ฮะแฮ่มๆ วันนี้ผมมีประสบการณ์ใหม่อยากมาแชร์ให้เพื่อนๆพันทิปได้ฟังกันครับ
(ยืมแอคเค้าท์เพื่อนมานะครับ)
คือนี่เป็นคนชอบกินกาแฟมากกกกกกกกกๆ
เริ่มตั้งแต่ไปนั่งชิวๆตามร้านกาแฟ นั่งทำงานบ้าง อ่านหนังสือบ้าง พาแฟนไปบ้าง
จนมีโอกาสได้สนิทกับพี่ๆบาริสต้า ได้เรียนรู้กาแฟแบบใหม่ๆ
จึงเกิดการหลงใหล และเริ่มคิดว่าถ้าเราได้ทำกินเองที่บ้านก็คงจะดีเหมือนกัน
ให้ตัวเราเอง หรือให้คนที่เรารัก มีความสุขกับการกินกาแฟตอนเช้าๆ
อ่านหนังสือไปพลาง คงจะภูมิใจไม่น้อย
งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
กาแฟที่ผมจะแชร์วิธีการทำในวันนี้ คือ กาแฟฟิลเตอร์
เหตุผลที่ต้องเป็นเจ้านี่ ก็เพราะว่า
1. เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เนื่องจากอุปกรณ์ที่ต้องใช้ราคาไม่แพงมาก สามารถเอื้อมถึงได้
(Espresso Machine สำหรับทำกาแฟเริ่มต้นก็หลายหมื่นไปจนถึงหลายแสนแล้วครับ
แต่ทุกอย่างที่ผมใช้ในวันนี้ ไม่เกิน 20,000 บาท หรืออาจถูกกว่านี้มาก)
2. กาแฟฟิลเตอร์ เป็นกาแฟที่สามารถดึงรสชาติของเมล็ดกาแฟออกมาได้เยอะ เหมาะแก่การเรียนรู้รสชาติที่แตกต่างกัน
เราจะได้รู้ว่าเราชอบแบบไหน
อุปกรณ์ที่ต้องใช้
ที่อยากเน้นหลักๆ มี
1. กาคอหงส์
(ราคาประมาณ 2,400 - 5,900 บาท มาพร้อมแท่นชาร์จและหน้าจอแสดงอุณหภูมิน้ำ)
ที่ต้องเป็นกาลักษณะนี้ เพราะจะช่วยให้เราสามารถเทน้ำได้อย่างแม่นยำขึ้นตามตำแหน่งที่เราต้องการ
และอุณหภูมิน้ำเป็นสิ่งสำคัญมากกกกกกกกกกก***
2. ตัวกรอง V60 (ชิ้นบน ราคาประมาณ 250 บาท)
เหยือกด้านล่าง สามารถเลือกได้ตามใจชอบ ขอแค่มองเห็นข้างในได้
ที่ต้องเป็น V60 เพราะว่าเป็นรูปทรงที่ออกแบบมาเพื่อการ Drip กาแฟโดยเฉพาะครับ
3. เครื่องบดมือ
(มีราคาตั้งแต่ 900 - 10,000 ต้นๆ)
4. กระดาษกรองสำหรับ V60
(ราคาประมาณ 150 บาท หาซื้อได้ทั่วไป ร้าน Loft ที่สยามก็มีครับ)
5. ตาชั่งดิจิทัล
มีให้เลือกหลายแบบมากครับ ที่ผมใช้เป็นยี่ห้อ Acaia
แต่ยี่ห้ออื่นก็มีขายตามร้านกาแฟ Specialty ทั่วไปครับ
***** สำหรับเมล็ดกาแฟ ควรจะเป็นเมล็ดคั่วอ่อน สีจะออกน้ำตาลอ่อน
หรือ Light Roast (เขียนไว้บนซอง)
เพราะเป็นชนิดที่เราสามารถดึงรสชาติออกมาได้เยอะกว่าชนิดคั่วกลางหรือเข้ม ที่เหมาะกับการชงแบบอื่น
แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนนะครับ *****
อุปกรณ์พร้อมแล้ว งั้นเรามาลุยกันเลยครับ!
โดยทั่วไปแล้ว การชงกาแฟฟิลเตอร์จะใช้สูตร 1 : 15
อธิบายอย่างง่ายคือ กาแฟ 1 กรัม ต่อน้ำ 15 มิลลิลิตร ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมตาชั่งจึงสำคัญ
***อันนี้เป็นสูตรสำหรับกาแฟ 1 แก้ว***
1. ชั่งเมล็ด 20 กรัม
อันนี้ผมชั่งเกินมานิดหน่อย ไม่เป็นไรนะครับ
2. นำเมล็ดกาแฟไปบดให้เป็นผง (แต่จับแล้วยังมีความหยาบอยู่ เล็กกว่าน้ำตาลทราย)
ออกมาจะเป็นประมาณนี้ครับ
3. ระหว่างนี้ให้เราต้มน้ำรอได้เลยครับ
ไม่ควรใช้น้ำที่มีกลิ่น เพราะจะทำให้รสชาติเสีย
อุณหภูมิของน้ำ สามารถใช้ได้ตั้งแต่ 87 องศา จนถึง 96 องศา ตามเมล็ดกาแฟที่เราเลือก
(โดยเราสามารถถามจากคนขายได้ว่าควรใช้น้ำที่กี่องศา)
วันนี้ผมใช้น้ำ 92 องศา (ยิ่งคั่วเข้มใช้น้ำอุณหภูมิต่ำ แต่ถ้าคั่วอ่อนให้ใช้อุณหภูมิสูง)
ขนาดเมล็ดกาแฟที่บดแล้วกับอุณหภูมิน้ำ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อรสชาติ
ความสนุกของการทำกาแฟทำเองที่บ้านคือการได้ทดลองกับเรื่องพวกนี้
เราจะสามารถเลือกได้ว่า กาแฟจะ ขม หวาน เปรี้ยว ได้จากปัจจัยพวกนี้ครับ
4. พอน้ำเดือดตามที่เราต้องการ ใส่กระดาษกรองลงไป
ให้ใช้น้ำล้างกระดาษกรองก่อน และเทน้ำล้างกระดาษทิ้ง
เพื่อให้กลิ่นกระดาษหายไป และให้เหยือกมีความร้อน
5. ใส่เมล็ดกาแฟที่บดแล้วลงไปในกระดาษกรอง
เขย่าหรือใช้มือตบให้กาแฟมีผิวเรียบ จะได้โดนน้ำอย่างทั่วถึง
(ตอนแรกผงกาแฟจะกองกันเป็นภูเขาเล็กๆนะครับ)
6. ใช้น้ำที่เราตั้งอุณหภูมิไว้ เทลงไป เริ่มที่ตรงกลาง แล้ววนออกให้เหมือนลายหอยสังข์
พอวนไปจนถึงข้างนอก ให้วนกลับเข้าด้านในอีกรอบนึง
เวลาเทน้ำต้องแบ่งสัดส่วนเวลาให้ดี
อันนี้เป็นสำหรับกาแฟฟิลเตอร์ร้อนนะครับ
6.1 ภายใน 30 วินาทีแรก ให้เทน้ำลงไปเป็นจำนวน 2 เท่า (40 กรัมในกรณีนี้) ของเมล็ดกาแฟ
อิงจากทฤษฎีที่ว่า กาแฟ 1 กรัม อมน้ำ 2 มิลลิลิตร โดยขั้นตอนนี้เราเรียกว่า Blooming
เพื่อไล่แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อเทน้ำเสร็จแล้ว ให้รอจนแก๊สออกหมด
(สังเกตุได้จากฟองอากาศ) เป็นเวลาประมาณ 30 วินาที
6.2 ในวินาทีที่ 31 ให้เทน้ำต่อจนน้ำครบ 120 กรัม แล้วรอจนครบ 1 นาที
6.3 ให้เติมน้ำลงไปอีก 60 (เป็น 180 กรัม) แล้วรอจนถึง 1 นาที 30 วิ
6.4 เติมไปอีก 60 (เป็น 240 กรัม) แล้วรอจนถึง 2 นาที
6.5 เติมไปอีก 60 (เป็น 300 กรัม) แล้วรอจนถึง 2 นาทีครึ่ง
6.6 ที่ 2 นาทีครึ่งให้หยุด
*ระหว่างรอเวลาก่อนเทน้ำครั้งต่อไป ควรเอากาไปต้มน้ำต่อเพื่อรักษาอุณหภูมิ
**ความเร็วในการเทควรเป็น 4มิลลิลิตรต่อวินาที แต่ถ้าทำไม่ได้
ไม่ต้องเครียด เพราะตัวผมเองก็ทำไม่ได้ครับ ถถถถ
เท่านี้เราก็จะได้กาแฟ 1 แก้วพร้อมดื่มครับ!!
ถ้ากาแฟออกมาขม แปลว่า เมล็ดอาจจะบดละเอียดไป
ถ้ากาแฟเปรี้ยว แปลว่า บดเมล็ดกาแฟหยาบไป
ถ้ากาแฟจาง แปลว่า ใช้น้ำมากไป
ถ้ากาแฟหนัก แปลว่า ใช้น้ำน้อยไป
จุดประสงค์ของเราคือ หาจุดตรงกลางระหว่างเปรี้ยวและขมตามความชอบของเราครับ!
ปล. ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผมอ่านมาและเรียนรู้ด้วยตัวเองในระยะเวลาอันสั้น
หากผิดพลาดประการใดก็ขอโทษไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
ปล2. ถ้าเพื่อนๆ มีคำแนะนำอะไร ก็สามารถแชร์กันมาได้นะครับ
ขอขอบคุณ
- พี่ๆบาริสต้าที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ที่สอนเทคนิคต่างๆให้กับผม
- พะโล้สตูดิโอ (@palo.studio) สำหรับพื้นที่ถ่ายทำ
และรูปสวยๆครับ!
[CR] How to ชงกาแฟฟิลเตอร์ให้เด็ดเหมือนเอาคาเฟ่มาอยู่ในบ้าน! (ฉบับดัมมี่)
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้