-2 เม็ด
ในช่วงที่กฎหมายยังไม่เข้มงวด
และยังไม่มีการตรวจจับฉี่ม่วง ในช่วงเวลานั้น
วิธีน็อคฤทธิ์ยาม้า
หลังจากขับรถสิบล้อถึงที่หมายแล้ว
คนขับสิบล้อบอกว่าให้ดื่มเบียร์เย็น ๆ
จะทำให้ง่วงนอนหลับสบายไปเลย
ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาทำภาระกิจต่อไป
เพราะมักจะตีด่วนราว 8-12 ชั่วโมงรวดเดียว
แล้วพักหนึ่งวันก่อนขับเที่ยวต่อไป
เว้นแต่บางรายที่โลภมากยอมแบกเที่ยวก็กินยา
ต่อมายาม้านี้มีการระบาดมาก
เพราะผลิตง่าย ซิ้อง่าย ขายคล่อง หลายยี่ห้อด้วย
จนทางการต้องออกกฎหมายลงโทษอย่างรุนแรง
ในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2539
และมีการตรวจจับฉี่ม่วง
ทำให้พวกขับรถสิบล้อต้องเพลาลง
แต่ไประบาดในหมู่วัยรุ่น/บางกลุ่มแทน
เพราะกินแล้วดีดดีกว่า ถูกกว่าเหล้าในช่วงแรก
สมัยนายเสนาะ เทียนทอง รมต.สาธารณสุข
ได้เปลี่ยนชื่อให้เรียก ยาม้า ว่า ยาบ้า
✖︎
✖︎
✖︎
✖︎
กำเนิดยาบ้า
✖︎
✖︎
หน่วยแซปเปอร์ของเวียตกง
จากคำบอกเล่าของนายอภิชาติ ชอบชื่นชม
ที่ติดคุกที่บางเขนในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519
พร้อมกับนิสิตนักศึกษาจำนวนหนึ่ง
ท่านรู้จักแซปเปอร์เวียตกงคนหนึ่งที่ถูกจับตัวได้
ถูกขังที่คุกแห่งนี้ กำลังรอการแลกเปลี่ยนเชลยศึก
นักโทษเวียตกงรายนี้แข็งแรงมาก
และฟิตร่างกายตลอดเวลาที่ติดคุก และบอกว่า
ถ้าถูกปล่อยตัวจะกลับไปรบเพื่อชาติต่อไป
กับยอมรับว่าถูกซ้อมหนักมากก่อนถูกขังที่นี่
พร้อมกับยอมรับว่า
ก่อนการรบใหญ่พวกแซปเปอร์เวียตกง
จะมีการฉีดมอร์ฟืนทำให้สตรีม มึนเมา
เพื่อกระตุ้นไม่ให้เจ็บปวดเวลาถูกยิง
หรือถูกของมีคมเกี่ยว ทำให้เกิดบาดแผล
ทำให้การรบกับพวกนี้จะลำบากมาก
เพราะไม่กลัวตาย/ไม่กลัวเจ็บแต่อย่างใด
Stream จากฤทธิ์มอร์ฟีนจนมึนชาไปหมดแล้ว
และเรื่องดังกล่าวก็มีการยืนยันในศึกเวียตนาม
✖︎
✖︎
✖︎
✖︎
✖︎