คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
"เมื่อภิกษุหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกายสังขาร หาย ใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวลมหายใจออก ลมหายใจเข้านี้ ว่าเป็นกายชนิดหนึ่งในพวกกาย เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายมีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ฯ"
คุณจะต้อง "กำหนดรู้ลมหายใจ" ไม่ใช่ "กำหนดลมหายใจ" (ต้องมีคำว่า "รู้" ด้วย)
ให้เราหายใจ เข้า-ออก ไปตามปกติ ไม่บังคับการหายใจ (ถ้าไปบังคับมัน หรือกำหนดให้มันสั้นหรือมันยาว เราจะอึดอัด เพราะมันจะไม่เป็นธรรมชาติ)
ร่างกายของเรามันต้องการจะหายใจอย่างไร จะหนัก จะเบา จะสั้น จะยาว ก็ให้เราหายใจไปตามปกตินั้น
เพียงแต่ว่าให้เราเอาจิตของเรา เข้าไปกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เท่านั้น (ให้เอาจิตเข้าตามจับลมหายใจเข้าออกไปเฉยๆเท่านั้น)
ให้ "กำหนดรู้" ว่าในตอนนี้เรากำลัง หายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น
สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง
(รู้ทั้งเวลาลมเข้า รู้ทั้งเวลาลมออก รู้ทั้งเวลาลมเข้ายาว รู้ทั้งเวลาลมออกยาว รู้ทั้งเวลาลมเข้าสั้น รู้ทั้งเวลาลมออกสั้น)
ความรู้สึกตรงจุดนี้ ยิ่งคุณรู้สึกได้ละเอียดมากเท่าไรก็ยิ่งดี (ยิ่งรู้สึกได้ละเอียดชัดเจนมากยิ่งขึ้นเท่าไร ยิ่งเข้าฌานได้ลึกมากขึ้นเท่านั้น)
คุณจะรู้สึกถึงการไหลของลม ได้ละเอียดชัดเจน แจ่มชัดมากขึ้น ตามความลึกของฌานสมาธิที่คุณเข้าถึงได้
คุณจะรู้สึกว่าลมหายใจวิ่ง เป็นเส้น-เป็นสาย ลงมา กระทบจุดทั้ง 3 จุด (ลม 3 ฐาน)
(ฐานที่1) จุดปลายจมูกหรือช่องจมูกหรือริมฝีปาก (แล้วแต่ว่าใครชอบที่จะกำหนดให้ลมเข้าตรงจุดไหนเป็นจุดที่1) (จุดที่ลมสัมผัส)
(ฐานที่2) ลงมากระทบจุดหน้าอก (กลางหน้าอก ภายในลำตัว)
(ฐานที่3) ลงมากระทบจุดเหนือสะดือ (จุดศูนย์กลางกาย กลางลำตัว เหนือสะดือ 2 นิ้ว)
หายใจเข้าเริ่มจาก จมูก-หน้าอก-เหนือสะดือ พอหายใจออกเริ่มจาก เหนือสะดือ-หน้าอก-จมูก (วิ่งลง - วิ่งขึ้น ตามจังหวะหายใจเข้าออก)
ความรู้สึกว่าลมหายใจวิ่งผ่านจุดทั้ง 3 นี้ ยิ่งชัดเจนแจ่มชัดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี จะรู้สึกเหมือนลมวิ่ง เป็นเส้น-เป็นสาย น้ำไหล วิ่งขึ้น-วิ่งลง ผ่านทั้ง 3 จุดนี้
ถ้ารู้สึกได้ชัดเจนแค่จุดปลายจมูก เป็นแค่ ขณิกสมาธิ (สมาธิเล็กน้อยของคนทั่วไป)
ถ้ารู้สึกได้ชัดเจนลงมาถึงจุดหน้าอก เป็น อุปจารสมาธิ (หรือ อุปจารฌาน) (สมาธิเฉียดฌาน)
ถ้ารู้สึกได้ชัดเจนลงมาถึงจุดเหนือสะดือ (จุดศูนย์กลางกาย กลางลำตัว เหนือสะดือ 2 นิ้ว) เป็น ปฐมฌาน
ยิ่งชัดเจน ยิ่งมีความสุข จะมีความรู้สึกถึงการไหลของลมนี้ชัดเจน เป็นเส้น-เป็นสาย วิ่งขึ้น-วิ่งลง ผ่านทั้ง 3 จุดนี้ ต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย (เอกัคคตารมณ์)
ลม 3 ฐาน เป็นการฝึก อานาปานสติ ของหมวด เตวิชโช, ฉฬภิญโญ, ปฏิสัมภิทาญาณ (หมวดที่มีทิพย์จักษุญาณ)
จึงมีความละเอียดมากกว่าการฝึก อานาปานสติ ของหมวดสุกขวิปัสสโก
คนไหนถ้าเคยได้ฌานสมาธิแบบนี้มาก่อนตั้งแต่ในอดีตชาติ
พอมาถึงชาติปัจจุบัน ถ้าเขาทำสมาธิได้ถึงอุปจารสมาธิเมื่อไร จิตก็จะวิ่งไปหยุดอยู่ที่ฌานที่คุณเคยทำได้ทันที (ระลึกของเก่าได้อัตโนมัติ)
เช่น ถ้าเคยได้ฌาน2มาก่อน พอมาชาตินี้มาสนใจฝึกนั่งสมาธิ จนจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อไหร่ จิตของคุณจะวิ่งไปหยุดอยู่ที่ ฌาน2 ในทันที
(ถ้าเคยได้ ลม 3 ฐาน ถึงปฐมฌาน พอชาตินี้จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิเมื่อไหร่ จะรู้สึกแจ่มชัดถึงการไหลของลมทันที 3 จุดครบถ้วน)
แต่ถ้าเขาเคยได้กสิณไฟมาก่อนจากในอดีตชาติ พอมาชาตินี้ไม่รู้ว่าตัวเองเคยได้
แต่มาฝึกสมาธิจนจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อไหร่ ดวงกสิณไฟ ก็จะปรากฏในจิตทันที (ถ้าเคยได้กสิณน้ำ ดวงกสิณน้ำก็จะปรากฏแทน)
หรือถ้าเคยได้อภิญญามาก่อนในอดีตชาติ พอมาชาตินี้ทำจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อไหร่ อภิญญาที่เคยได้ก็จะระลึกได้ทันที
(ถ้าเคยได้ฤทธิ์อภิญญาเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็จะเหาะได้ทันที)
แต่ตอนวางอารมณ์ทำสมาธิ อย่าไปคิดอยากได้อะไรพวกนี้ เพราะมันเป็นการวางอารมณ์สมาธิที่ประกอบไปด้วยกิเลส มันจะทำให้คุณเข้าฌานไม่ได้
ถ้าได้ มันก็ได้เอง ถ้ามี มันก็มีเอง
"เมื่อภิกษุหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกายสังขาร หาย ใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวลมหายใจออก ลมหายใจเข้านี้ ว่าเป็นกายชนิดหนึ่งในพวกกาย เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายมีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ฯ"
คุณจะต้อง "กำหนดรู้ลมหายใจ" ไม่ใช่ "กำหนดลมหายใจ" (ต้องมีคำว่า "รู้" ด้วย)
ให้เราหายใจ เข้า-ออก ไปตามปกติ ไม่บังคับการหายใจ (ถ้าไปบังคับมัน หรือกำหนดให้มันสั้นหรือมันยาว เราจะอึดอัด เพราะมันจะไม่เป็นธรรมชาติ)
ร่างกายของเรามันต้องการจะหายใจอย่างไร จะหนัก จะเบา จะสั้น จะยาว ก็ให้เราหายใจไปตามปกตินั้น
เพียงแต่ว่าให้เราเอาจิตของเรา เข้าไปกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เท่านั้น (ให้เอาจิตเข้าตามจับลมหายใจเข้าออกไปเฉยๆเท่านั้น)
ให้ "กำหนดรู้" ว่าในตอนนี้เรากำลัง หายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น
สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง
(รู้ทั้งเวลาลมเข้า รู้ทั้งเวลาลมออก รู้ทั้งเวลาลมเข้ายาว รู้ทั้งเวลาลมออกยาว รู้ทั้งเวลาลมเข้าสั้น รู้ทั้งเวลาลมออกสั้น)
ความรู้สึกตรงจุดนี้ ยิ่งคุณรู้สึกได้ละเอียดมากเท่าไรก็ยิ่งดี (ยิ่งรู้สึกได้ละเอียดชัดเจนมากยิ่งขึ้นเท่าไร ยิ่งเข้าฌานได้ลึกมากขึ้นเท่านั้น)
คุณจะรู้สึกถึงการไหลของลม ได้ละเอียดชัดเจน แจ่มชัดมากขึ้น ตามความลึกของฌานสมาธิที่คุณเข้าถึงได้
คุณจะรู้สึกว่าลมหายใจวิ่ง เป็นเส้น-เป็นสาย ลงมา กระทบจุดทั้ง 3 จุด (ลม 3 ฐาน)
(ฐานที่1) จุดปลายจมูกหรือช่องจมูกหรือริมฝีปาก (แล้วแต่ว่าใครชอบที่จะกำหนดให้ลมเข้าตรงจุดไหนเป็นจุดที่1) (จุดที่ลมสัมผัส)
(ฐานที่2) ลงมากระทบจุดหน้าอก (กลางหน้าอก ภายในลำตัว)
(ฐานที่3) ลงมากระทบจุดเหนือสะดือ (จุดศูนย์กลางกาย กลางลำตัว เหนือสะดือ 2 นิ้ว)
หายใจเข้าเริ่มจาก จมูก-หน้าอก-เหนือสะดือ พอหายใจออกเริ่มจาก เหนือสะดือ-หน้าอก-จมูก (วิ่งลง - วิ่งขึ้น ตามจังหวะหายใจเข้าออก)
ความรู้สึกว่าลมหายใจวิ่งผ่านจุดทั้ง 3 นี้ ยิ่งชัดเจนแจ่มชัดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี จะรู้สึกเหมือนลมวิ่ง เป็นเส้น-เป็นสาย น้ำไหล วิ่งขึ้น-วิ่งลง ผ่านทั้ง 3 จุดนี้
ถ้ารู้สึกได้ชัดเจนแค่จุดปลายจมูก เป็นแค่ ขณิกสมาธิ (สมาธิเล็กน้อยของคนทั่วไป)
ถ้ารู้สึกได้ชัดเจนลงมาถึงจุดหน้าอก เป็น อุปจารสมาธิ (หรือ อุปจารฌาน) (สมาธิเฉียดฌาน)
ถ้ารู้สึกได้ชัดเจนลงมาถึงจุดเหนือสะดือ (จุดศูนย์กลางกาย กลางลำตัว เหนือสะดือ 2 นิ้ว) เป็น ปฐมฌาน
ยิ่งชัดเจน ยิ่งมีความสุข จะมีความรู้สึกถึงการไหลของลมนี้ชัดเจน เป็นเส้น-เป็นสาย วิ่งขึ้น-วิ่งลง ผ่านทั้ง 3 จุดนี้ ต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย (เอกัคคตารมณ์)
ลม 3 ฐาน เป็นการฝึก อานาปานสติ ของหมวด เตวิชโช, ฉฬภิญโญ, ปฏิสัมภิทาญาณ (หมวดที่มีทิพย์จักษุญาณ)
จึงมีความละเอียดมากกว่าการฝึก อานาปานสติ ของหมวดสุกขวิปัสสโก
คนไหนถ้าเคยได้ฌานสมาธิแบบนี้มาก่อนตั้งแต่ในอดีตชาติ
พอมาถึงชาติปัจจุบัน ถ้าเขาทำสมาธิได้ถึงอุปจารสมาธิเมื่อไร จิตก็จะวิ่งไปหยุดอยู่ที่ฌานที่คุณเคยทำได้ทันที (ระลึกของเก่าได้อัตโนมัติ)
เช่น ถ้าเคยได้ฌาน2มาก่อน พอมาชาตินี้มาสนใจฝึกนั่งสมาธิ จนจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อไหร่ จิตของคุณจะวิ่งไปหยุดอยู่ที่ ฌาน2 ในทันที
(ถ้าเคยได้ ลม 3 ฐาน ถึงปฐมฌาน พอชาตินี้จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิเมื่อไหร่ จะรู้สึกแจ่มชัดถึงการไหลของลมทันที 3 จุดครบถ้วน)
แต่ถ้าเขาเคยได้กสิณไฟมาก่อนจากในอดีตชาติ พอมาชาตินี้ไม่รู้ว่าตัวเองเคยได้
แต่มาฝึกสมาธิจนจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อไหร่ ดวงกสิณไฟ ก็จะปรากฏในจิตทันที (ถ้าเคยได้กสิณน้ำ ดวงกสิณน้ำก็จะปรากฏแทน)
หรือถ้าเคยได้อภิญญามาก่อนในอดีตชาติ พอมาชาตินี้ทำจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อไหร่ อภิญญาที่เคยได้ก็จะระลึกได้ทันที
(ถ้าเคยได้ฤทธิ์อภิญญาเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็จะเหาะได้ทันที)
แต่ตอนวางอารมณ์ทำสมาธิ อย่าไปคิดอยากได้อะไรพวกนี้ เพราะมันเป็นการวางอารมณ์สมาธิที่ประกอบไปด้วยกิเลส มันจะทำให้คุณเข้าฌานไม่ได้
ถ้าได้ มันก็ได้เอง ถ้ามี มันก็มีเอง
แสดงความคิดเห็น
การวางจิต ในการทำสมาธิ มีปัญหาครับ
อยากทราบว่าผมทำผิดตรงใหน
1.ถ้าเราไปเพ่งลมหายใจแสดงว่าเราไม่ได้แค่รู้เฉยๆแต่ไปเป็นมันด้วย
เลยทำให้เราปวดหัว ไม่ได้สมาธิ
2. การรู้เฉยๆ คือเราไม่ได้เพ่ง แต่จะทำให้เราง่วงนอน จนหลับไป ไม่เป็นสมาธิ
ผมควรวางจิตอย่างไรให้ถูกและได้สมาธิครับ
#แก้คำผิด คำว่า เพิ่งลมหายใจ เปลี่ยนเป็น เพ่งลมหายใจ