●●ให้พรรคกู้เงินรอดยากปัญหาที่พ่อของฟ้าก่อเอง●●
“หนึ่งความคิด”
“สุรวิชช์ วีรวรรณ”
ภายหลังจากที่
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ไปเล่าให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศฟังด้วย
ความภาคภูมิใจว่า เขาให้พรรคยืมเงิน 110 ล้านไปใช้ในการหาเสียง ก็มีคำถามว่า...
" การเป็นพรรคการเมืองนั้นสามารถยืมเงินมาใช้ในกิจการของพรรคได้หรือไม่ "
ผมไม่ได้สนใจนะครับที่สื่อไปจับผิดขุดคุ้ยว่า จริงๆ แล้วยืมกันเท่าไหร่แน่ 250 ล้าน 110 ล้าน หรือ 90 ล้าน เพราะมันไม่ใช่ประเด็นเลย ประเด็นมันอยู่ที่ว่า พรรคยืมเงินได้ตามกฎหมายหรือไม่เท่านั้นเอง
แต่ถ้าเราไปดูพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ได้ระบุถึงที่มาของรายได้ไว้ใน
มาตรา 62...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้มาตรา 62 พรรคการเมืองอาจมีรายได้ ดังต่อไปนี้
(1) เงินทุนประเดิมตามมาตรา 9 วรรคสอง
(2) เงินค่าธรรมเนียมและค่าบํารุงพรรคการเมืองตามที่กําหนดในข้อบังคับ
(3) เงินที่ได้จากการจําหน่ายสินค้าหรือบริการของพรรคการเมือง
(4) เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง
(5) เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการรับบริจาค
(6) เงินอุดหนุนจากกองทุน
(7) ดอกผลและรายได้ที่เกิดจากเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดของพรรคการเมือง
แน่นอนจากมาตรานี้ ไม่ได้เขียนไว้เลยว่า พรรคการเมือง สามารถหารายได้จากการยืมหนี้สินได้ แต่กำหนด
ไว้ว่า รายได้ของพรรคการเมืองนั้นต้องมีที่มาอย่างไรบ้าง ถ้ามีรายได้นอกจากที่เขียนบังคับไว้ในมาตรา 62 นี้
จึงเป็นสิ่งที่ไม่ชอบ แล้วกฎหมายยังเขียนกำหนดการใช้เงินของพรรคการเมืองไว้อย่างเคร่งครัด แม้จะไม่ได้
เขียนไว้ตรงๆว่า พรรคการเมืองกู้ยืมเงินจากบุคคลอื่นได้หรือไม่ก็ตาม
ทั้งนี้ มีบางคนพยายามอธิบายว่า พรรคการเมืองสามารถยืมหนี้ได้ตามนิยามของ คำว่า ประโยชน์อื่นใน(7)
ที่อธิบายไว้ในมาตรา 4 ว่า
“ประโยชน์อื่นใด” หมายความรวมถึง การให้ใช้ทรัพย์สิน การให้บริการ หรือการให้ส่วนลดโดยไม่มี
ค่าตอบแทนหรือมีค่าตอบแทนที่ไม่เป็นไปตามปกติทางการค้า และการทําให้หนี้ที่พรรคการเมืองเป็นลูกหนี้
ลดลงหรือระงับสิ้นไปด้วย
แต่แม้จะอ้าง “
ประโยชน์อื่นใด” ก็จะไปติดกับดักในมาตรา 66...
บุคคลใดจะบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมืองมีมูลค่าเกินสิบล้านบาทต่อ
พรรคการเมืองต่อปีมิได้ และในกรณีที่บุคคลนั้นเป็นนิติบุคคล การบริจาคเงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
ให้แก่พรรคการเมืองไม่ว่าพรรคเดียวหรือหลายพรรคเกินปีละห้าล้านบาทต้องแจ้งให้ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น
ทราบในการประชุมใหญ่คราวต่อไปหลังจากบริจาคแล้ว
พรรคการเมืองจะรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดซึ่งมีมูลค่าเกินวรรคหนึ่งมิได้
แล้วยังมีบทบัญญัติโทษไว้ในมาตรา 124...
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือ
ทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนดห้าปี ในกรณีที่ผู้กระทําความผิดตาม
วรรคหนึ่งเป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทําความผิดดังกล่าวเกิดจากการสั่งการหรือการกระทําของบุคคลซึ่ง
รับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติบุคคล ให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของบุคคล ซึ่งสั่งการ
หรือรับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติบุคคลนั้นด้วย
และมาตรา125...
พรรคการเมืองใดรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดมีมูลค่าเกินที่กําหนดไว้ในมาตรา 66 วรรคสอง
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีกําหนดห้าปี และให้เงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ส่วนที่เกินมูลค่าที่
กําหนดไว้ตามมาตรา 66 ตกเป็นของกองทุน
เมื่อรู้ว่าไม่สามารถอ้างได้ว่า เป็นเงินยืมโดยชอบในฐานะ “ประโยชน์อื่นใด”ตามมาตรา 62(7)ได้ เพราะ
มันเกิน 10 ล้าน
คุณพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคก็อธิบายว่า เงินยืมเป็น “
รายจ่าย” ไม่ใช่
“รายได้”
ดังนั้นจึงไม่มีข้อห้ามตามกฎหมาย และนักกฎหมายมหาชนระดับเอกอุอย่าง
ปิยะบุตร แสงกนกกุล
เลขาธิการพรรคก็อ้างเช่นเดียวกันว่า กฎหมายไม่ได้ห้ามไว้
โฆษกพรรคอ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 135/2550 ที่ศาลภาษีพิพากษาฎีกาว่า การกู้ยืมเงินของจำเลยที่ถูกฟ้อง
เรียกเก็บภาษีว่า เงินที่จำเลยกู้ยืมถือเป็นรายจ่ายจึงไม่ต้องมีภาระในการเสียภาษี ทั้งนี้ศาลระบุว่า เป็นผล
ทำให้โจทก์ได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงินมาซื้อที่ดินจึงเป็นส่วนหนึ่งของค่าซื้อที่ดิน ซึ่งเป็นต้นทุน หาใช่
ค่าใช้จ่ายธรรมดาในการดำเนินธุรกิจการค้าหากำไรของโจทก์ไม่
นั่นเป็นเรื่องของศาลภาษีที่ตีความเรื่องภาระการยื่นภาษีจากเงินที่กู้ยืมมาว่าเงินก้อนที่ยืมมานั้นเป็น “รายจ่าย”
ที่ต้องคืนดังนั้นถือเป็น “หนี้” จึงไม่ต้องเสียภาษี แต่น่าจะเป็นคนละเรื่องของเจตนารมณ์ของพรรคการเมือง
ที่กำหนดที่มาของรายได้เอาไว้ และนิยามเอาไว้ในความหมายของคำว่า “ประโยชน์อื่นใด” อย่างชัดแจ้งแล้ว เจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีกับเจตนารมณ์ของกฎหมายพรรคการเมืองจึงแตกต่างกัน
ในทางกฎหมายเอกชนนั้นอาจจะถูกต้องครับว่า อะไรที่กฎหมายไม่ได้ห้ามเอาไว้สามารถทำได้ เพราะคำนึง
ถึงสิทธิเสรีภาพ แต่ในทางกฎหมายมหาชนนั้น กฎหมายจะกำหนดไว้ว่าอะไรที่สามารถทำได้ และกฎหมาย
ไม่ได้เขียนไว้ให้พรรคกู้เงินได้แต่กฎหมายกำหนดที่มาของรายได้ไว้ เงินที่ธนาธรให้ยืมจึงน่าจะเป็นเงินตามมาตรา62(7)คือรายได้ที่มาตามนิยามของ “ประโยชน์อื่นใด”
การเอามาอ้างว่า ทำได้เพราะกฎหมายไม่ได้ห้ามไว้เพราะเป็น “รายจ่าย” จึงเป็นเรื่องของศรีธนญชัย
ถ้าพรรคการเมืองกู้ยืมแบบนี้ทำได้แล้วอ้างว่า เป็นรายจ่ายไมใช่รายได้ทั้งที่กฎหมายกำหนดที่มาของรายได้
รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้เงินไว้อย่างเคร่งครัด ต่อไปใครจะตั้งพรรคก็หาเจ้าสัวมาสักคน ทำสัญญา
ให้กู้ยืมเงินหมื่นล้าน จะคืนเมื่อไรก็ได้ จะเอาดอกเบี้ยหรือไม่ก็ได้ แล้วลองคิดดูว่าคนให้พรรคกู้ยืมจะมี
อิทธิพลเหนือพรรคไหม
แล้วเมื่อเงินกู้เป็นเงินตามมาตรา62(7)คือ “ประโยชน์อื่นใด” ไม่สามารถอ้างแบบแถไถว่าเป็น “รายจ่าย”
ที่ไม่มีกฎหมายห้ามได้ จึงเกินเพดานที่มาตรา 66 บังคับไว้ว่าไม่เกินสิบล้านบาท ดังนั้นการกระทำความผิด
จึงเกิดขึ้นแล้ว จึงต้องรับโทษตามมาตรา 124และ125 นั่นคือ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท และ
ให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีกําหนดห้าปี
และให้เงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ส่วนที่เกินมูลค่าที่กําหนดไว้ตามมาตรา 66 ตกเป็นของกองทุน
และหากศาลพิพากษาว่ามีความผิดตามที่พรป.พรรคการเมืองบัญญัติไว้นี้ ก็ย่อมจะเป็นความผิดที่ธนาธร
และพรรคอนาคตใหม่ก่อขึ้นเอง และยอมรับสารภาพออกมาเอง
แต่ยังมีบางคนส่งเสียงว่าฝ่ายกุมอำนาจรัฐเอากฎหมายมากลั่นแกล้งธนาธร หรือส่งเสียงว่าอย่าไป
บังคับใช้กฎหมายกับธนาธรนะเดี๋ยวจะบานปลาย ราวกับธนาธรเป็นบุคคลที่อยู่เหนือกฎหมายเสียนี่กระไร
แต่ถ้าจะมองว่า ธนาธรถูกใช้อำนาจรัฐกลั่นแกล้ง ถูกใช้กฎหมายมาเล่นงานนั้น ต้องอธิบายให้ได้ก่อนว่า
ข้อกล่าวหาที่ธนาธรโดนนั้นไม่ควรจะเกิดขึ้นอย่างไร และทำไมธนาธรจึงเป็นคนที่มีอภิสิทธิ์ที่ไม่ควรถูก
ดำเนินคดีทางกฎหมาย
ทำไมมองว่าธนาธรถูกกลั่นแกล้ง ในคดีความต่างๆ ทั้งในเรื่องการถูกกล่าวหาว่าพาผู้ต้องหาหลบหนี
การถือครองหุ้นสื่อที่เป็นบทต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ และรวมถึงเรื่องล่าสุดด้านบนที่มีผู้ร้องแล้วเรื่อง
การอ้างว่าให้เงินพรรคกู้ยืม ฯลฯ
การอ้างว่า ธนาธรกำลังเป็นที่นิยมมีพลังมวลชนมาก และถ้าดำเนินคดีกับธนาธรอาจส่งผลกระทบต่อ
ประเทศชาติหรือส่งผลเสียมากกว่านั้น มันสะท้อนอะไรครับ นอกจากจะบอกว่า การบังคับใช้กฎหมายนั้น
ต้องเลือกปฏิบัติกับแต่ละบุคคลที่ต่างกันเช่นนั้นหรือ คนใช้กฎหมายต้องดูตาม้าตาเรือ ถ้าจะไปบังคับใช้
กฎหมายกับคนแบบนั้นแบบนี้เดี่ยวจะได้ไม่คุ้มเสียอย่างนั้นหรือ
ถ้าอย่างนั้นบ้านเมืองเราควรจะปกครองกันอย่างไร ไม่ต้องมีหลักนิติรัฐใช่ไหม เลือกปฏิบัติกันไป หรือ
กฎหมายไม่ควรบังคับใช้อย่างเท่าเทียมกันเช่นนั้นหรือ
ธนาธรจะถูกจะผิดก็เรื่องหนึ่งสุดท้ายกระบวนการยุติธรรมจะต้องพิสูจน์ตัวเอง แต่ทำไมเวลาธนาธร
ถูกดำเนินคดีมันกลายเป็นการกลั่นแกล้งไปได้ การมองว่าธนาธรมีพลังมีมวลชน มีคนสนับสนุนมาก
ไม่ควรเอาผิดกับธนาธร มันเป็นตรรกะที่ถูกต้องชอบธรรมอย่างไร
ถ้าจะศรัทธาหรือชื่นชอบในตัวธนาธรก็ว่ากันไปสิครับ ยิ่งทำตัวเป็นคนมีอุดมการณ์ ศรัทธาประชาธิปไตย
ก็ต้องเข้าใจว่าบ้านเมืองต้องมีหลักกฎหมายหลักการปกครองที่ต้องทำให้ทุกคนอยู่ในบรรทัดฐานเดียวกัน
เมื่อทำตัวให้เกิดข้อสงสัยที่อาจจะเข้าข่ายกระทำผิดถึงอ้างว่าว่าดีเลิศอย่างไรก็มีข้อยกเว้นไปไม่ได้หรอก
ธนาธรเองก็พูดเสมอว่า เข้ามาทำงานการเมือง เพื่อต้องการเห็นประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย มีนิติรัฐ
เท่าเทียมกัน ดังนั้นถ้ารักธนาธรชื่นชมบูชาก็ต้องยอมให้ธนาธรพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการของกฎหมาย
ไม่ใช่ส่งเสียงโวยวายว่าอย่าดำเนินคดีกับธนาธรแล้วใช้คำพูดบิดเบือนจนกลายเป็นการกลั่นแกล้งธนาธร
เพราะทำแบบนี้เหมือนกับการทำร้ายธนาธรผู้ที่เคารพหลักนิติรัฐเหนืออื่นใด
ไม่ใช่ชื่นชมธนาธรแล้วดัดจริตประดิษฐ์วาทกรรมเท่ๆให้ตัวเองดูเหมือนมีหลักการ ส่งเสียงด่าทอประจาน
ประเทศตัวเองกล่าวหาว่า ธนาธรกำลังถูกกลั่นแกล้งใช้อำนาจรัฐเล่นงาน ทั้งที่เสียงที่ส่งออกมานั้นนั่นแหละ
กำลังบิดเบือนหลักการของกฎหมายและทำลายหลักนิติรัฐเสียเอง
เรื่องการให้พรรคกู้ยืมนั้นจึงเรื่องที่ธนาธรกระทำต่อตัวเอง และอาจขัดต่อข้อกฎหมายอย่ามาบิดเบือน
ว่าใครใช้อำนาจรัฐกลั่นแกล้งให้เสียเวลาเลย พ่อนักหลักการผู้เรียกร้องความเป็นธรรมทั้งหลาย
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan
Cr.
https://mgronline.com/daily/detail/9620000049350
●●ข้อกล่าวหาที่ธนาธรโดนนั้นไม่ควรจะเกิดขึ้นอย่างไร และทำไมธนาธรจึงเป็นคนที่มีอภิสิทธิ์ที่ไม่ควรถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย●●
“หนึ่งความคิด”
“สุรวิชช์ วีรวรรณ”
ภายหลังจากที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ไปเล่าให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศฟังด้วย
ความภาคภูมิใจว่า เขาให้พรรคยืมเงิน 110 ล้านไปใช้ในการหาเสียง ก็มีคำถามว่า...
" การเป็นพรรคการเมืองนั้นสามารถยืมเงินมาใช้ในกิจการของพรรคได้หรือไม่ "
ผมไม่ได้สนใจนะครับที่สื่อไปจับผิดขุดคุ้ยว่า จริงๆ แล้วยืมกันเท่าไหร่แน่ 250 ล้าน 110 ล้าน หรือ 90 ล้าน เพราะมันไม่ใช่ประเด็นเลย ประเด็นมันอยู่ที่ว่า พรรคยืมเงินได้ตามกฎหมายหรือไม่เท่านั้นเอง
แต่ถ้าเราไปดูพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ได้ระบุถึงที่มาของรายได้ไว้ใน
มาตรา 62...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แน่นอนจากมาตรานี้ ไม่ได้เขียนไว้เลยว่า พรรคการเมือง สามารถหารายได้จากการยืมหนี้สินได้ แต่กำหนด
ไว้ว่า รายได้ของพรรคการเมืองนั้นต้องมีที่มาอย่างไรบ้าง ถ้ามีรายได้นอกจากที่เขียนบังคับไว้ในมาตรา 62 นี้
จึงเป็นสิ่งที่ไม่ชอบ แล้วกฎหมายยังเขียนกำหนดการใช้เงินของพรรคการเมืองไว้อย่างเคร่งครัด แม้จะไม่ได้
เขียนไว้ตรงๆว่า พรรคการเมืองกู้ยืมเงินจากบุคคลอื่นได้หรือไม่ก็ตาม
ทั้งนี้ มีบางคนพยายามอธิบายว่า พรรคการเมืองสามารถยืมหนี้ได้ตามนิยามของ คำว่า ประโยชน์อื่นใน(7)
ที่อธิบายไว้ในมาตรา 4 ว่า
“ประโยชน์อื่นใด” หมายความรวมถึง การให้ใช้ทรัพย์สิน การให้บริการ หรือการให้ส่วนลดโดยไม่มี
ค่าตอบแทนหรือมีค่าตอบแทนที่ไม่เป็นไปตามปกติทางการค้า และการทําให้หนี้ที่พรรคการเมืองเป็นลูกหนี้
ลดลงหรือระงับสิ้นไปด้วย
แต่แม้จะอ้าง “ประโยชน์อื่นใด” ก็จะไปติดกับดักในมาตรา 66...
บุคคลใดจะบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมืองมีมูลค่าเกินสิบล้านบาทต่อ
พรรคการเมืองต่อปีมิได้ และในกรณีที่บุคคลนั้นเป็นนิติบุคคล การบริจาคเงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
ให้แก่พรรคการเมืองไม่ว่าพรรคเดียวหรือหลายพรรคเกินปีละห้าล้านบาทต้องแจ้งให้ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น
ทราบในการประชุมใหญ่คราวต่อไปหลังจากบริจาคแล้ว
พรรคการเมืองจะรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดซึ่งมีมูลค่าเกินวรรคหนึ่งมิได้
แล้วยังมีบทบัญญัติโทษไว้ในมาตรา 124...
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือ
ทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนดห้าปี ในกรณีที่ผู้กระทําความผิดตาม
วรรคหนึ่งเป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทําความผิดดังกล่าวเกิดจากการสั่งการหรือการกระทําของบุคคลซึ่ง
รับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติบุคคล ให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของบุคคล ซึ่งสั่งการ
หรือรับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติบุคคลนั้นด้วย
และมาตรา125...
พรรคการเมืองใดรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดมีมูลค่าเกินที่กําหนดไว้ในมาตรา 66 วรรคสอง
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีกําหนดห้าปี และให้เงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ส่วนที่เกินมูลค่าที่
กําหนดไว้ตามมาตรา 66 ตกเป็นของกองทุน
เมื่อรู้ว่าไม่สามารถอ้างได้ว่า เป็นเงินยืมโดยชอบในฐานะ “ประโยชน์อื่นใด”ตามมาตรา 62(7)ได้ เพราะ
มันเกิน 10 ล้าน คุณพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคก็อธิบายว่า เงินยืมเป็น “รายจ่าย” ไม่ใช่ “รายได้”
ดังนั้นจึงไม่มีข้อห้ามตามกฎหมาย และนักกฎหมายมหาชนระดับเอกอุอย่าง ปิยะบุตร แสงกนกกุล
เลขาธิการพรรคก็อ้างเช่นเดียวกันว่า กฎหมายไม่ได้ห้ามไว้
โฆษกพรรคอ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 135/2550 ที่ศาลภาษีพิพากษาฎีกาว่า การกู้ยืมเงินของจำเลยที่ถูกฟ้อง
เรียกเก็บภาษีว่า เงินที่จำเลยกู้ยืมถือเป็นรายจ่ายจึงไม่ต้องมีภาระในการเสียภาษี ทั้งนี้ศาลระบุว่า เป็นผล
ทำให้โจทก์ได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงินมาซื้อที่ดินจึงเป็นส่วนหนึ่งของค่าซื้อที่ดิน ซึ่งเป็นต้นทุน หาใช่
ค่าใช้จ่ายธรรมดาในการดำเนินธุรกิจการค้าหากำไรของโจทก์ไม่
นั่นเป็นเรื่องของศาลภาษีที่ตีความเรื่องภาระการยื่นภาษีจากเงินที่กู้ยืมมาว่าเงินก้อนที่ยืมมานั้นเป็น “รายจ่าย”
ที่ต้องคืนดังนั้นถือเป็น “หนี้” จึงไม่ต้องเสียภาษี แต่น่าจะเป็นคนละเรื่องของเจตนารมณ์ของพรรคการเมือง
ที่กำหนดที่มาของรายได้เอาไว้ และนิยามเอาไว้ในความหมายของคำว่า “ประโยชน์อื่นใด” อย่างชัดแจ้งแล้ว เจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีกับเจตนารมณ์ของกฎหมายพรรคการเมืองจึงแตกต่างกัน
ในทางกฎหมายเอกชนนั้นอาจจะถูกต้องครับว่า อะไรที่กฎหมายไม่ได้ห้ามเอาไว้สามารถทำได้ เพราะคำนึง
ถึงสิทธิเสรีภาพ แต่ในทางกฎหมายมหาชนนั้น กฎหมายจะกำหนดไว้ว่าอะไรที่สามารถทำได้ และกฎหมาย
ไม่ได้เขียนไว้ให้พรรคกู้เงินได้แต่กฎหมายกำหนดที่มาของรายได้ไว้ เงินที่ธนาธรให้ยืมจึงน่าจะเป็นเงินตามมาตรา62(7)คือรายได้ที่มาตามนิยามของ “ประโยชน์อื่นใด”
การเอามาอ้างว่า ทำได้เพราะกฎหมายไม่ได้ห้ามไว้เพราะเป็น “รายจ่าย” จึงเป็นเรื่องของศรีธนญชัย
ถ้าพรรคการเมืองกู้ยืมแบบนี้ทำได้แล้วอ้างว่า เป็นรายจ่ายไมใช่รายได้ทั้งที่กฎหมายกำหนดที่มาของรายได้
รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้เงินไว้อย่างเคร่งครัด ต่อไปใครจะตั้งพรรคก็หาเจ้าสัวมาสักคน ทำสัญญา
ให้กู้ยืมเงินหมื่นล้าน จะคืนเมื่อไรก็ได้ จะเอาดอกเบี้ยหรือไม่ก็ได้ แล้วลองคิดดูว่าคนให้พรรคกู้ยืมจะมี
อิทธิพลเหนือพรรคไหม
แล้วเมื่อเงินกู้เป็นเงินตามมาตรา62(7)คือ “ประโยชน์อื่นใด” ไม่สามารถอ้างแบบแถไถว่าเป็น “รายจ่าย”
ที่ไม่มีกฎหมายห้ามได้ จึงเกินเพดานที่มาตรา 66 บังคับไว้ว่าไม่เกินสิบล้านบาท ดังนั้นการกระทำความผิด
จึงเกิดขึ้นแล้ว จึงต้องรับโทษตามมาตรา 124และ125 นั่นคือ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท และ
ให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีกําหนดห้าปี
และให้เงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ส่วนที่เกินมูลค่าที่กําหนดไว้ตามมาตรา 66 ตกเป็นของกองทุน
และหากศาลพิพากษาว่ามีความผิดตามที่พรป.พรรคการเมืองบัญญัติไว้นี้ ก็ย่อมจะเป็นความผิดที่ธนาธร
และพรรคอนาคตใหม่ก่อขึ้นเอง และยอมรับสารภาพออกมาเอง
แต่ยังมีบางคนส่งเสียงว่าฝ่ายกุมอำนาจรัฐเอากฎหมายมากลั่นแกล้งธนาธร หรือส่งเสียงว่าอย่าไป
บังคับใช้กฎหมายกับธนาธรนะเดี๋ยวจะบานปลาย ราวกับธนาธรเป็นบุคคลที่อยู่เหนือกฎหมายเสียนี่กระไร
แต่ถ้าจะมองว่า ธนาธรถูกใช้อำนาจรัฐกลั่นแกล้ง ถูกใช้กฎหมายมาเล่นงานนั้น ต้องอธิบายให้ได้ก่อนว่า
ข้อกล่าวหาที่ธนาธรโดนนั้นไม่ควรจะเกิดขึ้นอย่างไร และทำไมธนาธรจึงเป็นคนที่มีอภิสิทธิ์ที่ไม่ควรถูก
ดำเนินคดีทางกฎหมาย
ทำไมมองว่าธนาธรถูกกลั่นแกล้ง ในคดีความต่างๆ ทั้งในเรื่องการถูกกล่าวหาว่าพาผู้ต้องหาหลบหนี
การถือครองหุ้นสื่อที่เป็นบทต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ และรวมถึงเรื่องล่าสุดด้านบนที่มีผู้ร้องแล้วเรื่อง
การอ้างว่าให้เงินพรรคกู้ยืม ฯลฯ
การอ้างว่า ธนาธรกำลังเป็นที่นิยมมีพลังมวลชนมาก และถ้าดำเนินคดีกับธนาธรอาจส่งผลกระทบต่อ
ประเทศชาติหรือส่งผลเสียมากกว่านั้น มันสะท้อนอะไรครับ นอกจากจะบอกว่า การบังคับใช้กฎหมายนั้น
ต้องเลือกปฏิบัติกับแต่ละบุคคลที่ต่างกันเช่นนั้นหรือ คนใช้กฎหมายต้องดูตาม้าตาเรือ ถ้าจะไปบังคับใช้
กฎหมายกับคนแบบนั้นแบบนี้เดี่ยวจะได้ไม่คุ้มเสียอย่างนั้นหรือ
ถ้าอย่างนั้นบ้านเมืองเราควรจะปกครองกันอย่างไร ไม่ต้องมีหลักนิติรัฐใช่ไหม เลือกปฏิบัติกันไป หรือ
กฎหมายไม่ควรบังคับใช้อย่างเท่าเทียมกันเช่นนั้นหรือ
ธนาธรจะถูกจะผิดก็เรื่องหนึ่งสุดท้ายกระบวนการยุติธรรมจะต้องพิสูจน์ตัวเอง แต่ทำไมเวลาธนาธร
ถูกดำเนินคดีมันกลายเป็นการกลั่นแกล้งไปได้ การมองว่าธนาธรมีพลังมีมวลชน มีคนสนับสนุนมาก
ไม่ควรเอาผิดกับธนาธร มันเป็นตรรกะที่ถูกต้องชอบธรรมอย่างไร
ถ้าจะศรัทธาหรือชื่นชอบในตัวธนาธรก็ว่ากันไปสิครับ ยิ่งทำตัวเป็นคนมีอุดมการณ์ ศรัทธาประชาธิปไตย
ก็ต้องเข้าใจว่าบ้านเมืองต้องมีหลักกฎหมายหลักการปกครองที่ต้องทำให้ทุกคนอยู่ในบรรทัดฐานเดียวกัน
เมื่อทำตัวให้เกิดข้อสงสัยที่อาจจะเข้าข่ายกระทำผิดถึงอ้างว่าว่าดีเลิศอย่างไรก็มีข้อยกเว้นไปไม่ได้หรอก
ธนาธรเองก็พูดเสมอว่า เข้ามาทำงานการเมือง เพื่อต้องการเห็นประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย มีนิติรัฐ
เท่าเทียมกัน ดังนั้นถ้ารักธนาธรชื่นชมบูชาก็ต้องยอมให้ธนาธรพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการของกฎหมาย
ไม่ใช่ส่งเสียงโวยวายว่าอย่าดำเนินคดีกับธนาธรแล้วใช้คำพูดบิดเบือนจนกลายเป็นการกลั่นแกล้งธนาธร
เพราะทำแบบนี้เหมือนกับการทำร้ายธนาธรผู้ที่เคารพหลักนิติรัฐเหนืออื่นใด
ไม่ใช่ชื่นชมธนาธรแล้วดัดจริตประดิษฐ์วาทกรรมเท่ๆให้ตัวเองดูเหมือนมีหลักการ ส่งเสียงด่าทอประจาน
ประเทศตัวเองกล่าวหาว่า ธนาธรกำลังถูกกลั่นแกล้งใช้อำนาจรัฐเล่นงาน ทั้งที่เสียงที่ส่งออกมานั้นนั่นแหละ
กำลังบิดเบือนหลักการของกฎหมายและทำลายหลักนิติรัฐเสียเอง
เรื่องการให้พรรคกู้ยืมนั้นจึงเรื่องที่ธนาธรกระทำต่อตัวเอง และอาจขัดต่อข้อกฎหมายอย่ามาบิดเบือน
ว่าใครใช้อำนาจรัฐกลั่นแกล้งให้เสียเวลาเลย พ่อนักหลักการผู้เรียกร้องความเป็นธรรมทั้งหลาย
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan
Cr. https://mgronline.com/daily/detail/9620000049350