เรื่องที่เขียนนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเส้นทางความรักของเราที่ผ่านมากับสามีคนปัจจุบัน ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่าเข้ามาฝังตัวในพันทิปมานานแล้ว
ชอบเข้ามาอ่านเรื่องราวของคนอื่นๆ หรือคิดอะไรไม่ออกก็เข้ามาหาคำตอบในพันทิปนี้แระค่ะ คิดไว้ว่าสักวันเราจะต้องขยันทำกระทู้เรื่องตัวเองในสักวัน
( คือมีเรื่องอยากเล่าให้ฟังเยอะมากแต่ขึ้เกียจพิมพ์และเรียบเรียง ) เ แต่กว่าเราจะได้มาคบและแต่งงานกันมันมีเรื่องราวระหว่างทางเยอะมากและเราก็ประทับใจมากเช่นกัน ไม่อยากให้มันหายไปกับความทรงจำของเรา เพราะเราเป็นคนขึ้ลืมและเหมือนมันจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ และกลัวว่าวันหนึ่งจะลืมความรักระหว่างทางของเราสองคน ถ้าถึงวันนั้นมันคงเศร้ามากสำหรับเรา ( เคยดูหนังเรื่องความจำสั้นแต่รักฉันยาวตอนนั้นยังน้ำตาไหล คิดว่าถ้าเกิดกับตัวเองจะเป็นยังไงน่ะ )
โลกกลมหรือพรหมลิขิต ...เริ่มจากเราสองคนอยู่หน่วยงานเดียวกันเราอยู่ส่วนกลาง เขาอยู่ส่วนภูมิภาคหน้างานคนและแบบและคนละจังหวัด เราต้องไปทำงานและพักในบ้านพักสำนักงานของเขาปีละ 3 – 4 ครั้ง เพื่อความสะดวกในการทำงาน ก่อนหน้านี้เราเคยเจอเขาบ้างแบบผ่านๆ ช่วงปี 2553 – 2555 ไม่ได้ให้ความรู้สึกพิเศษ แค่รู้ว่าอ้อคนนี้ทำงานที่นี้สิน่ะ และช่วงนั้นเหมือนเราจะมีคนคุยและเขาก็มีแฟนด้วยมั่ง ...ขอย้อนก่อนหน้านี้คือเราเคยมีแฟนที่คบกันมาประมาณ 5 ปีเลิกกันประมาณปลายปี 2550 เป็นแฟนคนแรกของเราคิดว่าเขาต้องเป็นคนสุดท้ายของชีวิตเลยแระ ( ตอนนั้นเราคงยังไม่โต ) แต่แล้วระยะทางและความห่างไกลก็ทำให้เขาไปเจอคนใหม่และบอกเลิกเราผ่านโทรศัพท์ ตอนนั้นเราเสียใจมากๆแต่ไม่ฟูมฟายไม่โวยวาย จบคือจบ และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ให้ใครบอกเลิกแบบนี้อีก ( ฉันต้องเป็นฝ่ายบอกเลิกเท่านั้นโดยไม่คำนึงถึงหน้าตาตัวเองเลย5555 ) หลังจากนั้นมาเราก็มีโอกาสได้เจอผู้คนและเรียนรู้ชีวิตมาเรื่อยๆแต่ไม่ได้แบบจริงจังอะไรมาก ถ้ารู้สึกว่าคุยแล้วไม่ใช่เราจะรีบหนีแบบดื้อๆไม่แคร์ความรู้สึกของฝั่งตรงข้ามเลยสักนิด เรานิสัยไม่ดีเลยเนอะ เราอยู่แบบไม่ได้คบใครประมาณเกือบ 2 ปี ช่วงเวลานี้เหมือนกับเราโตขึ้นมาก คิดอะไรเป็นผู้ใหญ่และเริ่มมองอนาคตตัวเองมากขึ้นและเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากๆ กับชีวิตสาวโสดอายุ 30+ อิอิ
จนกระทั้งกลางปี 2556 เราก็ไปทำงานเป็นครั้งที่ 2 ของปีน่าจะเดือนพฤษภาคม ทุกครั้งที่เราไปทีมงานเราจะพักบ้านพักรับรองประมาณ 2 – 3 คืน ครั้งนี้ น้ำที่บ้านพักไม่ไหลทำให้ทีมเรา รวมทั้งคนที่ทำงานพี่เค้าต้องไปอาบน้ำในเขื่อนแต่เราเป็นผู้หญิงพี่ๆเลยตักขึ้นมาให้อาบในห้องน้ำค่ะ และได้รู้ว่าพี่เค้าจะขายรถ พี่ที่ทำงานสนใจเลยขอให้พี่เค้ามาเปิดรถให้ดูด้านในเราก็เลยเจอพี่เค้ามากขึ้นอีกหน่อย แต่ยังไม่ได้รู้สึกอะไรน่ะ และพี่เค้าก็คงไม่ได้รู้สึกกับเราเช่นกันแระ5555555 อารมณ์ประมาณแค่แขกมาพัก หลังจากทำงานเสร็จเราก็กลับกรุงเทพปกติ
จากนั้นเราและทีมงานก็มาทำงานอีกครั้งช่วงปลายเดือนกรกฎาคม และเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์กับพี่เค้าค่ะ เนื่องจากพี่เค้าหน้าเด็กกว่าอายุจริงจึงทำให้เราเข้าใจผิดคิดว่าพี่เค้าอายุน้อยกว่าเพราะเราฝังใจกับแฟนคนแรกที่คบคนอายุน้อยกว่า 1 ปีแล้วผิดหวัง ( ที่ไหนได้พี่เค้าแก่กว่าเราตั้ง 5 ปีแน่ะ อิอิ ) หัวหน้าของพี่เค้าและพี่ทีมงานเรารู้จักกันเลยแซวประมาณว่าติดต่อหนุ่มๆให้น้องหน่อย น้องโสด ซึ่งเราก็ยิ้มๆเพราะรู้ว่าพี่เค้าแซวเล่นๆ หัวหน้าเค้าเลยบอกว่ามีน่ะ นิสัยดีมาก ขยันทำงาน เพิ่งเลิกกับแฟน (เราคิดในใจว่าแฟนคือน่าจะยังไม่ได้แต่งงานแค่เป็นแฟนกันแต่มารู้ทีหลังว่าเค้าแต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีลูกสาเหตุที่เลิกคือแฟนไปมีคนอื่น จบแค่นี้ )
จากการยุยงส่งเสริมของพี่ๆที่ทำงานของเราทั้งสอง ( หลังจากนี้ขอเรียกว่าทีมแม่สื่อพ่อสื่อนะคะ ) นึกว่าจะแซวกันเล่นขำๆ แต่ๆๆๆทีมแม่สื่อพ่อสื่อจริงจังมากถึงขนาดวางแผนชวนพี่เค้าไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน และเค้าก็ปฏิเสธหัวหน้าไม่ได้ด้วยสิ เค้าเลยจำใจไป (ต้องใช้คำว่าจำใจไป) และทีมแม่สื่อพ่อสื่อก็เตรี๊ยมกันว่าห้ามบอกอะไรพี่เค้าเด็ดขาด ห้ามแซวด้วย โดยแผนการทั้งหมดเรามีส่วนรู้เห็นด้วยความตกกระไดพลอยโจน ด้วยความคิดว่าตัวเองไม่ได้คิดอะไรก็เลยขำๆค่ะ แอบเอ็นดูและสงสารพี่เค้าเหมือนกัน5555555 จึงเป็นการทานข้าวมื้อแรกของเราโดยที่พี่เค้าไม่รู้เรื่องแผนการและไม่พูดอะไรเลย ประมาณว่ากลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากละมั้ง จบการกินข้าวมื้อแรกไปแบบงงๆ5555555555
ยังยังไม่จบมันยังมีต่อค่ะ แผนการกินข้าวมื้อเย็นเริ่มต้นอีกครั้ง
ทีมแม่สื่อพ่อสื่อ วางแผนชวนพี่เค้าไปกินข้าวด้วยกันอีกครั้ง ครั้งนี้เรารู้สึกได้ว่าเค้าเริ่มรู้ตัวว่าโดนจับคู่เข้าแล้ว อาจจากการชวนแล้วชวนอีกของทีมแม่สื่อพ่อสื่อก็เป็นได้ค่ะ รถพวกเราเป็นรถตู้จึงนั่งไปด้วยกันหมด (ความรู้สึกตอนนั้นคือตื่นเต้นแปลกๆ เพราะทุกคนให้พี่เค้ามานั่งใกล้เราอ่ะ ข้าวกลางวันคือเราเล่นไปตามเกมส์ของทีมแม่สื่อพ่อสื่อแต่ข้าวเย็นชักจะไปกันใหญ่แล้ว เราเลยค่อนข้างอึดอัด ยอมรับจริงๆว่ายังไม่ได้รู้สึกอะไรยิ่งเห็นอาการพี่เค้าแบบทำตัวไม่ถูก เห็นเขาอึดอัด ก็รู้สึกสงสารมาก ( มารู้ทีหลังว่าเขาตื่นเต้นมากกกกกกกกกกกกกกแสดงว่าเขาก็ชอบเราหรอ ไม่มั่ง5555 ) ถึงร้านอาหารทุกคนจัดแจงที่นั่งกันเองเบ็ดเสร็จโดยให้เรานั่งตรงข้ามกับพี่เค้าแระ ประมาณจะได้คุยและสบตากันได้ถนัด5555 ตั้งแต่นั่งกินข้าวทุกคนก็พูดคุยปกติแต่แอบๆชำเลืองว่าสองคนเราจะคุยไรกัน แป็กค่ะ เพราะพี่เค้าไม่คุยกับเราสักเท่าไหร่เลย สำหรับเราก็คุยเอฮาปกติ (เท้าความว่าเราถูกล็อตเตอรี่สองตัวครั้งแรกในชีวิต 5555 ทุกคนก็คุยเรื่องเราถูก นั่นนี่ พี่เค้าเลยถือโอกาสขอดูล็อต เพราะไม่เคยถูกเลย คิดๆแล้วตลกน่ะ คุยเรื่องหวยกัน บ้าบอชะมัด แล้วก็คุยเรื่องการทำงานที่เค้าทำ อะไรประมาณนี้ เราสังเกตตัวเองว่าเข้าห้องน้ำบ่อยมากและกินน้ำเยอะมาก ไม่รู้ว่าเขินหรืออะไรน่ะตอนนั้นแต่รู้ตัวอีกทีคือกินน้ำเขียวแฟนต้าขนาด 1.25 ลิตรเกือบหมด ย้ำว่าเกือบหมดและกินคนเดียวด้วยสิ ( เบาหวานแดรกก่อนได้แฟนแน่ๆ55555 ) เราสองคนคุยกันน้อยมาก จนทานแล้วเสร็จแม่สื่อพ่อสื่อถามพี่เค้าว่า ไม่เห็นคุยกันเท่าไหร่เลย มีเบอร์น้องเค้ายัง ขอเบอร์น้องเค้าสิเผื่อคุยงานกัน เอ่ออออ (ตอนนั้นเราใช้ซัมซุงฮีโร่ ยังไม่มีไลน์อะไรน่ะ คลาสสิคเว่อร์ๆ ) คือเราก็อึ้งๆ เค้าก็อึ้งๆ แม่สื่อเลยยื่นกระดาษเล็กๆมาให้เราบอกว่าเขียนเบอร์ให้พี่เค้าหน่อยน่ะๆๆๆๆ ตอนนั้นคิดในใจถ้าเราเขียนเลยเค้าต้องหาว่าเราอยากให้เค้าแน่เลย เราเลยเล่นตัวนิดๆเขียนนั่นนี่ เขียนต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อย จนจะกลับเลยยื่นกระดาษให้เค้าไป คิดในใจเค้าไม่โทรมา 100% เพราะเราคิดว่าพี่เค้าอึดอัดมากกกกกก ทำตัวไม่ถูก จบการกินข้าวเย็นที่แสนจะเบาหวานของเราสองคน........หลังจากกลับมาถึงที่พักเราเล่าให้เพื่อนสนิทฟังทุกเหตุการณ์จะได้ช่วยกันวิเคราะห์ เพื่อนเห็นดีเห็นงามกับแม่สื่อพ่อสื่อและตื่นเต้นมากๆ สงสัยเค้าอยากให้เรามีแฟน แต่เราก็บอกเพื่อนแระว่าไม่น่าจะมีการสานต่อน่ะ (ถามว่าแอบคิดมั้ยว่าเค้าจะโทรมาหลังจากกินข้าวเย็นแล้ว ก็คิดน่ะ 50/50 แต่ไม่ได้หวัง อีกอย่างคือกระดาษที่เขียนเบอร์เหมือนเศษขยะมาก บางทีเค้าอาจจะเผลอทำร่วงหรือทิ้งไปแล้ว)
เช้าวันต่อมา...ทำงานเสร็จพวกเราก็กลับกรุงเทพพร้อมความรู้สึกแปลกๆ และทุกคนก็แซวเราในรถตลอดทางและทุกวันด้วยสิ ถามตลอดพี่เค้าโทรมายังๆ นั่นนู้นนี่ มันทำให้แทนที่เราจะลืมๆไป กลับโดนตอกย้ำจากพี่ๆตลอดเวลา เลยทำให้ชื่อเค้าไม่ได้หายไปไหนเลยน่ะสิ
จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์
วันที่กินข้าวและได้เบอร์คือวันที่ 1 เวลาล่วงเลยจนถึงวันที่ 16 ตอนเช้าเวลา 09.10 น. (บางเรื่องจำแม่นเกินความจำเป็นไปอี๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกก)
มีสายเรียกเข้าไม่ขึ้นชื่อ เรา : สวัสดีค่ะ ......พูดจ้า
ปลายสาย : สวัสดีครับ พี่.........นะคะ(เค้าพูดคะกับเราตลอด) เรานี่อึ้งไปสักพัก
จำพี่ได้ไหม พอดีเพิ่งกล้าที่จะโทรมาอ่ะ (เราคิดในใจอันดับแรกเลยคือ เค้าโทรมาขอหวยกับเราป่าวหว่า เห็นเราถูกงวดก่อนหน้านี้ วันนี้ก็วันที่ 16 ด้วยสิ 55555555555555555 คิดแล้วขำความคิดแว๊บแรกของเรา เพราะเราลืมเขาไปสนิทจริงๆ ครึ่งเดือนผ่านไปแล้วอะนะ (ประมาณว่าเลิกคาดหวังว่าจะโทรมาไง พอโทรคือเกินความคาดหวังไปเยอะมาก)
เรา : อ้อค่ะพี่ ว่าไงค่ะ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า
ปลายสาย : โทรมาคุยด้วยเฉยๆ พอดีขับรถจะไป...... ก็เลยลองโทรมา ว่างมั้ย สะดวกคุยหรือเปล่าค่ะ
เรา : ทำงานอยู่ค่ะ ไม่สะดวกพี่ขับรถก่อนไหมค่ะ (คือตั้งตัวไม่ทัน ก็เลยอยากรีบวางสายเร็วๆ
ปลายสาย : งั้นเดียวโทรไปใหม่น่ะ
เรา : ค่ะ โอเคค่ะ ตุ๊ดๆๆๆ รีบวางเลยเรา จะว่าตื่นเต้นก็คงใช่ มันหลายความรู้สึกจริงๆ ไหนเธอบอกไม่ชอบเค้านิ เฉยๆงี้ แล้วอะไรของเธอ บ่นกะตัวเองในใจ
หลังจากวันนั้น พี่เค้าก็โทรมาทุกวัน 5555555 เราคุยกันมากขึ้นทางโทรศัพท์ (แต่เราก็ยังไม่คาดหวังอะไรนะ แค่ตื่นเต้น เพราะไม่ได้คุยกะใครมา 2 ปี แล้ว) คิดไว้ว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้จะต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่อยากให้ใครต้องเสียใจอีกเพราะแวดวงการทำงานเราใกล้กันมาก การคุยของเราไม่มีใครในที่ทำงานรู้เลย รวมถึงแม่สื่อพ่อสื่อด้วย เค้าคิดว่าพวกเราไม่ได้ติดต่อกัน คนที่รู้มีเพียงเพื่อนสนิทกับแฟนเค้าซึ่งสนิทกับเราด้วยและน้องสาวเรา รวม 3 คน
ที่รู้เรื่องการคุยของเราสองคน เราคุยกันได้ประมาณ 3 เดือน เราและทีมงานต้องไปทำงานที่นั้นอีกแล้วนะสิ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้มันไม่เหมือนทุกครั้ง ระหว่างเส้นทางจากกรุงเทพไปยังจุดหมายนั้นทุกอย่างเป็นสีชมพูพาสเทล มองอะไรก็ชมพูไปซะหมด55555555555555555 (เว่อร์วังไว้ก่อนค่ะ) เราชอบเค้าแล้วหรอ ถามตัวเองเบาๆ การที่เราต้องเก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่ให้ใครรู้เป็นอะไรที่ลำบากสุดๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรที่จริงมีอะไรๆเต็มไปหมด5555 ไปถึงคอยมองหาว่าพี่เค้าอยู่ไหน เค้าเห็นไหมว่าเรามาถึงแล้ว พยายามไม่แสดงออก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เป็นกันทั้งฝั่งเค้าฝั่งเราเลยค่ะ5555555555555555
ต่อหน้าทีมงานเรา พี่เค้าก็ยังเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อยพูดน้อยเหมือนเดิม เนียนนะ แต่พี่เค้าก็เป็นแบบนี้นะแระ เราปวดท้องโทรบอกพี่เค้าๆออกไปซื้อยามาให้แต่ไม่สามารถเดินเอามาให้ได้ต้องเอาไปแขวนไว้ที่ต้นไม้ แล้วเราก็ค่อยเดินไปเอาแบบเนียนๆ หรืออะไรก็แล้วแต่เราจะทำไม่ให้ใครจับได้ แล้วก็จบการทำงานในทริปนั้น เราก็กลับมาทำงานที่กรุงเทพปกติ
หลังจากแอบคุยกันได้ 5 เดือนพี่เค้าก็ขอเราเป็นแฟน โดยที่เรายังไม่เคยออกเดทกันเลยคุยกันทางโทรศัพท์ แต่เพราะคุยเรื่องเดียวกัน นิสัย ทัศนคติการใช้ชีวิตเหมือนกัน เราสองคนเป็นลูกคนโตทั้งคู่ มันเลยคุยกันได้ถูกคอ ที่จริงพี่เค้าเป็นคนตลกแป๊กน่ะ ยิงมุกอะไรมาเราก็ไม่เคยรับเลย อิอิ การได้คุยกันรู้สึกมีชีวิตชีวา และเริ่มมีเป้าหมายในการคุยมากขึ้น ส่วนตัวเราอยากให้แน่ใจกว่านี้สักหน่อยว่าเขาหรือเราจะไม่ทำให้กันและกันเสียใจ เราเลยขอคุยแบบนี้ไปก่อน พี่เค้าก็โอเคค่ะ
การเดินทางของความรัก (The journey of love)
ชอบเข้ามาอ่านเรื่องราวของคนอื่นๆ หรือคิดอะไรไม่ออกก็เข้ามาหาคำตอบในพันทิปนี้แระค่ะ คิดไว้ว่าสักวันเราจะต้องขยันทำกระทู้เรื่องตัวเองในสักวัน
( คือมีเรื่องอยากเล่าให้ฟังเยอะมากแต่ขึ้เกียจพิมพ์และเรียบเรียง ) เ แต่กว่าเราจะได้มาคบและแต่งงานกันมันมีเรื่องราวระหว่างทางเยอะมากและเราก็ประทับใจมากเช่นกัน ไม่อยากให้มันหายไปกับความทรงจำของเรา เพราะเราเป็นคนขึ้ลืมและเหมือนมันจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ และกลัวว่าวันหนึ่งจะลืมความรักระหว่างทางของเราสองคน ถ้าถึงวันนั้นมันคงเศร้ามากสำหรับเรา ( เคยดูหนังเรื่องความจำสั้นแต่รักฉันยาวตอนนั้นยังน้ำตาไหล คิดว่าถ้าเกิดกับตัวเองจะเป็นยังไงน่ะ )
จากการยุยงส่งเสริมของพี่ๆที่ทำงานของเราทั้งสอง ( หลังจากนี้ขอเรียกว่าทีมแม่สื่อพ่อสื่อนะคะ ) นึกว่าจะแซวกันเล่นขำๆ แต่ๆๆๆทีมแม่สื่อพ่อสื่อจริงจังมากถึงขนาดวางแผนชวนพี่เค้าไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน และเค้าก็ปฏิเสธหัวหน้าไม่ได้ด้วยสิ เค้าเลยจำใจไป (ต้องใช้คำว่าจำใจไป) และทีมแม่สื่อพ่อสื่อก็เตรี๊ยมกันว่าห้ามบอกอะไรพี่เค้าเด็ดขาด ห้ามแซวด้วย โดยแผนการทั้งหมดเรามีส่วนรู้เห็นด้วยความตกกระไดพลอยโจน ด้วยความคิดว่าตัวเองไม่ได้คิดอะไรก็เลยขำๆค่ะ แอบเอ็นดูและสงสารพี่เค้าเหมือนกัน5555555 จึงเป็นการทานข้าวมื้อแรกของเราโดยที่พี่เค้าไม่รู้เรื่องแผนการและไม่พูดอะไรเลย ประมาณว่ากลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากละมั้ง จบการกินข้าวมื้อแรกไปแบบงงๆ5555555555
ยังยังไม่จบมันยังมีต่อค่ะ แผนการกินข้าวมื้อเย็นเริ่มต้นอีกครั้ง
ทีมแม่สื่อพ่อสื่อ วางแผนชวนพี่เค้าไปกินข้าวด้วยกันอีกครั้ง ครั้งนี้เรารู้สึกได้ว่าเค้าเริ่มรู้ตัวว่าโดนจับคู่เข้าแล้ว อาจจากการชวนแล้วชวนอีกของทีมแม่สื่อพ่อสื่อก็เป็นได้ค่ะ รถพวกเราเป็นรถตู้จึงนั่งไปด้วยกันหมด (ความรู้สึกตอนนั้นคือตื่นเต้นแปลกๆ เพราะทุกคนให้พี่เค้ามานั่งใกล้เราอ่ะ ข้าวกลางวันคือเราเล่นไปตามเกมส์ของทีมแม่สื่อพ่อสื่อแต่ข้าวเย็นชักจะไปกันใหญ่แล้ว เราเลยค่อนข้างอึดอัด ยอมรับจริงๆว่ายังไม่ได้รู้สึกอะไรยิ่งเห็นอาการพี่เค้าแบบทำตัวไม่ถูก เห็นเขาอึดอัด ก็รู้สึกสงสารมาก ( มารู้ทีหลังว่าเขาตื่นเต้นมากกกกกกกกกกกกกกแสดงว่าเขาก็ชอบเราหรอ ไม่มั่ง5555 ) ถึงร้านอาหารทุกคนจัดแจงที่นั่งกันเองเบ็ดเสร็จโดยให้เรานั่งตรงข้ามกับพี่เค้าแระ ประมาณจะได้คุยและสบตากันได้ถนัด5555 ตั้งแต่นั่งกินข้าวทุกคนก็พูดคุยปกติแต่แอบๆชำเลืองว่าสองคนเราจะคุยไรกัน แป็กค่ะ เพราะพี่เค้าไม่คุยกับเราสักเท่าไหร่เลย สำหรับเราก็คุยเอฮาปกติ (เท้าความว่าเราถูกล็อตเตอรี่สองตัวครั้งแรกในชีวิต 5555 ทุกคนก็คุยเรื่องเราถูก นั่นนี่ พี่เค้าเลยถือโอกาสขอดูล็อต เพราะไม่เคยถูกเลย คิดๆแล้วตลกน่ะ คุยเรื่องหวยกัน บ้าบอชะมัด แล้วก็คุยเรื่องการทำงานที่เค้าทำ อะไรประมาณนี้ เราสังเกตตัวเองว่าเข้าห้องน้ำบ่อยมากและกินน้ำเยอะมาก ไม่รู้ว่าเขินหรืออะไรน่ะตอนนั้นแต่รู้ตัวอีกทีคือกินน้ำเขียวแฟนต้าขนาด 1.25 ลิตรเกือบหมด ย้ำว่าเกือบหมดและกินคนเดียวด้วยสิ ( เบาหวานแดรกก่อนได้แฟนแน่ๆ55555 ) เราสองคนคุยกันน้อยมาก จนทานแล้วเสร็จแม่สื่อพ่อสื่อถามพี่เค้าว่า ไม่เห็นคุยกันเท่าไหร่เลย มีเบอร์น้องเค้ายัง ขอเบอร์น้องเค้าสิเผื่อคุยงานกัน เอ่ออออ (ตอนนั้นเราใช้ซัมซุงฮีโร่ ยังไม่มีไลน์อะไรน่ะ คลาสสิคเว่อร์ๆ ) คือเราก็อึ้งๆ เค้าก็อึ้งๆ แม่สื่อเลยยื่นกระดาษเล็กๆมาให้เราบอกว่าเขียนเบอร์ให้พี่เค้าหน่อยน่ะๆๆๆๆ ตอนนั้นคิดในใจถ้าเราเขียนเลยเค้าต้องหาว่าเราอยากให้เค้าแน่เลย เราเลยเล่นตัวนิดๆเขียนนั่นนี่ เขียนต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อย จนจะกลับเลยยื่นกระดาษให้เค้าไป คิดในใจเค้าไม่โทรมา 100% เพราะเราคิดว่าพี่เค้าอึดอัดมากกกกกก ทำตัวไม่ถูก จบการกินข้าวเย็นที่แสนจะเบาหวานของเราสองคน........หลังจากกลับมาถึงที่พักเราเล่าให้เพื่อนสนิทฟังทุกเหตุการณ์จะได้ช่วยกันวิเคราะห์ เพื่อนเห็นดีเห็นงามกับแม่สื่อพ่อสื่อและตื่นเต้นมากๆ สงสัยเค้าอยากให้เรามีแฟน แต่เราก็บอกเพื่อนแระว่าไม่น่าจะมีการสานต่อน่ะ (ถามว่าแอบคิดมั้ยว่าเค้าจะโทรมาหลังจากกินข้าวเย็นแล้ว ก็คิดน่ะ 50/50 แต่ไม่ได้หวัง อีกอย่างคือกระดาษที่เขียนเบอร์เหมือนเศษขยะมาก บางทีเค้าอาจจะเผลอทำร่วงหรือทิ้งไปแล้ว)
เช้าวันต่อมา...ทำงานเสร็จพวกเราก็กลับกรุงเทพพร้อมความรู้สึกแปลกๆ และทุกคนก็แซวเราในรถตลอดทางและทุกวันด้วยสิ ถามตลอดพี่เค้าโทรมายังๆ นั่นนู้นนี่ มันทำให้แทนที่เราจะลืมๆไป กลับโดนตอกย้ำจากพี่ๆตลอดเวลา เลยทำให้ชื่อเค้าไม่ได้หายไปไหนเลยน่ะสิ
จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์
วันที่กินข้าวและได้เบอร์คือวันที่ 1 เวลาล่วงเลยจนถึงวันที่ 16 ตอนเช้าเวลา 09.10 น. (บางเรื่องจำแม่นเกินความจำเป็นไปอี๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกก)
มีสายเรียกเข้าไม่ขึ้นชื่อ เรา : สวัสดีค่ะ ......พูดจ้า
ปลายสาย : สวัสดีครับ พี่.........นะคะ(เค้าพูดคะกับเราตลอด) เรานี่อึ้งไปสักพัก
จำพี่ได้ไหม พอดีเพิ่งกล้าที่จะโทรมาอ่ะ (เราคิดในใจอันดับแรกเลยคือ เค้าโทรมาขอหวยกับเราป่าวหว่า เห็นเราถูกงวดก่อนหน้านี้ วันนี้ก็วันที่ 16 ด้วยสิ 55555555555555555 คิดแล้วขำความคิดแว๊บแรกของเรา เพราะเราลืมเขาไปสนิทจริงๆ ครึ่งเดือนผ่านไปแล้วอะนะ (ประมาณว่าเลิกคาดหวังว่าจะโทรมาไง พอโทรคือเกินความคาดหวังไปเยอะมาก)
เรา : อ้อค่ะพี่ ว่าไงค่ะ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า
ปลายสาย : โทรมาคุยด้วยเฉยๆ พอดีขับรถจะไป...... ก็เลยลองโทรมา ว่างมั้ย สะดวกคุยหรือเปล่าค่ะ
เรา : ทำงานอยู่ค่ะ ไม่สะดวกพี่ขับรถก่อนไหมค่ะ (คือตั้งตัวไม่ทัน ก็เลยอยากรีบวางสายเร็วๆ
ปลายสาย : งั้นเดียวโทรไปใหม่น่ะ
เรา : ค่ะ โอเคค่ะ ตุ๊ดๆๆๆ รีบวางเลยเรา จะว่าตื่นเต้นก็คงใช่ มันหลายความรู้สึกจริงๆ ไหนเธอบอกไม่ชอบเค้านิ เฉยๆงี้ แล้วอะไรของเธอ บ่นกะตัวเองในใจ
หลังจากวันนั้น พี่เค้าก็โทรมาทุกวัน 5555555 เราคุยกันมากขึ้นทางโทรศัพท์ (แต่เราก็ยังไม่คาดหวังอะไรนะ แค่ตื่นเต้น เพราะไม่ได้คุยกะใครมา 2 ปี แล้ว) คิดไว้ว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้จะต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่อยากให้ใครต้องเสียใจอีกเพราะแวดวงการทำงานเราใกล้กันมาก การคุยของเราไม่มีใครในที่ทำงานรู้เลย รวมถึงแม่สื่อพ่อสื่อด้วย เค้าคิดว่าพวกเราไม่ได้ติดต่อกัน คนที่รู้มีเพียงเพื่อนสนิทกับแฟนเค้าซึ่งสนิทกับเราด้วยและน้องสาวเรา รวม 3 คน