●●พยานปากเอกซัดทอด 'ทักษิณ'...ศาลฎีกาเฉลย 'อุตตม' รอดคุก!●●
ในระหว่างที่
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. โดยมีพรรคพลังประชารัฐ
(พปชร.) เป็นแบ็กอัพ ไล่สแกนคุณสมบัติรัฐมนตรีของพรรคร่วมรัฐบาล
กลับมีเสียงแย้งจากฝ่ายค้านเรียกร้องให้นายกฯ กลับมาปัดกวาดบ้านตัวเองเสียก่อนว่า คนใน
พปชร.ผ่านคุณสมบัติชั้นสูงและจริยธรรมการดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ ก่อนที่จะไปเช็กบิล
เพื่อนบ้านคนอื่นๆ
ไล่เรียงตั้งแต่ตัวผู้นำเองมีความสง่างามเพียงพอหรือไม่ หลังเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารเข้ามา
ยึดอำนาจพร้อมวางกติกา ทำพรรคการเมืองสืบทอดอำนาจ หรือกระแสต่อต้านที่บุคคลซึ่งมีคดีความรุนแรง
อย่าง เช่น เป็นกบฏ, ก่อการร้าย, ขัดขวางการเลือกตั้ง ที่กำลังจะเข้าไปเป็นรัฐมนตรี
ล่าสุดยังมีการนำคดีเก่ามาปัดฝุ่นด้วยข้อมูลใหม่โดยเอกสารลับมากจาก
"พิชัย นริพทะพันธุ์"
อดีตรัฐมนตรีพลังงานและอดีตแกนนำ ทษช. เรียกร้องให้
"อุตตม สาวนายน" หัวหน้า พปชร. เคลียร์ตัวเอง
ในสมัยยังเป็นคณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย ว่าเป็นผู้ร่วมอนุมัติเงินกู้ให้กลุ่มบริษัทในเครือกฤษดา
มหานครหรือไม่
ขณะที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาตัดสินให้กรรมการบริหารแบงก์กรุงไทย 3 ใน 5 คนถูกจำคุกหลังทำให้
ธนาคารกรุงไทยและรัฐเสียหาย 9.9 พันล้านบาท
แต่ทำไม
“อุตตม” จึงลอยนวล... ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยกำลังจะไปดำรงตำแหน่ง
รมว.การคลัง ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรฐานสูงขั้นเทพกว่าผู้บริหารธนาคารและวิญญูชนทั่วไป
โดย
"สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์" เลขาธิการ พปชร. ก็ออกมาแก้ข่าวแทนว่าเรื่องดังกล่าวจบไปแล้ว
และเชื่อว่าเป็นประเด็นการเมืองไม่น่าหนักใจ
ทั้งนี้ ในสถานการณ์ที่ยังคลุมเครือ เมื่อย้อนไปดูคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ
ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีกรุงไทยปล่อยกู้บริษัทในเครือกฤษดามหานคร จึงพอจะทราบได้ว่า
เหตุไฉน
อุตตม... จึงรอดคุก
ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ประกอบกับคำวินิจฉัยของ
"ศิริชัย วัฒนโยธิน" รองประธานศาลฎีกา
และผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีนี้ ได้อธิบายเบื้องหลังไว้อย่างน่าสนใจ
คำวินิจฉัยตอนหนึ่งถึงกรณีว่า
ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ์ อดีตประธานบอร์ดแบงก์กรุงไทย และ
"วิโรจน์ นวลแข"อดีตกรรมการผู้จัดการแบงก์กรุงไทย (ทั้ง 2 คนติดคุก) ร่วมกันกระทำความผิดกับ
ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2546 วันที่ประชุมอนุมัติสินเชื่อนั้น
ร.ท.วิโรจน์ โทรศัพท์
มาหา
"ชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์" บอร์ดแบงก์กรุงไทย (ขณะนั้น) ถูกกันไว้เป็นพยานสำคัญ ให้การว่า
“ซูเปอร์บอส” ตกลงแล้ว ขอให้อย่าคัดค้าน
หลังจากนั้น
"อุตตม" พยานสำคัญอีกปากให้การต่อศาลว่าวันที่ประชุมอนุมัติสินเชื่อ
"ชัยณรงค์"
บอกตนว่า ร.ท.สุชายได้บอก
"ชัยณรงค์" ว่า ขอให้พิจารณาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ตนจึงคิดว่าเป็นสัญญาณที่
ต้องการให้มีการอนุมัติสินเชื่อให้เครือกฤษดามหานครอย่างชัดเจน
แม้
"ชัยณรงค์" และ
"อุตตม" ต่างเป็นกรรมการบริหารที่เข้าร่วมประชุมในวันที่อนุมัติสินเชื่อ และ
ถูกกันเป็นพยานก็ตาม แต่
"ชัยณรงค์" และ
"อุตตม" ให้ถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อผู้ตรวจการ
ธนาคารพาณิชย์ สังกัดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตั้งแต่ภายหลังเกิดเหตุไม่นานนัก
นอกจากนี้
ชัยณรงค์ และ
อุตตม ยังให้การต่อพนักงานสอบสวน ยืนยันว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวคือ
การขอให้อนุมัติสินเชื่อให้เครือกฤษดามหานคร ในตอนนั้น
ทักษิณ ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่
เป็นผู้ใช้อำนาจตามกลไกของรัฐ หากไม่เป็นความจริง นายชัยณรงค์และนายอุตตมคงไม่กล้าที่จะปั้นน้ำเป็นตัว
แต่งเรื่องขึ้นมาเองใส่ร้ายนายทักษิณเพราะอาจเป็นภัยแก่ตัวเอง
ยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อถืออีกส่วนคือ แม้
ชัยณรงค์ และ
อุตตม ให้การเป็นคำบอกเล่าก็ตาม แต่
เส้นทางการเงินจากแบงก์ชาติ พบว่ามีการสั่งจ่ายแคชเชียร์เช็คจากเครือกฤษดามหานครไปเข้าบัญชของ "พานทองแท้ ชินวัตร" กับเครือข่ายตระกูลชินวัตรเป็นจำนวนมาก ข้อเท็จจริงส่วนนี้คือคดีฟอกเงินกรุงไทย ที่ "พานทองแท้" กำลังเผชิญอยู่ในชั้นศาล
ท้ายที่สุดคำวินิจฉัยระบุว่า ดังนั้น เมื่อประกอบกับคำให้การของ
ชัยณรงค์ และ
อุตตม แล้ว
จึงเห็นว่ากรณีมีเหตุน่าเชื่อว่าการอนุมัติสินเชื่อให้เครือกฤษดามหานครดังกล่าวเป็นการรับผลประโยชน์
ต่างตอบแทนแก่นายพานทองแท้กับพวก
ข้อมูลนี้อาจช่วยไขปริศนา เหตุใดนายอุตตม แม้เป็นผู้อนุมัติเองและความผิดสำเร็จไปแล้ว
แต่รอดคุก!!! เพราะเป็นพยานซัดทอดทักษิณ หรือ “ซูเปอร์บอส” ว่าเป็นตัวการใหญ่ทำความเสียหาย
ให้รัฐเกือบหมื่นล้านบาท.
Cr. https://www.thaipost.net/main/detail/39363
●●พยานปากเอกซัดทอด 'ทักษิณ'...ศาลฎีกาเฉลย 'อุตตม' รอดคุก!●●
ในระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. โดยมีพรรคพลังประชารัฐ
(พปชร.) เป็นแบ็กอัพ ไล่สแกนคุณสมบัติรัฐมนตรีของพรรคร่วมรัฐบาล
กลับมีเสียงแย้งจากฝ่ายค้านเรียกร้องให้นายกฯ กลับมาปัดกวาดบ้านตัวเองเสียก่อนว่า คนใน
พปชร.ผ่านคุณสมบัติชั้นสูงและจริยธรรมการดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ ก่อนที่จะไปเช็กบิล
เพื่อนบ้านคนอื่นๆ
ไล่เรียงตั้งแต่ตัวผู้นำเองมีความสง่างามเพียงพอหรือไม่ หลังเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารเข้ามา
ยึดอำนาจพร้อมวางกติกา ทำพรรคการเมืองสืบทอดอำนาจ หรือกระแสต่อต้านที่บุคคลซึ่งมีคดีความรุนแรง
อย่าง เช่น เป็นกบฏ, ก่อการร้าย, ขัดขวางการเลือกตั้ง ที่กำลังจะเข้าไปเป็นรัฐมนตรี
ล่าสุดยังมีการนำคดีเก่ามาปัดฝุ่นด้วยข้อมูลใหม่โดยเอกสารลับมากจาก "พิชัย นริพทะพันธุ์"
อดีตรัฐมนตรีพลังงานและอดีตแกนนำ ทษช. เรียกร้องให้ "อุตตม สาวนายน" หัวหน้า พปชร. เคลียร์ตัวเอง
ในสมัยยังเป็นคณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย ว่าเป็นผู้ร่วมอนุมัติเงินกู้ให้กลุ่มบริษัทในเครือกฤษดา
มหานครหรือไม่
ขณะที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาตัดสินให้กรรมการบริหารแบงก์กรุงไทย 3 ใน 5 คนถูกจำคุกหลังทำให้
ธนาคารกรุงไทยและรัฐเสียหาย 9.9 พันล้านบาท
แต่ทำไม “อุตตม” จึงลอยนวล... ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยกำลังจะไปดำรงตำแหน่ง
รมว.การคลัง ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรฐานสูงขั้นเทพกว่าผู้บริหารธนาคารและวิญญูชนทั่วไป
โดย "สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์" เลขาธิการ พปชร. ก็ออกมาแก้ข่าวแทนว่าเรื่องดังกล่าวจบไปแล้ว
และเชื่อว่าเป็นประเด็นการเมืองไม่น่าหนักใจ
ทั้งนี้ ในสถานการณ์ที่ยังคลุมเครือ เมื่อย้อนไปดูคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ
ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีกรุงไทยปล่อยกู้บริษัทในเครือกฤษดามหานคร จึงพอจะทราบได้ว่า
เหตุไฉน อุตตม... จึงรอดคุก
ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ประกอบกับคำวินิจฉัยของ "ศิริชัย วัฒนโยธิน" รองประธานศาลฎีกา
และผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีนี้ ได้อธิบายเบื้องหลังไว้อย่างน่าสนใจ
คำวินิจฉัยตอนหนึ่งถึงกรณีว่า ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ์ อดีตประธานบอร์ดแบงก์กรุงไทย และ
"วิโรจน์ นวลแข"อดีตกรรมการผู้จัดการแบงก์กรุงไทย (ทั้ง 2 คนติดคุก) ร่วมกันกระทำความผิดกับ
ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2546 วันที่ประชุมอนุมัติสินเชื่อนั้น ร.ท.วิโรจน์ โทรศัพท์
มาหา "ชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์" บอร์ดแบงก์กรุงไทย (ขณะนั้น) ถูกกันไว้เป็นพยานสำคัญ ให้การว่า
“ซูเปอร์บอส” ตกลงแล้ว ขอให้อย่าคัดค้าน
หลังจากนั้น "อุตตม" พยานสำคัญอีกปากให้การต่อศาลว่าวันที่ประชุมอนุมัติสินเชื่อ "ชัยณรงค์"
บอกตนว่า ร.ท.สุชายได้บอก "ชัยณรงค์" ว่า ขอให้พิจารณาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ตนจึงคิดว่าเป็นสัญญาณที่
ต้องการให้มีการอนุมัติสินเชื่อให้เครือกฤษดามหานครอย่างชัดเจน
แม้ "ชัยณรงค์" และ "อุตตม" ต่างเป็นกรรมการบริหารที่เข้าร่วมประชุมในวันที่อนุมัติสินเชื่อ และ
ถูกกันเป็นพยานก็ตาม แต่ "ชัยณรงค์" และ "อุตตม" ให้ถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อผู้ตรวจการ
ธนาคารพาณิชย์ สังกัดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตั้งแต่ภายหลังเกิดเหตุไม่นานนัก
นอกจากนี้ ชัยณรงค์ และ อุตตม ยังให้การต่อพนักงานสอบสวน ยืนยันว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวคือ
การขอให้อนุมัติสินเชื่อให้เครือกฤษดามหานคร ในตอนนั้น ทักษิณ ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่
เป็นผู้ใช้อำนาจตามกลไกของรัฐ หากไม่เป็นความจริง นายชัยณรงค์และนายอุตตมคงไม่กล้าที่จะปั้นน้ำเป็นตัว
แต่งเรื่องขึ้นมาเองใส่ร้ายนายทักษิณเพราะอาจเป็นภัยแก่ตัวเอง
ยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อถืออีกส่วนคือ แม้ ชัยณรงค์ และ อุตตม ให้การเป็นคำบอกเล่าก็ตาม แต่
เส้นทางการเงินจากแบงก์ชาติ พบว่ามีการสั่งจ่ายแคชเชียร์เช็คจากเครือกฤษดามหานครไปเข้าบัญชของ "พานทองแท้ ชินวัตร" กับเครือข่ายตระกูลชินวัตรเป็นจำนวนมาก ข้อเท็จจริงส่วนนี้คือคดีฟอกเงินกรุงไทย ที่ "พานทองแท้" กำลังเผชิญอยู่ในชั้นศาล
ท้ายที่สุดคำวินิจฉัยระบุว่า ดังนั้น เมื่อประกอบกับคำให้การของ ชัยณรงค์ และ อุตตม แล้ว
จึงเห็นว่ากรณีมีเหตุน่าเชื่อว่าการอนุมัติสินเชื่อให้เครือกฤษดามหานครดังกล่าวเป็นการรับผลประโยชน์
ต่างตอบแทนแก่นายพานทองแท้กับพวก
ข้อมูลนี้อาจช่วยไขปริศนา เหตุใดนายอุตตม แม้เป็นผู้อนุมัติเองและความผิดสำเร็จไปแล้ว
แต่รอดคุก!!! เพราะเป็นพยานซัดทอดทักษิณ หรือ “ซูเปอร์บอส” ว่าเป็นตัวการใหญ่ทำความเสียหาย
ให้รัฐเกือบหมื่นล้านบาท.
Cr. https://www.thaipost.net/main/detail/39363