เล่าโดย : คุณเค
"เออ! งั้นก็จบกันแค่นี้!!" วัยรุ่นสาวอายุคงราวยี่สิบต้นๆ พูดด้วยอารมณ์คุกรุ่นก่อนที่เธอจะกระแทกส้นเท้าออกจากห้องไป คุณเคซึ่งก็อยู่ในอารมณ์ที่ไม่ได้ต่างกันสักเท่าใดนัก ไม่คิดจะเหนี่ยวรั้งแฟนสาวไว้แม้แต่ชายตามองเธอด้วยซ้ำ เค้าคิดว่ายังไงเสียเค้าก็อยู่ได้ นั่นเป็นเพราะตอนนั้นเค้ายังอยู่ในอารมณ์ที่ขุ่นมัว
นี่ก็ผ่านมาได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว หลังจากที่เธอเดินออกจากห้องไป ภาพความทรงจำต่างๆที่เคยทำร่วมกันมายังคงตราตรึงอยู่ไม่จางหาย ได้กลิ่นกายที่หอมละมุนของเธอแฝงอยู่ทั่วทุกที่ภายในห้อง โต๊ะเขียนหนังสือที่สองหนุ่มสาวชอบแย่งกันนั่งเบียดเสียดใช้งานมันทุกวัน แต่บัดนี้กลับทิ้งร้างว่างเปล่าไร้คนเหลียวแล คุณเคทิ้งตัวที่อ่อนแรงเหนื่อยล้าลงบนเตียง ที่เค้าและอดีตแฟนสาวเคยนอนกอดทอดกายกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
"ทำไมเองไม่มาเรียนเลยวะ เค" เสียงพูดแข็งๆกวนๆ แต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงผองเพื่อน ดังออกมาจากปลายสาย
"ข้าไม่ไหวจริงๆ ยังทำใจไม่ได้เลยว่ะ" คุณเคตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้าคล้ายคนที่ใกล้จะหมดลมไปทุกที ทว่าเค้าไม่ได้แสแสร้งแกล้งทำเสียงแต่อย่างใด
"ข้าว่าเองลองย้ายหอเถอะ อยู่ที่นั่นมีแต่จะแย่ลง ถ้าเองเลิกคิดถึงมันไม่ได้ก็ต้องลองเปลี่ยนไปอยู่ในที่ใหม่ๆดีกว่า"
"ข้าไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ยังไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย"
"เอางี้ พี่ชายข้าเพิ่งย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเมื่อสามสี่วันก่อน เองย้ายเข้าไปอยู่แทนห้องพี่ข้าก่อนก็แล้วกัน"
คุณเคยืนอยู่หน้าอพาร์ทเม้นท์สีขาวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสูงเจ็ดชั้น ขนาดตัวตึกกินพื้นที่ประมาณครึ่งสนามฟุตบอลได้ เค้ายืดหัวไหล่ขึ้นให้ตั้งตรง เพราะรู้สึกว่าช่วงนี้หัวไหล่จะลู่ลงอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่ที่อดีตแฟนสาวได้เดินจากไป
"สวัสดีครับ ห้อง 611 ชั้น 6 ว่างอยู่ใช่มั้ยครับ พอดีว่าเพื่อนผมแนะนำมาครับ" คุณเคเอ่ยถามขึ้นกับชายแก่ที่นั่งอยู่ด้านในของเคาน์เตอร์ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็น รปภ ของอพาร์ทเม้นท์
ชายแก่ผิวคล้ำรูปร่างผอม อายุคงจะราว 65 ปีได้ ถ้าคาดคะเนจากผมบนศีรษะ แกละสายตาจากหนังสือพิมพ์ในมือเหล่มองมาทางหนุ่มรุ่นหลานที่กำลังยืนทำหน้าเฉยเมย แต่แววตากลับแฝงไปด้วยความหมองเศร้าจนแกเองที่ไม่ได้รู้ภูมิหลังของเจ้าหนุ่มคนนี้ แต่กลับมองออกในทันทีว่ามันพกปัญหาหนักอึ้งอยู่เต็มอก คงไม่พ้นเรื่องรักๆใคร่ๆ
"รอแปบนะหนุ่ม ลุงขอเช็คดูก่อน" แกพูดด้วยน้ำเสียงที่เบื่อหน่าย พรางเปิดสมุดเล่มใหญ่ที่วางอยู่ตรงหน้า แล้วลากนิ้วมือไปมาเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง แต่ในใจแกกำลังคิดว่าทำไมพวกหนุ่มสาวสมัยนี้ถึงให้ความสำคัญกับไอ้เรื่องรักๆใคร่ๆกันจนเกินไป แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือให้จบมีงานดีๆทำ ไม่ใช่เพื่อใครที่ไหน ก็เพื่อตัวของพวกเค้าเองนั่นแหละ
ระหว่างกำลังรอ คุณเคกวาดสายตามองสิ่งต่างๆรอบตัว สภาพของที่นี่แสดงให้เห็นว่าผ่านการเวลามาพอควร ฝาผนังที่ควรจะเป็นสีขาวกลับดูเป็นสีไข่ออกซีดๆ บางจุดมีรอยแตกน้ำซึมจนขึ้นคราบสีสนิมจับแน่น พัดลมบนเพดานส่งเสียงครางน่าขนลุกในขณะที่มันกำลังแกว่งไปมา และมันไม่ได้ช่วยไล่ความร้อนออกจากห้องโถงรับแขกได้เลยแม้แต่น้อย
"ห้อง 611 นะ มะ ตามลุงมา" ชายแก่พูดขึ้นพรางลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย คล้ายกับว่าแกนั่งอยู่ตรงนี้โดยที่ไม่ได้ลุกไปไหนมาเป็นเดือนเป็นปี จากนั้นแกก็เดินลากเท้าตรงไปยังลิฟท์ที่อยู่ตรงข้ามกับเคาน์เตอร์ แล้วกดปุ่มเรียกลิฟฟ์
เสียงคลืดคลาดดังออกมาจากลิฟท์ที่ทำขึ้นจากเหล็กกล้าแข็งแกร่ง ไม้โอ๊คที่ใช้ประดับอยู่หน้าลิฟท์มีสีซีดจางขาดการดูแลเอาใจใส่ มันอาจดูเก่าไปสักหน่อยแต่เหมือนว่ามันยังใช้การได้ เมื่อประตูลิฟท์เลื่อนเปิดออก สองชายจึงก้าวเท้าเข้าไปด้านใน
"ขั้น 6 นะ" ลุงแกพูดพึมพำคล้ายว่าบ่นอะไรสักอย่างกับตัวเอง แล้วกดนิ้วลงไปที่เลข 6 ลิฟท์จึงเลื่อนประตูปิดลง แล้วส่งทั้งสองขึ้นไปยังที่หมาย กลิ่นภายในลิฟท์อับชื้นจนคุณเคต้องยกมือขึ้นปิดจมูก คล้ายกับกลิ่นของผ้าที่เปียกน้ำเป็นเวลานาน แต่ดูเหมือนคุณลุงจะไม่สะทกสะท้านกับกลิ่นที่ว่า แกยังผิวปากอารมณ์ดีเหมือนคนที่รู้ว่าตนเองถูกรางวัลใหญ่
ไม่กี่อึดใจ ลิฟฟ์ก็เปิดทางให้ทั้งคู่เมื่อถึงที่หมาย ด้านหน้าเป็นโถงทางเดินหน้าห้องยาวเหยียดที่ถูกขนาบไปด้วยประตูห้องพัก ความกว้างของโถงทางเดินคะเนจากสายตาคงประมาณสามเมตรได้ สุดทางเดินเห็นไกลๆจะเป็นบันไดหนีไฟ กลิ่นภายในนี้ไม่ได้ผิดแปลกไปจากในลิฟฟ์เท่าใดนัก คาดว่าไม่มีที่ถ่ายเทของอากาศ
"กึก..กึก..กึก" เสียงส้นรองเท้าบูทหนังของชายแก่กระทบกับพื้นหินอ่อน ดังก้องไปมาในความเงียบเชียบและเย็นเยือก ตามทางเดินกับเพดานมีเศษฝุ่นผงและหยากไย่เกาะเป็นกระจุกๆ เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไร้คนดูแลมาพักหนึ่งแล้ว
ทั้งสองหยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้ที่สลักตัวเลข 611 ไว้ด้านบน ชายแก่หมุนลูกบิดแล้วดันมันเข้าไปด้านใน แล้วหันมาทางคุณเคพร้อมกับผายมือไปในห้อง เป็นการเชื้อเชิญให้เด็กหนุ่มเข้าไปสำรวจดู ที่อยู่ตรงกับประตูพอดีจะเป็นชั้นวางทีวีที่ไม่มีทีวีวางอยู่ ถัดไปจะเป็นตู้เย็นขนาดห้าคิว ถัดไปจนสุดห้องเป็นหน้าต่างบานเลื่อนที่มีผ้าม่านสีฟ้าคลุมมิด ลึกไปทางขวามือจะเป็นโต๊ะเครื่องแป้งมีกระจก เตียงขนาดหกฟุตตั้งอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะทีวี ถัดจากเตียงไปจะเป็นประตูห้องน้ำ
สภาพของห้องรวมถึงเฟอร์นิเจอร์มีสภาพที่ค่อนข้างเก่าพอสมควร แต่ไม่เท่าที่คุณเคจินตนาการไว้ กลิ่นอับจางๆยังคงมีมาแตะจมูกบ้าง ประกอบกับที่สนนราคาไม่แพง จึงทำให้คุณเคใช้เวลาคิดเพียงไม่นานก็ตอบตกลงเช่าทันที
"คลืดดดดดดดดด" เสียงปริศนาดึงสติของคุณเคให้กลับคืนมาขณะที่กำลังนอนอยู่บนเตียง "ตึ้ง!!" สิ้นเสียงนี้ทำให้คุณเคตื่นอย่างเต็มตา เหลือบมองนาฬิกาข้อมือมันบอกเป็นเวลาตีสอง เค้าบ่นอุบขึ้นในใจว่าดึกดื่นป่านนี้ น่าจะมีความเกรงอกเกรงใจผู้อื่นบ้าง
"คลืดดดดดดดดด" เสียงปริศนาดังขัดจังหวะการบ่นในใจของคุณเค ตามมาด้วยเสียงในลักษณะเดิม "ตึ้ง!!" เค้าพยายามพินิจพิเคราะห์ฟัง มันคล้ายกับคนลากอะไรสักอย่างแล้วปล่อยมันลงพื้น ดังมาจากห้องบนที่อยู่ตรงกับห้องนี้พอดี ดูแล้วไม่น่าจะใช่อุบัติเหตุอย่างแน่นอน แต่เหมือนจงใจทำให้มันเกิดเสียงมากกว่า
ครั้นจะขึ้นไปด่ามันก็ใช่ที่ เพราะเค้าเองก็เพิ่งมาอยู่ที่นี่เป็นคืนแรก จึงคิดว่าทนๆมันไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เค้าพยายามนอนหลับโดยการเอาหมอนปิดหู เพื่อให้เสียงเล็ดลอดผ่านโซนประสาทให้เบาที่สุด
เรื่องของคนตาย...ห้องชั้น 7
"เออ! งั้นก็จบกันแค่นี้!!" วัยรุ่นสาวอายุคงราวยี่สิบต้นๆ พูดด้วยอารมณ์คุกรุ่นก่อนที่เธอจะกระแทกส้นเท้าออกจากห้องไป คุณเคซึ่งก็อยู่ในอารมณ์ที่ไม่ได้ต่างกันสักเท่าใดนัก ไม่คิดจะเหนี่ยวรั้งแฟนสาวไว้แม้แต่ชายตามองเธอด้วยซ้ำ เค้าคิดว่ายังไงเสียเค้าก็อยู่ได้ นั่นเป็นเพราะตอนนั้นเค้ายังอยู่ในอารมณ์ที่ขุ่นมัว
นี่ก็ผ่านมาได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว หลังจากที่เธอเดินออกจากห้องไป ภาพความทรงจำต่างๆที่เคยทำร่วมกันมายังคงตราตรึงอยู่ไม่จางหาย ได้กลิ่นกายที่หอมละมุนของเธอแฝงอยู่ทั่วทุกที่ภายในห้อง โต๊ะเขียนหนังสือที่สองหนุ่มสาวชอบแย่งกันนั่งเบียดเสียดใช้งานมันทุกวัน แต่บัดนี้กลับทิ้งร้างว่างเปล่าไร้คนเหลียวแล คุณเคทิ้งตัวที่อ่อนแรงเหนื่อยล้าลงบนเตียง ที่เค้าและอดีตแฟนสาวเคยนอนกอดทอดกายกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
"ทำไมเองไม่มาเรียนเลยวะ เค" เสียงพูดแข็งๆกวนๆ แต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงผองเพื่อน ดังออกมาจากปลายสาย
"ข้าไม่ไหวจริงๆ ยังทำใจไม่ได้เลยว่ะ" คุณเคตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้าคล้ายคนที่ใกล้จะหมดลมไปทุกที ทว่าเค้าไม่ได้แสแสร้งแกล้งทำเสียงแต่อย่างใด
"ข้าว่าเองลองย้ายหอเถอะ อยู่ที่นั่นมีแต่จะแย่ลง ถ้าเองเลิกคิดถึงมันไม่ได้ก็ต้องลองเปลี่ยนไปอยู่ในที่ใหม่ๆดีกว่า"
"ข้าไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ยังไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย"
"เอางี้ พี่ชายข้าเพิ่งย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเมื่อสามสี่วันก่อน เองย้ายเข้าไปอยู่แทนห้องพี่ข้าก่อนก็แล้วกัน"
คุณเคยืนอยู่หน้าอพาร์ทเม้นท์สีขาวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสูงเจ็ดชั้น ขนาดตัวตึกกินพื้นที่ประมาณครึ่งสนามฟุตบอลได้ เค้ายืดหัวไหล่ขึ้นให้ตั้งตรง เพราะรู้สึกว่าช่วงนี้หัวไหล่จะลู่ลงอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่ที่อดีตแฟนสาวได้เดินจากไป
"สวัสดีครับ ห้อง 611 ชั้น 6 ว่างอยู่ใช่มั้ยครับ พอดีว่าเพื่อนผมแนะนำมาครับ" คุณเคเอ่ยถามขึ้นกับชายแก่ที่นั่งอยู่ด้านในของเคาน์เตอร์ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็น รปภ ของอพาร์ทเม้นท์
ชายแก่ผิวคล้ำรูปร่างผอม อายุคงจะราว 65 ปีได้ ถ้าคาดคะเนจากผมบนศีรษะ แกละสายตาจากหนังสือพิมพ์ในมือเหล่มองมาทางหนุ่มรุ่นหลานที่กำลังยืนทำหน้าเฉยเมย แต่แววตากลับแฝงไปด้วยความหมองเศร้าจนแกเองที่ไม่ได้รู้ภูมิหลังของเจ้าหนุ่มคนนี้ แต่กลับมองออกในทันทีว่ามันพกปัญหาหนักอึ้งอยู่เต็มอก คงไม่พ้นเรื่องรักๆใคร่ๆ
"รอแปบนะหนุ่ม ลุงขอเช็คดูก่อน" แกพูดด้วยน้ำเสียงที่เบื่อหน่าย พรางเปิดสมุดเล่มใหญ่ที่วางอยู่ตรงหน้า แล้วลากนิ้วมือไปมาเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง แต่ในใจแกกำลังคิดว่าทำไมพวกหนุ่มสาวสมัยนี้ถึงให้ความสำคัญกับไอ้เรื่องรักๆใคร่ๆกันจนเกินไป แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือให้จบมีงานดีๆทำ ไม่ใช่เพื่อใครที่ไหน ก็เพื่อตัวของพวกเค้าเองนั่นแหละ
ระหว่างกำลังรอ คุณเคกวาดสายตามองสิ่งต่างๆรอบตัว สภาพของที่นี่แสดงให้เห็นว่าผ่านการเวลามาพอควร ฝาผนังที่ควรจะเป็นสีขาวกลับดูเป็นสีไข่ออกซีดๆ บางจุดมีรอยแตกน้ำซึมจนขึ้นคราบสีสนิมจับแน่น พัดลมบนเพดานส่งเสียงครางน่าขนลุกในขณะที่มันกำลังแกว่งไปมา และมันไม่ได้ช่วยไล่ความร้อนออกจากห้องโถงรับแขกได้เลยแม้แต่น้อย
"ห้อง 611 นะ มะ ตามลุงมา" ชายแก่พูดขึ้นพรางลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย คล้ายกับว่าแกนั่งอยู่ตรงนี้โดยที่ไม่ได้ลุกไปไหนมาเป็นเดือนเป็นปี จากนั้นแกก็เดินลากเท้าตรงไปยังลิฟท์ที่อยู่ตรงข้ามกับเคาน์เตอร์ แล้วกดปุ่มเรียกลิฟฟ์
เสียงคลืดคลาดดังออกมาจากลิฟท์ที่ทำขึ้นจากเหล็กกล้าแข็งแกร่ง ไม้โอ๊คที่ใช้ประดับอยู่หน้าลิฟท์มีสีซีดจางขาดการดูแลเอาใจใส่ มันอาจดูเก่าไปสักหน่อยแต่เหมือนว่ามันยังใช้การได้ เมื่อประตูลิฟท์เลื่อนเปิดออก สองชายจึงก้าวเท้าเข้าไปด้านใน
"ขั้น 6 นะ" ลุงแกพูดพึมพำคล้ายว่าบ่นอะไรสักอย่างกับตัวเอง แล้วกดนิ้วลงไปที่เลข 6 ลิฟท์จึงเลื่อนประตูปิดลง แล้วส่งทั้งสองขึ้นไปยังที่หมาย กลิ่นภายในลิฟท์อับชื้นจนคุณเคต้องยกมือขึ้นปิดจมูก คล้ายกับกลิ่นของผ้าที่เปียกน้ำเป็นเวลานาน แต่ดูเหมือนคุณลุงจะไม่สะทกสะท้านกับกลิ่นที่ว่า แกยังผิวปากอารมณ์ดีเหมือนคนที่รู้ว่าตนเองถูกรางวัลใหญ่
ไม่กี่อึดใจ ลิฟฟ์ก็เปิดทางให้ทั้งคู่เมื่อถึงที่หมาย ด้านหน้าเป็นโถงทางเดินหน้าห้องยาวเหยียดที่ถูกขนาบไปด้วยประตูห้องพัก ความกว้างของโถงทางเดินคะเนจากสายตาคงประมาณสามเมตรได้ สุดทางเดินเห็นไกลๆจะเป็นบันไดหนีไฟ กลิ่นภายในนี้ไม่ได้ผิดแปลกไปจากในลิฟฟ์เท่าใดนัก คาดว่าไม่มีที่ถ่ายเทของอากาศ
"กึก..กึก..กึก" เสียงส้นรองเท้าบูทหนังของชายแก่กระทบกับพื้นหินอ่อน ดังก้องไปมาในความเงียบเชียบและเย็นเยือก ตามทางเดินกับเพดานมีเศษฝุ่นผงและหยากไย่เกาะเป็นกระจุกๆ เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไร้คนดูแลมาพักหนึ่งแล้ว
ทั้งสองหยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้ที่สลักตัวเลข 611 ไว้ด้านบน ชายแก่หมุนลูกบิดแล้วดันมันเข้าไปด้านใน แล้วหันมาทางคุณเคพร้อมกับผายมือไปในห้อง เป็นการเชื้อเชิญให้เด็กหนุ่มเข้าไปสำรวจดู ที่อยู่ตรงกับประตูพอดีจะเป็นชั้นวางทีวีที่ไม่มีทีวีวางอยู่ ถัดไปจะเป็นตู้เย็นขนาดห้าคิว ถัดไปจนสุดห้องเป็นหน้าต่างบานเลื่อนที่มีผ้าม่านสีฟ้าคลุมมิด ลึกไปทางขวามือจะเป็นโต๊ะเครื่องแป้งมีกระจก เตียงขนาดหกฟุตตั้งอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะทีวี ถัดจากเตียงไปจะเป็นประตูห้องน้ำ
สภาพของห้องรวมถึงเฟอร์นิเจอร์มีสภาพที่ค่อนข้างเก่าพอสมควร แต่ไม่เท่าที่คุณเคจินตนาการไว้ กลิ่นอับจางๆยังคงมีมาแตะจมูกบ้าง ประกอบกับที่สนนราคาไม่แพง จึงทำให้คุณเคใช้เวลาคิดเพียงไม่นานก็ตอบตกลงเช่าทันที
"คลืดดดดดดดดด" เสียงปริศนาดึงสติของคุณเคให้กลับคืนมาขณะที่กำลังนอนอยู่บนเตียง "ตึ้ง!!" สิ้นเสียงนี้ทำให้คุณเคตื่นอย่างเต็มตา เหลือบมองนาฬิกาข้อมือมันบอกเป็นเวลาตีสอง เค้าบ่นอุบขึ้นในใจว่าดึกดื่นป่านนี้ น่าจะมีความเกรงอกเกรงใจผู้อื่นบ้าง
"คลืดดดดดดดดด" เสียงปริศนาดังขัดจังหวะการบ่นในใจของคุณเค ตามมาด้วยเสียงในลักษณะเดิม "ตึ้ง!!" เค้าพยายามพินิจพิเคราะห์ฟัง มันคล้ายกับคนลากอะไรสักอย่างแล้วปล่อยมันลงพื้น ดังมาจากห้องบนที่อยู่ตรงกับห้องนี้พอดี ดูแล้วไม่น่าจะใช่อุบัติเหตุอย่างแน่นอน แต่เหมือนจงใจทำให้มันเกิดเสียงมากกว่า
ครั้นจะขึ้นไปด่ามันก็ใช่ที่ เพราะเค้าเองก็เพิ่งมาอยู่ที่นี่เป็นคืนแรก จึงคิดว่าทนๆมันไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เค้าพยายามนอนหลับโดยการเอาหมอนปิดหู เพื่อให้เสียงเล็ดลอดผ่านโซนประสาทให้เบาที่สุด