+ + + แบกเป้ เที่ยวเท่ๆ ที่เบตง (Pechnamnil) + + +

กระทู้สนทนา
https://www.dailynews.co.th/economic/703061
https://mgronline.com/business/detail/9620000047435
https://www.thebangkokinsight.com/147316/
https://www.southernreports.org/2019/03/17/1132

ข้างบนเป็นลิงค์ข่าวความคืบหน้าการก่อสร้าง และกำหนดการเปิดสนามบินเบตงนะคะ ดีใจและยินดีไปกับชาวเบตงและยะลาจริงๆค่ะ  สนามบินเบตง กำหนดเปิดใช้อย่างเป็นทางการในปีหน้า เดือนนี้ล่ะค่ะ มิถุนายน 2563  ก็อีก 1 ปีพอดีเลย ถ้าสนามบินเบตงเปิด คาดว่า เบตง คงจะคึกคักและเศรษฐกิจเฟื่องฟูแน่ๆ โดยเฉพาะเรื่องของการท่องเที่ยว ที่ทางรัฐบาลหมายมั่นปั้นมือว่า จะใช้เป็นจุดขาย ในการดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้เข้ามาเยือนเบตง


เมื่อมีการคมนาคมสะดวกขึ้นอีกระดับหนึ่ง ผู้คนย่อมอยากเข้ามาเยือนเมืองเบตงมากขึ้น เมื่อนักท่องเที่ยวมีมากขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องก็ตามมา เช่น ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจนำเที่ยว รถแท็กซี่ รถนำเที่ยว มัคคุเทศก์ โรงแรมที่พักอาศัย ร้านขายของฝาก ของที่ระลึก เยอะแยะมากมายที่จะก่อให้เกิดรายได้และการจ้างงาน เม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่สะพัด ปลุกเบตงให้ตื่นจากความสงบเงียบเรียบง่ายแน่นอน

ในความเห็นของเพชรน้ำนิล นั้น ส่วนหนึ่งดีใจที่เบตง กำลังจะก้าวเข้าสู่ความเจริญเฟื่องฟู แต่อีกส่วนหนึ่ง ก็กังวลใจ กลัวว่าเบตงในวันนี้ จะไม่เหมือนเบตงในวันนี้อีกต่อไป .... เพราะวันนี้ เบตงมีเสน่ห์จังเลยค่ะ เสน่ห์เบตง !!


ระยะทางจากเมืองยะลาไปเบตงประมาณ 120 กิโลเมตร แต่วันนั้นเราพักที่หาดใหญ่ ออกจากหาดใหญ๋ 9 โมงเพราะต้องเผื่อเวลา (นี่เผื่อแล้วใช่มั๊ย?) การเดินทางด้วยการขับรถเองนั้น กว่าจะถึงเบตงคงจะบ่ายๆนู่นล่ะ เราจะให้ค่ำมืดระหว่างทางไม่ได้ (แล้วยะลาเกี่ยวตรงไหนล่ะนั่น เกี่ยวสิ เพราะเบตง เป็นอำเภอหนึ่งของยะลา 55)

จากยะลา เราผ่านเส้นทางสำคัญคือ อำเภอกรงปีนัง อำเภอบันนังสตา ผ่านพ้นจากบันนังสตาไป ก็เริ่มลัดเลาะไปตามป่าเขา ถนนเป็นแบบรถสวนทางกัน พื้นผิวถนนถือว่าค่อนข้างดี แต่ยังไงก็ทำความเร็วไม่ค่อยได้ เพราะเส้นทางคดเคี้ยว  ช่วงที่เข้าเขตอำเภอธารโตนั้น เราได้ผ่านหมู่บ้านชาวป่า "ซาไก" ด้วยนะคะ แต่ไม่ได้แวะเยี่ยมหรอก (คุยโม้เฉยๆ)  อีกอย่างที่ต้องระวังมากๆในการขับรถคือ ต้องระวังรถมอไซด์ของชาวบ้านด้วย เนื่องจากถนนแคบและไม่มีไหล่ทาง 

ใครที่ชื่นชอบและรักธรรมชาติ จะต้องตื่นตาตื่นใจไปกับวิวทิวทัศน์ที่สวยงามร่มรื่นสองข้างทางอย่างแน่นอนค่ะ ภูเขาที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน ตั้งเป็นลูกๆ ลักษณะเดียวกันกับที่กระบี่ พังงาเลย  เป็นรูปร่างเฉพาะของทางภาคใต้ ไม่ได้ติดกันเป็นเทือกเขาเหมือนทางภาคเหนือ อีสาน หรือภาคอื่นๆ มองดูแปลกตาและสูงชัน ต้นไม้ป่าไม้เขียวขจียืนต้นตรงแน่วสูงชะลูดแหงนมองคอตั้งบ่า พอถึงสะพานข้ามแม่น้ำ ที่น่าจะเป็นต้นน้ำของเขื่อนบางลาง  โอ้โห้ ... ต้องจอดรถกันเลยทีเดียว สวยมาก !


ถึงอำเภอเบตงเอาตอนเกือบบ่าย 2 โมง ลองทายดูสิคะว่าเราต้องทำอะไรก่อน หิวสิคะ ตาลีตาเหลือกขับรถตระเวนหาของกิน และก็เจอร้านอาหารที่ถูกใจ แน่นอนค่ะ มาถึงเบตงจะไม่ทานไก่เบตง มันก็ไม่ถึงเบตงสิ เราสั่งไก่เบตงมาทานกันคนละจานก่อน แล้วค่อยตามด้วยแกงส้มชะอมไข่กุ้ง กับผัดผักบุ้งไฟแดง และทอดมันปลากราย โหยยยย ไก่เบตงอร่อยสมคำร่ำลือเล่าอ้างจริงๆค่ะ ร้านเค้าเสริฟพร้อมข้าวสวยเรียงเม็ดนุ้มนุ่มหอกกรุ่น บอกไม่ถูกว่ามันอร่อยยังไง ต้องไปทานเองค่ะ  อันนี้พูดตรงๆเลยนะคะ กลับมาแล้วได้มาทานข้าวมันไก่ที่อื่น  มันเทียบกันไม่ได้จริงๆ  เพชรน้ำนิล ไม่ทานไก่ต้ม ข้าวมันไก่ ที่ไหนอีกเลยจนถึงตอนนี้


หลังจากอิ่มท้องแล้ว ก็ขับรถตระเวนเที่ยวชมตัวเมืองกันก่อน เบตง เมืองเล็กๆในหุบเขาดินแดนใต้สุดของประเทศไทย เค้าเรียกกันว่าเป็นเมืองในสายหมอก เพราะสภาพภูมิศาสตร์ของตัวเมืองเป็นเนินเขาเตี้ยๆสลับขึ้นลง อากาศเย็นชื้นตลอดทั้งปี ดังนั้นถ้าวันไหนที่อากาศชื้นมากๆ หลังฝนตกจะมีสายหมอกลอยปกคลุมไปทั่ว สังเกตว่า ตึกรามบ้านช่องของคนเบตง มักจะทาเป็นสีๆ ด้วยสีสันสดใสค่ะ มองดูเหมือนเมืองตุ๊กตา น่ารักดี และไฮไลท์ของเมืองเบตงอีกอันหนึ่งก็คือ ต้องไปลอดอุโมงค์เบตงค่ะ เป็นอุโมงค์ที่ยาว 273 เมตร กว้าง 7 เมตร สูง 9 เมตร ข้างในเป็นทางรถวิ่งสวนทางกัน มีทางเท้าทั้งสองฝั่ง เป็นอุโมงค์ที่สวยงาม ตอนกลางคืนมีติดไฟประดับประดาระยิบระยับด้วยนะคะ แต่เพชรไม่ได้ไปเดินตอนกลางคืนหรอก โม้เฉยๆ


ขับรถตระเวนเที่ยวตัวเมืองเสร็จ ลอดอุโมงค์ประมาณ 5 รอบ แล้วเราก็ได้ที่พักเป็นโรงแรมเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามกับตัวเมือง ตั้งอยู่บนเนินเขา ราคาไม่แพง เพชร ได้ห้องเมาเท่นวิวด้วย น่ารักดีค่ะ มีน้ำอุ่น ฟรีไวไฟ ตู้เย็น ทีวี ไดรเป่าผม ให้ครบครัน ที่นอนหมอนนุ่ม แอร์เย็นเฉียบนอนหลับสบายเลยค่ะ แถวๆนั้นมีร้านอาหาร มีเซเว่น มีร้านขายของกินเล็กๆของคนเบตง  ร้านเสื้อผ้า และมีร้านขายส้มโชกุนอันขึ้นชื่อของเมืองเบตงด้วยล่ะ เพชรซื้อมานั่งทานหมดไปเป้นกิโลๆ หวาน อร่อยอะ


ตอนเช้า เช็คเอาท์กันประมาณ 6 โมง เพราะต้องรีบไปดูทะเลหมอกค่ะ  แค่ขับรถอกมาพ้นเขตเทศบาล ก็เห็นสายหมอกลอยระเรี่ยปกคลุมพื้นถนนแล้วค่ะ อากาศเย็นสดชื่นมากๆ ถึงกัยปิดแอร์ในรถแล้วเปิดกระจกสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าฟอกปอดกันเลยทีเดียว ทะเลหมอกที่เรากำลังจะไปนี้ อยู่ในเส้นทางที่เรามานั่นแหละค่ะ แค่แวะเข้าไปตามทางขึ้นเขาเพียง 7 กิโลเมตรเอง ชื่อว่า ทะเลหมอก "อัยเยอร์เวง"


ทางขึ้นไปชมทะเลหมอก อัยเยอร์เวง เป็นถนนคอนกรีตเล็กๆ คดเคียวและลาดชันเลยทีเดียว คนขับรถต้องใช้ความระมัดระวังมากๆนะคะ เพราะเนื่องจากอากาศชื้นเย็น ไอน้ำเยอะลอยเรี่ยไปกับพื้น ทำให้พื้นถนนลื่น ทางหน่วยงานที่ดูแลได้ติดตั้งไฟส่องทางเป็นระยะๆ ตลอดช่วงทางขึ้น บางช่วงเป็นโค้งหักศอกและลาดชัน เผลอนิดเดียวอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้


ถึงจุดชมทะเลหมอกเกือบ 7 โมง แต่วันนี้อากาศชื้นมากและลมแรง ทำให้หมอกกระจายไม่รวมกลุ่มเป็นสายลอยอยู่ในหุบเขาเป็นทะเล เหมือนที่เคยเห็น พี่เจ้าหน้าที่อุทยานที่คอยดูแลอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว บอกว่า วันนี้โชคไม่ดีที่หมอกลงจัดแต่ไม่รวมกลุ่มกัน ซึ่งปกติทุกวัน จะเห็นเป้นทะเลสวยงามมาก โหยยยย .... พูดให้เพชรน้ำนิลเสียใจใช่มั๊ยเนี่ย ? แต่ไม่หรอก เพชรไม่ได้เสียใจเเละเสียดายเลยซักนิด เพราะหมอกที่ลงปกคลุมลอยเป็นริ้วๆผ่านหน้าไป ก็สวยงามมาก ได้บรรยากาศสดชื่นไปอีกแบบ ดีซะอีกได้เห็นบรรยากาศที่แปลกแตกต่างออกไป  เพชรถ่ายรูปบันทึกเอาความสวยงามนี้จนกล้องแทบเต็มเมมโมรี่ จึงได้ กลับลงมา เพราะต้องรีบกลับมาทำงาน และที่สำคัญ มีคนสำคัญรอทานข้าวเย็นอยู่ที่หาดใหญ่ค่ะ


ขากลับมา ช่วงก่อนถึงเมืองยะลา มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นข้างหน้าสดๆร้อนๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ได้ปิดถนนและให้รถที่กำลังวิ่งผ่านไปมา เลี่ยงไปใช้อีกเส้นทางหนึ่ง เราต้องขับรถเปลี่ยนเส้นทางทำให้ถึงเมืองยะลากันตอนเที่ยง แวะทานข้าวมันไก่ ด้วยคิดว่า มันจะต้องอร่อยเหมือนที่เบตง แต่มันไม่อร่อยได้เสี้ยวหนึ่งของเบตงเลยค่ะ


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่