สวัสดีครับ เพื่อนพี่น้องนักอ่านทั้งหลาย ^^
ผมเข้ามาเดินไปเดินมาอยู่บนถนนนี้มาได้ประมาณสามปีแล้ว และได้ตกลงใจยึดเอาสถานที่แห่งนี้เป็น "บ้าน" ไปแล้วครับในปัจจุบันนี้ เพราะได้วางงานของตัวเองไว้หลายอย่าง ทั้งบทกวี เรื่องสั้น บทกวีเขียนจากเพลงภาษาต่างประเทศ และนิยาย...
มีอีกอย่างที่ผมคิดไว้ว่าจะทำ แต่ก็ไม่ได้ทำสักที
แต่คืนนี้ ผมอยู่ที่ลำปาง กลับมาชั่วคราวครับ อีกสามวันก็กลับสู่นิวาสถานใหม่ ณ ปริมณฑลแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร และกำลังเริ่มดื่มเบียร์...
อารมณ์บรรเจิดก็เกิดขึ้นครับ!
จึงขอนำเสนอ "งานแบบใหม่" ซึ่งผมคิดว่า คงยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน (มั้ง) ^^
MSS=Music Short Story - เรื่องสั้นประกอบเพลง ครับผม
หมายความว่า "เรื่องสั้น" ที่จะเขียน เกิดจาก เพลงสักเพลงหนึ่ง เป็นแรงบันดาลใจ ทำให้เขียนเรื่องนั้นๆ ขึ้น
และเมื่อจบแล้ว ก็จะจัดเพลงที่เป็นที่มาของเรื่องนั้นมาลง ตบท้าย
เชิญพบกับ "เรื่องสั้นประกอบเพลง" เรื่องแรก ได้ ณ บัดนี้ครับ ^^
"อยู่ด้วยกัน จนแก่จนเฒ่านะลูก..."
คำอวยพรนี้ออกมาจากปากของทั้งพ่อและแม่ของอ้อย ในขณะที่ทั้งสองท่านผลัดกันผูกข้อไม้ข้อมือให้กับผมและอ้อยที่บ้านในชนบท ตามประเพณีซึ่งเป็นไปแบบเรียบง่าย...
อ้อยเป็นผู้หญิงซึ่งเคยผ่านผู้ชายมาแล้วหลายคน และผิดหวังกับทุกคน ไม่เคยสมหวังอยู่กับใครได้นาน จนพ่อและแม่ของเธอเลิกหวังว่าลูกสาวของตนจะได้ผู้ชายคนไหนมาเป็นสามีของเธออีก...แต่แล้ว ผมก็กลายเป็นอีกคนหนึ่ง และไม่แน่ใจว่าเป็นคนสุดท้ายหรือเปล่า...
เพราะอะไรจึงไม่แน่ใจ ? เดี๋ยวค่อยมาเฉลยกันตอนท้ายก็แล้วกันครับ!
ผมทำงานอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมแห่งเดียวกับอ้อย แต่คนละตำแหน่งกัน และห่างชั้นกันมากในสายตาของหลายๆคน เพราะผมเป็นวิทยากร และอยู่ฝ่ายต่างประเทศด้วย แต่อ้อยเป็นพนักงานฝ่ายผลิตธรรมดา พูดง่ายๆ ตามภาษาชาวบ้าน เธอเป็นแค่ "กรรมกร" ใช้แรงงานอย่างเดียวไปวันๆ ดังนั้น "ช่องว่าง" ระหว่างผมกับเธอจึงห่างกันมาก อันนี้ก็ขอย้ำอีกทีว่า "ในสายตาของหลายๆ คน"
แต่ผมไม่แคร์ !!
อาจเป็นเพราะ อ้อยเป็นคนสวย...ตรงนี้อาจมีผล หรือมีอิทธิพลต่อผม ไม่มากก็น้อยละน่ะ!
ผู้ชายส่วนใหญ่ก็ย่อมชมชอบผู้หญิงสวยกันทั้งนั้น แต่ความสวยอย่างเดียวมันไม่พอหรอก! สำหรับผม มันต้องมี "ความเข้าใจกัน" และ "ความสามารถในการปรับจูนเข้าหากันได้"
ซึ่งจุดนี้ มีอยู่ในตัวอ้อย แต่ไม่มีในคนอื่น เท่าที่ผมเจอมา!
อ้อยตามใจผมแทบทุกอย่าง และยังพยายามที่จะทำอะไรตามอย่างที่ผมเป็นด้วย เช่น ไม่เคยฟังเพลงร็อก ก็หัดฟัง เริ่มจาก ซอฟท์ร็อกก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มดีกรีความร้อนแรง จนในที่สุดเธอก็กลายเป็น "คนหูเหล็ก" ตามผมได้เฉยเลย!
จนช่วงหลังๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองคงจะเอาเปรียบเธอมากไปหน่อยแล้ว ผมเลยหาเวลาว่างๆ ตอนที่เธอไม่อยู่บ้าน หัดฟังเพลงลูกทุ่งที่เธอชอบฟังบ้าง ทั้งที่ไม่เคยเงี่ยหูฟังมาก่อน! และวันหนึ่งเธอกลับถึงบ้านมาเจอผมกำลังฟังเพลงลูกทุ่งเพลงหนึ่งอยู่
มองหน้าต่าง ข้างบ้าน เอ๊อ...เอย....
เมื่อวาน เขามีงานแต่ง...เง้อ....กัน
คนรวยแบ็งค์ โอ้ย....มาแย่ง แฟนฉัน
หั้ว....ใจ มันสั่น ....เหมือนใครมาหั่นเอาหัวใจ
ใจจะขาด แล้ว...เอ๊ย....... ใจจะขาด .....แล้วเอย
"ฟังเป็นด้วยเหรอพี่ เพลงแบบเนี้ย ???" อ้อยถามผมและยิ้มโชว์ฟันขาว
เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เป็นเวลาปีกว่า...
แต่ครอบครัวของอ้อยก็ยากจน และพ่อแม่ของเธอ ก็มีความใฝ่ฝันว่า อยากมีบ้านหลังใหม่มาแทนที่บ้านไม้หลังเก่าซึ่งผุกร่อนทรุดโทรม สักวันหนึ่ง
"เราช่วยกันเก็บเงิน สักวันหนึ่ง ความฝันต้องเป็นจริง" ผมบอกกับเธอ ซึ่งเธอก็พยักหน้า
เราสองคนตั้งใจใช้ชีวิตร่วมกันและทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ
บางครั้ง ชีวิตมันก็มีอุปสรรค ความยากลำบาก โดยเฉพาะสำหรับอ้อย รายได้ของเธอมันน้อย เธออยากมีรายได้ที่อย่างน้อยก็ให้ใกล้เคียงกับผม หรือมากกว่าผมได้ก็ยิ่งดี!
"พี่โอ..." เธอเอ่ยถามเหมือนลองใจผม หรือ 'โยนหินถามทาง' ในคืนหนึ่ง หลังจากที่เรามีความสุขด้วยกันไปแล้ว
"อะไรเหรอ ?" ผมหลับตาถามด้วยเสียงแผ่วเบา
"ถ้าสักวันหนึ่ง พี่ไม่มีอ้อยแล้ว พี่จะอยู่คนเดียวได้ไหม ?"
ผมทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งทันที และถามกลับพร้อมกับจ้องหน้าเธอ
"ทำไมพูดแบบนี้ ? อ้อยจะไปไหน ? ห้ามทิ้งพี่ไปไหนนะ" พอพูดถึงประโยคนี้ สองมือผมก็ยื่นเข้าไปประคองศีรษะของเธอ และพูดต่อไปพร้อมกับน้ำตาคลอ "พี่ไม่ยอมแพ้ต่อชีวิตหรอก อ้อยก็อย่ายอมแพ้ เราต้องช่วยกันทำฝันให้เป็นจริง และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะไม่ทอดทิ้งกัน เข้าใจไหม"
"ค่ะ พี่..." เธอตอบปนเสียงสะอื้น
แล้วเราสองคนก็กอดกันแน่น น้ำตาไหลไปด้วยกันทั้งคู่ เหมือนจะหวาดหวั่น กลัวว่า วันใดวันหนึ่งข้างหน้า เราจะต้องจากกัน โดยเฉพาะผม!
สุดท้ายก็เผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย...ทั้งสองคน....
สองเดือนต่อมา....ตอนเช้าวันเสาร์วันหนึ่ง...
ผมตื่นขึ้นมาเวลาแปดโมงกว่า ซึ่งเป็นเวลาปกติเมื่อถึงวันหยุด ก็จะตื่นสายหน่อย และอ้อยก็เช่นเดียวกัน สายๆ เราก็มักจะออกไปเที่ยวด้วยกัน
ผมก็นึกว่า เช้าวันเสาร์วันนี้ ก็คงเหมือนเดิม....
แต่ก็ต้องสะดุ้ง หายง่วง เมื่อเห็นจดหมายฉบับหนึ่งวางไ้ว้บนโต๊ะข้างๆ เตียง รีบลุกขึ้น ขยี้ตา แล้วเปิดอ่านจดหมายฉบับนั้น...
พี่โอ
อ้อยขอกลับบ้านสักอาทิตย์หนึ่งนะจ๊ะ แล้วจะรีบกลับ
พี่โอตั้งใจทำงาน ไม่ต้องห่วงอ้อยนะ
รัก
อ้อย
ผมก็ไม่คิดอะไร เพราะเธอเคยทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว
แต่ทว่า....คราวนี้ ไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว!
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป เธอก็ยังไม่กลับ
สองสัปดาห์...สามสัปดาห์ ผ่านไป ก็ไม่มีข่าวคราวจากอ้อย....
ผมชักใจไม่ดีแล้ว!
จนเวลาผ่านไป ครบหนึ่งเดือน และสองเดือน! อ้อยก็เงียบหาย....
ทิ้งไว้แต่เสื้อผ้า และของใช้ส่วนตัวของเธอไว้ ให้ผมดูต่างหน้า!
ถึงตอนนี้ ผมแน่ใจแล้วว่า เธอคงไม่กลับมาหาผมแล้ว !!
แต่ก็จนด้วยเกล้า ไม่รู้จะไปตามหาเธอที่ไหน เพราะถามใครคนไหนซึ่งรู้จักเธอ ก็ไม่มีใครรู้
และในที่สุด วันหนึ่ง จึงมีเพื่อนของเธอคนหนึ่ง เปิดเผยกับผม
"อ้อยไปญี่ปุ่น !! เค้าฝากบอกมาด้วยว่า ขอโทษพี่ด้วย แต่เค้าจำเป็นต้องทำแบบนี้ พ่อแม่เค้าก็แก่ตัวลงทุกที สุขภาพก็ไม่ค่อยดี เข้าโรงพยาบาลบ่อย บ้านก็ทรุดโทรมมาก น้องชายสองคนของเค้าก็ต้องการเงินทุนเรียนหนังสือ อ้อยต้องการเงินเป็นหลักล้าน! โดยเร็วด้วย ซึ่งพี่คงไม่สามารถให้ได้ นอกจากต้องทำงานเก็บเงินเป็นเวลานานหลายปี ถึงตอนนั้น พ่อกับแม่ของเค้าก็คงจะตายไปแล้ว....."
พอพูดถึงตรงนี้ เพื่อนของอ้อยคนนั้นก็ยื่นซองสีน้ำตาลซองหนึ่งให้ผม ข้างในมีอะไรบางอย่างยัดอยู่ มองไม่เห็นจากข้างนอก
"พี่รับนี่ไว้ด้วยค่ะ อ้อยเค้าฝากมา"
ผมฉีกซองเปิดดูสิ่งที่อยูู่่ข้างใน.....
มันคือ ธนบัตร ของญี่ปุ่น แบ๊งค์หมื่นเยนล้วนๆ ปึกหนึ่ง !!!
ผมน้ำตาร่วง...ยื่นซองนั้นคืนให้เพื่อนของอ้อยคนนั้น และบอกกับเธอ
"พี่รับไว้ไม่ได้ เอาไปคืนเค้านะ หรือไม่งั้น ก็ช่วย...เอาไปแลกเป็นเงินไทย แล้วเอาไปให้พ่อแม่ของเค้าที่บ้าน"
แล้วผมก็เดินหนีจากไปทันที...
หลังจากนั้น ไม่กี่ปี มีหนังเรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่องว่า "กลกามแห่งความรัก"
เป็นเรื่องของสาวไทยที่ไปขายตัวที่ญี่ปุ่น และสุดท้ายต้องฆ่าตัวตาย เพราะหนีพวกยากูซ่า และดูเหมือนติดเชื้อโรคร้ายด้วยถ้าผมจำไม่ผิด!
มันทำให้ผมนึกถึงอ้อยทันที ไม่รู้ว่าเธอจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เพราะไม่ทราบข่าวคราวจากเธอเลย!!
ผมเคยกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ของอ้อยที่บ้าน และได้พบว่า พ่อแม่ของเธอ ทำการถวาย "มตกภัตร" แก่พระสงฆ์ ซึ่งภาษาเหนือเรียกว่า "ตานขันข้าว" คือ ถวายทานคืออาหาร อุทิศให้แก่ผู้ตาย....
ทั้งสองท่าน คิดว่า ลูกสาวซึ่งเป็นลูกคนโตของพวกท่านนั้น ตายไปแล้ว !!!
ผมรู้สึกเศร้าสลด และร่วมทำบุญกับท่านทั้งสอง ทั้งที่ใจหนึ่งก็หวังว่า อ้อยยังมีชีวิตอยู่
หวังว่าชีวิตของเธอ จะไม่ลงเอยเหมือนตัวละครเอกในหนัง "กลกามแห่งความรัก" อันน่าสลดหดหู่เรื่องนั้น !!
แต่ ไม่ว่า อ้อย จะยังมีชีวิตหรือหาชีวิตไม่แล้วก็ตาม....
ผมจะไม่มีวันลืม
"ภรรยาคนแรกในชีวิต" คนนี้ ตราบสิ้นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของผม
คนที่เคยใช้ชีวิตแสนสุขอยู่ด้วยกัน.....เคยร้องไห้ด้วยกัน....
และเมื่อถึงคราวต้องจากกัน...มันช่างจากกันไป อย่างง่ายดายเสียเหลือเกิน....
มันคือความทรงจำ....ตราบชั่วชีวิต.....
จำ ฝัง ใจ .....
ป.ล. ขอบคุณ วง "ไมโคร" ที่แต่งเพลงนี้ไว้ ซึ่งเข้ากับเรื่องราวครั้งหนึ่งในชีวิตของผมเรื่องนี้ครับ
⚡️👁👁💙 มิติใหม่ของเรื่องสั้น : MSS = Music Short Story - เรื่องสั้นประกอบเพลงดัง # 1 "จำฝังใจ" 💙👁👁⚡️
ผมเข้ามาเดินไปเดินมาอยู่บนถนนนี้มาได้ประมาณสามปีแล้ว และได้ตกลงใจยึดเอาสถานที่แห่งนี้เป็น "บ้าน" ไปแล้วครับในปัจจุบันนี้ เพราะได้วางงานของตัวเองไว้หลายอย่าง ทั้งบทกวี เรื่องสั้น บทกวีเขียนจากเพลงภาษาต่างประเทศ และนิยาย...
มีอีกอย่างที่ผมคิดไว้ว่าจะทำ แต่ก็ไม่ได้ทำสักที
แต่คืนนี้ ผมอยู่ที่ลำปาง กลับมาชั่วคราวครับ อีกสามวันก็กลับสู่นิวาสถานใหม่ ณ ปริมณฑลแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร และกำลังเริ่มดื่มเบียร์...
อารมณ์บรรเจิดก็เกิดขึ้นครับ!
จึงขอนำเสนอ "งานแบบใหม่" ซึ่งผมคิดว่า คงยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน (มั้ง) ^^
MSS=Music Short Story - เรื่องสั้นประกอบเพลง ครับผม
หมายความว่า "เรื่องสั้น" ที่จะเขียน เกิดจาก เพลงสักเพลงหนึ่ง เป็นแรงบันดาลใจ ทำให้เขียนเรื่องนั้นๆ ขึ้น
และเมื่อจบแล้ว ก็จะจัดเพลงที่เป็นที่มาของเรื่องนั้นมาลง ตบท้าย
เชิญพบกับ "เรื่องสั้นประกอบเพลง" เรื่องแรก ได้ ณ บัดนี้ครับ ^^
"อยู่ด้วยกัน จนแก่จนเฒ่านะลูก..."
คำอวยพรนี้ออกมาจากปากของทั้งพ่อและแม่ของอ้อย ในขณะที่ทั้งสองท่านผลัดกันผูกข้อไม้ข้อมือให้กับผมและอ้อยที่บ้านในชนบท ตามประเพณีซึ่งเป็นไปแบบเรียบง่าย...
อ้อยเป็นผู้หญิงซึ่งเคยผ่านผู้ชายมาแล้วหลายคน และผิดหวังกับทุกคน ไม่เคยสมหวังอยู่กับใครได้นาน จนพ่อและแม่ของเธอเลิกหวังว่าลูกสาวของตนจะได้ผู้ชายคนไหนมาเป็นสามีของเธออีก...แต่แล้ว ผมก็กลายเป็นอีกคนหนึ่ง และไม่แน่ใจว่าเป็นคนสุดท้ายหรือเปล่า...
เพราะอะไรจึงไม่แน่ใจ ? เดี๋ยวค่อยมาเฉลยกันตอนท้ายก็แล้วกันครับ!
ผมทำงานอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมแห่งเดียวกับอ้อย แต่คนละตำแหน่งกัน และห่างชั้นกันมากในสายตาของหลายๆคน เพราะผมเป็นวิทยากร และอยู่ฝ่ายต่างประเทศด้วย แต่อ้อยเป็นพนักงานฝ่ายผลิตธรรมดา พูดง่ายๆ ตามภาษาชาวบ้าน เธอเป็นแค่ "กรรมกร" ใช้แรงงานอย่างเดียวไปวันๆ ดังนั้น "ช่องว่าง" ระหว่างผมกับเธอจึงห่างกันมาก อันนี้ก็ขอย้ำอีกทีว่า "ในสายตาของหลายๆ คน"
แต่ผมไม่แคร์ !!
อาจเป็นเพราะ อ้อยเป็นคนสวย...ตรงนี้อาจมีผล หรือมีอิทธิพลต่อผม ไม่มากก็น้อยละน่ะ!
ผู้ชายส่วนใหญ่ก็ย่อมชมชอบผู้หญิงสวยกันทั้งนั้น แต่ความสวยอย่างเดียวมันไม่พอหรอก! สำหรับผม มันต้องมี "ความเข้าใจกัน" และ "ความสามารถในการปรับจูนเข้าหากันได้"
ซึ่งจุดนี้ มีอยู่ในตัวอ้อย แต่ไม่มีในคนอื่น เท่าที่ผมเจอมา!
อ้อยตามใจผมแทบทุกอย่าง และยังพยายามที่จะทำอะไรตามอย่างที่ผมเป็นด้วย เช่น ไม่เคยฟังเพลงร็อก ก็หัดฟัง เริ่มจาก ซอฟท์ร็อกก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มดีกรีความร้อนแรง จนในที่สุดเธอก็กลายเป็น "คนหูเหล็ก" ตามผมได้เฉยเลย!
จนช่วงหลังๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองคงจะเอาเปรียบเธอมากไปหน่อยแล้ว ผมเลยหาเวลาว่างๆ ตอนที่เธอไม่อยู่บ้าน หัดฟังเพลงลูกทุ่งที่เธอชอบฟังบ้าง ทั้งที่ไม่เคยเงี่ยหูฟังมาก่อน! และวันหนึ่งเธอกลับถึงบ้านมาเจอผมกำลังฟังเพลงลูกทุ่งเพลงหนึ่งอยู่
มองหน้าต่าง ข้างบ้าน เอ๊อ...เอย....
เมื่อวาน เขามีงานแต่ง...เง้อ....กัน
คนรวยแบ็งค์ โอ้ย....มาแย่ง แฟนฉัน
หั้ว....ใจ มันสั่น ....เหมือนใครมาหั่นเอาหัวใจ
ใจจะขาด แล้ว...เอ๊ย....... ใจจะขาด .....แล้วเอย
"ฟังเป็นด้วยเหรอพี่ เพลงแบบเนี้ย ???" อ้อยถามผมและยิ้มโชว์ฟันขาว
เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เป็นเวลาปีกว่า...
แต่ครอบครัวของอ้อยก็ยากจน และพ่อแม่ของเธอ ก็มีความใฝ่ฝันว่า อยากมีบ้านหลังใหม่มาแทนที่บ้านไม้หลังเก่าซึ่งผุกร่อนทรุดโทรม สักวันหนึ่ง
"เราช่วยกันเก็บเงิน สักวันหนึ่ง ความฝันต้องเป็นจริง" ผมบอกกับเธอ ซึ่งเธอก็พยักหน้า
เราสองคนตั้งใจใช้ชีวิตร่วมกันและทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ
บางครั้ง ชีวิตมันก็มีอุปสรรค ความยากลำบาก โดยเฉพาะสำหรับอ้อย รายได้ของเธอมันน้อย เธออยากมีรายได้ที่อย่างน้อยก็ให้ใกล้เคียงกับผม หรือมากกว่าผมได้ก็ยิ่งดี!
"พี่โอ..." เธอเอ่ยถามเหมือนลองใจผม หรือ 'โยนหินถามทาง' ในคืนหนึ่ง หลังจากที่เรามีความสุขด้วยกันไปแล้ว
"อะไรเหรอ ?" ผมหลับตาถามด้วยเสียงแผ่วเบา
"ถ้าสักวันหนึ่ง พี่ไม่มีอ้อยแล้ว พี่จะอยู่คนเดียวได้ไหม ?"
ผมทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งทันที และถามกลับพร้อมกับจ้องหน้าเธอ
"ทำไมพูดแบบนี้ ? อ้อยจะไปไหน ? ห้ามทิ้งพี่ไปไหนนะ" พอพูดถึงประโยคนี้ สองมือผมก็ยื่นเข้าไปประคองศีรษะของเธอ และพูดต่อไปพร้อมกับน้ำตาคลอ "พี่ไม่ยอมแพ้ต่อชีวิตหรอก อ้อยก็อย่ายอมแพ้ เราต้องช่วยกันทำฝันให้เป็นจริง และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะไม่ทอดทิ้งกัน เข้าใจไหม"
"ค่ะ พี่..." เธอตอบปนเสียงสะอื้น
แล้วเราสองคนก็กอดกันแน่น น้ำตาไหลไปด้วยกันทั้งคู่ เหมือนจะหวาดหวั่น กลัวว่า วันใดวันหนึ่งข้างหน้า เราจะต้องจากกัน โดยเฉพาะผม!
สุดท้ายก็เผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย...ทั้งสองคน....
สองเดือนต่อมา....ตอนเช้าวันเสาร์วันหนึ่ง...
ผมตื่นขึ้นมาเวลาแปดโมงกว่า ซึ่งเป็นเวลาปกติเมื่อถึงวันหยุด ก็จะตื่นสายหน่อย และอ้อยก็เช่นเดียวกัน สายๆ เราก็มักจะออกไปเที่ยวด้วยกัน
ผมก็นึกว่า เช้าวันเสาร์วันนี้ ก็คงเหมือนเดิม....
แต่ก็ต้องสะดุ้ง หายง่วง เมื่อเห็นจดหมายฉบับหนึ่งวางไ้ว้บนโต๊ะข้างๆ เตียง รีบลุกขึ้น ขยี้ตา แล้วเปิดอ่านจดหมายฉบับนั้น...
พี่โอ
อ้อยขอกลับบ้านสักอาทิตย์หนึ่งนะจ๊ะ แล้วจะรีบกลับ
พี่โอตั้งใจทำงาน ไม่ต้องห่วงอ้อยนะ
รัก
อ้อย
ผมก็ไม่คิดอะไร เพราะเธอเคยทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว
แต่ทว่า....คราวนี้ ไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว!
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป เธอก็ยังไม่กลับ
สองสัปดาห์...สามสัปดาห์ ผ่านไป ก็ไม่มีข่าวคราวจากอ้อย....
ผมชักใจไม่ดีแล้ว!
จนเวลาผ่านไป ครบหนึ่งเดือน และสองเดือน! อ้อยก็เงียบหาย....
ทิ้งไว้แต่เสื้อผ้า และของใช้ส่วนตัวของเธอไว้ ให้ผมดูต่างหน้า!
ถึงตอนนี้ ผมแน่ใจแล้วว่า เธอคงไม่กลับมาหาผมแล้ว !!
แต่ก็จนด้วยเกล้า ไม่รู้จะไปตามหาเธอที่ไหน เพราะถามใครคนไหนซึ่งรู้จักเธอ ก็ไม่มีใครรู้
และในที่สุด วันหนึ่ง จึงมีเพื่อนของเธอคนหนึ่ง เปิดเผยกับผม
"อ้อยไปญี่ปุ่น !! เค้าฝากบอกมาด้วยว่า ขอโทษพี่ด้วย แต่เค้าจำเป็นต้องทำแบบนี้ พ่อแม่เค้าก็แก่ตัวลงทุกที สุขภาพก็ไม่ค่อยดี เข้าโรงพยาบาลบ่อย บ้านก็ทรุดโทรมมาก น้องชายสองคนของเค้าก็ต้องการเงินทุนเรียนหนังสือ อ้อยต้องการเงินเป็นหลักล้าน! โดยเร็วด้วย ซึ่งพี่คงไม่สามารถให้ได้ นอกจากต้องทำงานเก็บเงินเป็นเวลานานหลายปี ถึงตอนนั้น พ่อกับแม่ของเค้าก็คงจะตายไปแล้ว....."
พอพูดถึงตรงนี้ เพื่อนของอ้อยคนนั้นก็ยื่นซองสีน้ำตาลซองหนึ่งให้ผม ข้างในมีอะไรบางอย่างยัดอยู่ มองไม่เห็นจากข้างนอก
"พี่รับนี่ไว้ด้วยค่ะ อ้อยเค้าฝากมา"
ผมฉีกซองเปิดดูสิ่งที่อยูู่่ข้างใน.....
มันคือ ธนบัตร ของญี่ปุ่น แบ๊งค์หมื่นเยนล้วนๆ ปึกหนึ่ง !!!
ผมน้ำตาร่วง...ยื่นซองนั้นคืนให้เพื่อนของอ้อยคนนั้น และบอกกับเธอ
"พี่รับไว้ไม่ได้ เอาไปคืนเค้านะ หรือไม่งั้น ก็ช่วย...เอาไปแลกเป็นเงินไทย แล้วเอาไปให้พ่อแม่ของเค้าที่บ้าน"
แล้วผมก็เดินหนีจากไปทันที...
หลังจากนั้น ไม่กี่ปี มีหนังเรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่องว่า "กลกามแห่งความรัก"
เป็นเรื่องของสาวไทยที่ไปขายตัวที่ญี่ปุ่น และสุดท้ายต้องฆ่าตัวตาย เพราะหนีพวกยากูซ่า และดูเหมือนติดเชื้อโรคร้ายด้วยถ้าผมจำไม่ผิด!
มันทำให้ผมนึกถึงอ้อยทันที ไม่รู้ว่าเธอจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เพราะไม่ทราบข่าวคราวจากเธอเลย!!
ผมเคยกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ของอ้อยที่บ้าน และได้พบว่า พ่อแม่ของเธอ ทำการถวาย "มตกภัตร" แก่พระสงฆ์ ซึ่งภาษาเหนือเรียกว่า "ตานขันข้าว" คือ ถวายทานคืออาหาร อุทิศให้แก่ผู้ตาย....
ทั้งสองท่าน คิดว่า ลูกสาวซึ่งเป็นลูกคนโตของพวกท่านนั้น ตายไปแล้ว !!!
ผมรู้สึกเศร้าสลด และร่วมทำบุญกับท่านทั้งสอง ทั้งที่ใจหนึ่งก็หวังว่า อ้อยยังมีชีวิตอยู่
หวังว่าชีวิตของเธอ จะไม่ลงเอยเหมือนตัวละครเอกในหนัง "กลกามแห่งความรัก" อันน่าสลดหดหู่เรื่องนั้น !!
แต่ ไม่ว่า อ้อย จะยังมีชีวิตหรือหาชีวิตไม่แล้วก็ตาม....
ผมจะไม่มีวันลืม "ภรรยาคนแรกในชีวิต" คนนี้ ตราบสิ้นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของผม
คนที่เคยใช้ชีวิตแสนสุขอยู่ด้วยกัน.....เคยร้องไห้ด้วยกัน....
และเมื่อถึงคราวต้องจากกัน...มันช่างจากกันไป อย่างง่ายดายเสียเหลือเกิน....
มันคือความทรงจำ....ตราบชั่วชีวิต.....
จำ ฝัง ใจ .....
ป.ล. ขอบคุณ วง "ไมโคร" ที่แต่งเพลงนี้ไว้ ซึ่งเข้ากับเรื่องราวครั้งหนึ่งในชีวิตของผมเรื่องนี้ครับ