ภาวะแห่งความหลุดพ้น "วิโมกข์"
วิโมกข์ แปลว่า ความหลุดพ้น
๑. สุญญตวิโมกข์ คือ ภาวนาพระไตรลักษณ์ ๓ อย่าง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อเข้าสู่ความไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
๒. อนิมิตตวิโมกข์ คือ ถ้าใช้คำว่านิมิตคนทั่วไปจะงง จะใช้คำว่า หลุดออกจากคำว่า "สมมติ" เพราะคนทั่วไปจะไปเข้าใจว่าจะต้องไปนั่งหรือไปหลับถึงจะนิมิตได้ที่จริงไม่ใช่อย่างนี้ แต่ให้หลุดออกจากสิ่งสมมติ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งสมมติ คือ ให้หลุดออกจากสิ่งสมมติ เพราะว่าตอนนี้เราอยู่ในท่ามกลางแห่งความสมมติทั้งนั้น สมมติว่าตนนี้เรามีความสุขจริง แต่ไม่จริงแท้ แต่เป็นความสุขที่เราสมมติก็ได้ เช่น ตอนนี้เราสูบบุหรี่ คิดว่ามีความสุขแท้ แต่อาจจะไม่จริงก็ได้ เพราะเป็นสิ่งสมมติ
ตอนนี้เราอาจจะอยู่ในภูมิแห่งสมมติ แต่เราต้องไม่ไปหลงใหลกับมัน อย่าไปยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป ถ้าเกินไปเราก็จะหลงใหลก็จะเป็นปัญหา คือ ชื่นชมได้แต่อย่าหลง เพราะว่าเรายังอยู่ในภูมินี้ คนทั่วไปจะติดอยู่ในข้อ ๒ นี้เยอะ เพราะว่าคนยังอยู่ในภูมินี้อยู่
แต่ถ้าไปอธิบายว่า "นิมิต" คนก็จะงงมากเลย เพราะคนทั่วไปจะเข้าใจไปว่านิมิตคือจะต้องนั่งหลับตาก่อน หรือไม่ก็ต้องไปนั่งสมาธิแล้วจะเห็นอะไร ข้อนี้น่าจะแก้ภาษาตรงนี้ว่า เปลี่ยนจาก "นิมิต" เป็น "สมมติ" เราไม่ต้องไปหลับตาเลย ทุกวันนี้ เดี๋ยวนี้เราก็เจอสิ่งสมมติ เวลานี้เราใส่เสื้อ ไปวัดเราก็สมมติว่าเราต้องแต่งชุดไทยให้ดูดี นี่เป็นสิ่งสมมติขึ้นมา พอคนอยู่ในสิ่งสมมติก็พูดว่า วันนี้เขาใส่เสื้อดูดี สวยมากเลย เรียบร้อยจัง แต่เขาใส่เสื้อสีขาวๆ ธรรมดาไปวัดก็ได้ ทำไมต้องใส่เสื้อลายสวยๆ แม้แต่นาฬิกาอยู่ในข้อมือเราก็เป็นสิ่งสมมติ เราใส่ทำไหม เราก็จะตอบว่ามันสวยดี เท่ดี แต่อีกคนหนึ่งก็บอกว่าไม่สวย ไม่แท้ก็ได้ มันเป็นสิ่งสมมติของเรา
กูรักกิ๊กก็เป็นสิ่งสมมติของกู เวลานั้นเราตกอยู่ภาวะนั้น เพราะว่ากิ๊กมันทำดีต่อเรา เราก็รัก ถ้าไม่ใช่ เราก็จบเลิกกัน แต่เราจะเอาใจตนเอง ตามใจตนเอง เลยดึงไว้สิ่งที่ชอบเลยไม่อยากให้ไป ไม่อยากสูญเสีย ก็ยังติดสมมติ ก็ยังติดไว้ว่ากิ๊กมันดี ตรงนี้ดี สมมติว่าตอนนี้เรายัวะเขา แค้นเขา มันไม่ดียังไงกูก็จะแค้น กูต้องทำ นี่แหละติดสมมติทั้งนั้น
"แม่มันไม่ดีชอบด่ากู วันนี้ก็ว่ากูอีกแล้ว ทำไมต้องว่ากูทุกวัน" นี่ก็เป็นสิ่งสมมติ ลืมไปว่าสิ่งที่แม่ด่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็มี เป็นสิ่งที่ดีก็มี สิ่งที่หวังดีก็มี แต่ไปเหมารวมว่าสมมติไม่ดี อะไรก็ไม่ดีเลยยัวะขึ้นมา กูต้องไปล่ะ พอกลับบ้านเดี๋ยวก็เจอแม่อยู่ดี ลองคิดดูให้ดีๆ นะ กลับบ้านก็เจอแม่อยู่ดี หรือกลับบ้านไปก็ไปเจอผัว ไปหาผัวเดี๋ยวผัวก็พามาหาแม่อยู่ดี แต่ถ้าเราไม่ไปหาแม่ แต่จิตวิญญาณก็หนีไม่พ้นจากแม่ เพราะเรามีวิบากอยู่ แล้วเราจะหนียังไง จะเหาะไปไหน ต่อให้ไปเจอรถชนอีก แม่ก็ต้องมาดูเราอยู่ดี ตกลงเราอย่าไปหนีดีกว่า มาแก้กันดีกว่า ไม่ดีตรงไหน อดทนหน่อย เดี๋ยวอารมณ์ดีหน่อยก็มาคุยกัน ตรงนี้ไม่เอาได้มั้ยแม่ ตรงนี้เอาได้มั้ยแม่ ต้องคุยกัน คุยอย่างนี้ก็จะมีความสุข ไม่ใช่หนี
๓. อัปปณิหิตวิโมกข์ คือ เป็นสายอนัตตา ให้พิจารณาอนัตตา คือ ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ ไม่ควรเป็นเช่นนี้
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
ภาวะแห่งความหลุดพ้น "วิโมกข์"
วิโมกข์ แปลว่า ความหลุดพ้น
๑. สุญญตวิโมกข์ คือ ภาวนาพระไตรลักษณ์ ๓ อย่าง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อเข้าสู่ความไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
๒. อนิมิตตวิโมกข์ คือ ถ้าใช้คำว่านิมิตคนทั่วไปจะงง จะใช้คำว่า หลุดออกจากคำว่า "สมมติ" เพราะคนทั่วไปจะไปเข้าใจว่าจะต้องไปนั่งหรือไปหลับถึงจะนิมิตได้ที่จริงไม่ใช่อย่างนี้ แต่ให้หลุดออกจากสิ่งสมมติ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งสมมติ คือ ให้หลุดออกจากสิ่งสมมติ เพราะว่าตอนนี้เราอยู่ในท่ามกลางแห่งความสมมติทั้งนั้น สมมติว่าตนนี้เรามีความสุขจริง แต่ไม่จริงแท้ แต่เป็นความสุขที่เราสมมติก็ได้ เช่น ตอนนี้เราสูบบุหรี่ คิดว่ามีความสุขแท้ แต่อาจจะไม่จริงก็ได้ เพราะเป็นสิ่งสมมติ
ตอนนี้เราอาจจะอยู่ในภูมิแห่งสมมติ แต่เราต้องไม่ไปหลงใหลกับมัน อย่าไปยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป ถ้าเกินไปเราก็จะหลงใหลก็จะเป็นปัญหา คือ ชื่นชมได้แต่อย่าหลง เพราะว่าเรายังอยู่ในภูมินี้ คนทั่วไปจะติดอยู่ในข้อ ๒ นี้เยอะ เพราะว่าคนยังอยู่ในภูมินี้อยู่
แต่ถ้าไปอธิบายว่า "นิมิต" คนก็จะงงมากเลย เพราะคนทั่วไปจะเข้าใจไปว่านิมิตคือจะต้องนั่งหลับตาก่อน หรือไม่ก็ต้องไปนั่งสมาธิแล้วจะเห็นอะไร ข้อนี้น่าจะแก้ภาษาตรงนี้ว่า เปลี่ยนจาก "นิมิต" เป็น "สมมติ" เราไม่ต้องไปหลับตาเลย ทุกวันนี้ เดี๋ยวนี้เราก็เจอสิ่งสมมติ เวลานี้เราใส่เสื้อ ไปวัดเราก็สมมติว่าเราต้องแต่งชุดไทยให้ดูดี นี่เป็นสิ่งสมมติขึ้นมา พอคนอยู่ในสิ่งสมมติก็พูดว่า วันนี้เขาใส่เสื้อดูดี สวยมากเลย เรียบร้อยจัง แต่เขาใส่เสื้อสีขาวๆ ธรรมดาไปวัดก็ได้ ทำไมต้องใส่เสื้อลายสวยๆ แม้แต่นาฬิกาอยู่ในข้อมือเราก็เป็นสิ่งสมมติ เราใส่ทำไหม เราก็จะตอบว่ามันสวยดี เท่ดี แต่อีกคนหนึ่งก็บอกว่าไม่สวย ไม่แท้ก็ได้ มันเป็นสิ่งสมมติของเรา
กูรักกิ๊กก็เป็นสิ่งสมมติของกู เวลานั้นเราตกอยู่ภาวะนั้น เพราะว่ากิ๊กมันทำดีต่อเรา เราก็รัก ถ้าไม่ใช่ เราก็จบเลิกกัน แต่เราจะเอาใจตนเอง ตามใจตนเอง เลยดึงไว้สิ่งที่ชอบเลยไม่อยากให้ไป ไม่อยากสูญเสีย ก็ยังติดสมมติ ก็ยังติดไว้ว่ากิ๊กมันดี ตรงนี้ดี สมมติว่าตอนนี้เรายัวะเขา แค้นเขา มันไม่ดียังไงกูก็จะแค้น กูต้องทำ นี่แหละติดสมมติทั้งนั้น
"แม่มันไม่ดีชอบด่ากู วันนี้ก็ว่ากูอีกแล้ว ทำไมต้องว่ากูทุกวัน" นี่ก็เป็นสิ่งสมมติ ลืมไปว่าสิ่งที่แม่ด่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็มี เป็นสิ่งที่ดีก็มี สิ่งที่หวังดีก็มี แต่ไปเหมารวมว่าสมมติไม่ดี อะไรก็ไม่ดีเลยยัวะขึ้นมา กูต้องไปล่ะ พอกลับบ้านเดี๋ยวก็เจอแม่อยู่ดี ลองคิดดูให้ดีๆ นะ กลับบ้านก็เจอแม่อยู่ดี หรือกลับบ้านไปก็ไปเจอผัว ไปหาผัวเดี๋ยวผัวก็พามาหาแม่อยู่ดี แต่ถ้าเราไม่ไปหาแม่ แต่จิตวิญญาณก็หนีไม่พ้นจากแม่ เพราะเรามีวิบากอยู่ แล้วเราจะหนียังไง จะเหาะไปไหน ต่อให้ไปเจอรถชนอีก แม่ก็ต้องมาดูเราอยู่ดี ตกลงเราอย่าไปหนีดีกว่า มาแก้กันดีกว่า ไม่ดีตรงไหน อดทนหน่อย เดี๋ยวอารมณ์ดีหน่อยก็มาคุยกัน ตรงนี้ไม่เอาได้มั้ยแม่ ตรงนี้เอาได้มั้ยแม่ ต้องคุยกัน คุยอย่างนี้ก็จะมีความสุข ไม่ใช่หนี
๓. อัปปณิหิตวิโมกข์ คือ เป็นสายอนัตตา ให้พิจารณาอนัตตา คือ ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ ไม่ควรเป็นเช่นนี้
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต