อ่าวครามโฮมสเตย์ เป็นโฮมสเตย์บรรยากาศแบบเรียบง่ายในหมู่บ้านชาวประมงริมทะเลอ่าวคราม อ.สวี จ.ชุมพร อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่รายล้อมไปด้วยภูเขา ชาวบ้านในหมู่บ้านประกอบอาชีพประมง มีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมและเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของอ่าวคราม จุดเด่นของที่นี่คือ การยกบามหมึกเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของหมู่บ้านอ่าวคราม
# การเดินทางไปและกลับ กรุงเทพฯ – อ่าวครามโฮมสเตย์
ขาไป : พวกเราออกเดินทางตอนเย็น ด้วยรถไฟด่วนพิเศษขบวนที่ 39 ออกจากสถานีรถไฟหัวลำโพง เวลา 22:50 น. ถึงสถานีรถไฟสวี เวลา 06:30 น. ซึ้งจะเป็นเวลาเช้าพอดีและจากนั้นเราก็รอรถกระบะจากโฮมสเตย์มารับที่สถานีรถไฟสวี โดยใช้เวลาเดินทางจากสถานีรถไฟสวี ถึงอ่าวครามโฮมสเตย์ประมาน  30นาทีเท่านั้น

ขากลับ : พวกเราออกเดินทางตอนสาย ด้วยรถกระบะของโฮมสเตย์มาส่งที่ตัวเมืองชุมพร จากนั้นพวกเรานั่งรถโดยสาร มาที่เทศบาลเมืองชุมพร
เพื่อเหมารถตู้กลับกรุงเทพฯ โดยออกจากเทศบาลเมืองชุมพรเวลาประมาน  14:00น. ถึงกรุงเทพฯเวลาประมาน  21:30 น.

# ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในทริป
   • เหมาจ่าย ค่าที่พัก/อาหาร คนละ 900 บาท
   • เหมาจ่าย ค่ารถกระบะรับส่งของโหมสเตย์ คนละ 100 บาท
   • เหมาจ่าย ค่าออกเรือไปเกาะกุลา คนละ 100 บาท
   • ค่าเหยียบเกาะกุลา คนละ 30 บาท
   • ค่ารถไฟ จากสถานีรถไฟหัวลำโพง -สถานีรถไฟสวี คนละ 550 บาท
   • เหมาจ่าย รถตู้กลับกรุงเทพ คนละ 500 บาท
   รวมค่าใช้จ่ายทั้งทริปตกคนละประมาน  2,180 บาท (ไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัวของแต่ละคน)

# บันทึกการเดินทาง
Day #0 กรุงเทพฯ - สวี
เริ่มต้น… สมาชิกในการเดินทางครั้งนี้มีทั้งหมด 12คน พวกเรานัดเจอกันที่สถานนีรถไฟหัวลำโพง โดยพวกเราได้จองตั๋วรถไฟล่วงหน้าเอาไว้แล้ว
จึงไม่มีปัญหาอะไรและสามารถเดินทางด้วยรถไฟขบวนเดียวกันทั้งหมด แต่กระจายกันไปเป็นกลุ่มละตู้ ขบวนรถไฟที่พวกเรานั่งเป็นขบวนด่วน                  พิเศษเป็นรถแอร์ระหว่างทางมีบริการผ้าห่ม ขนมปังและเครื่องดื่มเบาๆ
Day #1 สวี ชุมพร
06:30น. ฮาโหลลล สวี วี้ วี~  พวกเราถึงสถานีสวีตอนฟ้าสว่างพอดี ตรงข้ามสถานีรถไฟสวีจะเป็นตลาดเล็กๆ ซึ่งน่าจะขายแค่ตอนเช้าๆอาหารมื้อ              แรกของพวกเราที่สวีก็คือการเดินซื้อของกินที่ตลาดนัดเล็กๆนี้ ซึ้งมีของขายมากมายไม่ว่าจะเป็น ปาท่องโก๋ กาแฟ ข้าวต้ม ข้าวเหนียวไก่ หมู
หรือว่าจะเป็นขนมพื้นบ้านก็มี รองท้องกันเบาๆกับมื้อแรกที่สวี พวกเราทานอาหารเช้าท่ามกลางบรรยากาศดีๆ อากาศสดชื่น มีแสงแดดอ่อนๆ

หมอกบางๆได้บรรยากาศสุดๆ ก่อนที่รถกระบะจากโฮมสเตย์จะมารับ
 08:00น. อ่าวครามโฮมสเตย์

ในระหว่างทางไปโฮมสเตย์ ต้องขับรถผ่านภูเขา 5 ลูก ทั้งสองข้างทางเป็นป่า ถนนค่อนข้างแคบแต่พื้นเรียบตลอดทางรถทุกชนิดสามารถเดินทางเข้าไปถึงได้  เมื่อเดินทางมาถึงอ่าวครามโฮมสเตย์ ได้บรรยากาศที่สงบเงียบและเป็นธรรมชาติ ซึ่งที่นี่จะเป็นหมู่บ้านชาวประมง ทำให้บริเวณที่พักมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย บ้านเรือนจะตั้งเรียงรายอยู่ริมทะเลโอบล้อมด้วยภูเขาและต้นไม้ ความรู้สึกแรกคือทุกคนที่นั่นเป็นมิตรมากยิ้มแย้มแจ่มใส

พวกเราได้รับการต้อนรับจาก “พี่ผึ้ง” เป็นลูกของเจ้าของอ่าวครามโฮมสเตย์แห่งนี้ พาไปที่พัก ซึ้งเป็นบ้านไม้ยกสูงอยู่ริมทะเลมีชาวบ้านหรือระเบียงขนาดใหญ่ สามารถนั่งชมวิว รับลมทะเลได้อย่างสบาย โดยที่พักของพวกเราจะอยู่ริมสุดของหมู่บ้าน เป็นส่วนตัวดีมาก ห้องนอนของพวกเรา จะเป็นแบบเรียบง่าย มีห้องนอนขนาดเล็กประมาน3-4ห้อง ภายในห้องมีที่นอน หมอน ผ้าห่ม พัดลมพร้อม หรือถ้ารู้สึกว่าอยากใกล้ชิดกับธรรมชาติก็สามารถลากที่นอนมากางมุ้งนอนรับลมทะเลที่ชานบ้านก็ได้ อากาศปลอดโปร่ง เย็นสบาย
หลังจากพวกเราเก็บข้าวของเสร็จแล้วก็ได้พักตามอัธยาศัย นั่งเล่น เดินเล่นริมทะเล และได้ถือโอกาศไถ่ถามถึงประวัติของที่นี่ ซึ่งพี่ผึ้งเล่าให้ฟังว่า
“ทวดชื่อถั่วแระกับถั่วถั่ว ลงเรือไปหาปลาหากุ้ง และก็มาเจอที่ตรงนี้ ซึ้งลักษณะที่ตั้งดีมาก เพราะว่าในช่วงฤดูที่น้ำทะเลแห้งน้ำก็จะไม่แห้งซึ่งเหมาะแก่การทำการประมงเรือของชาวประมงทุกลำที่จอดที่นี่จะไม่ติดทรายสามารถออกได้ทั้งตอนกลางวันและกลางคืนทวดของผึ้งเลยบุกเบิกสร้างที่นี่เอาไว้ให้”

12:00น. มื้อแรกที่โฮมสเตย์
เมื่อพูดถึงเรื่องของกินแล้วมาที่นี่ไม่ต้องห่วง ได้กินของทะเลสดๆแน่นอน อาหารทะเลทั้งหลายเหล่านี้ได้มาจากการทำประมงภายในชุมชนนั่นเองสดๆจากเรือประมงกันเลยทีเดียว ซึ่งอาหารการกินในทุกมื้อจะมาจากฝีมือของ “ป้าภี” เป็นแม่ของพี่ผึ้ง ซึ่งในแต่ละมื้อก็จะได้กินอาหารหลากหลายเมนูวนเวียนกันไปตามวัตถุดิบที่มีในแต่ละวัน ทำให้ได้กินอาหารที่ไม่ซ้ำกันเลย หรือถ้าอยากลองทำเอง ที่โฮมสเตย์ก็มีครัวและอุปกรณ์เครื่องครัวเตรียมไว้ให้ด้วย
เมนูอาหารมื้อแรกของเรา เป็นแบบเรียบง่าย คือ ปลาทูทอด ไข่เจียวปู กระเพราปลาหมึก และหมึกน้ำดำ บอกได้คำเดียวว่าปลาหมึกเน้นๆสดจากทะเล อาหารอร่อยกับวิวทะเลสวยๆคู่กับลมทะเลเย็นๆ ฟินเฟ้อ ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ

หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วก็ถึงเวลาดื่มด่ำกับธรรมชาติ นั่งๆนอนๆให้อาหารย่อยสักหน่อย ท้องอิ่มๆในบรรยากาศยามบ่ายอย่างนี้ มันชวนให้อยากงีบซะเหลือเกิน ซึ่งที่โฮมสเตย์ก็มีให้เลือกสรรไม่ว่าจะเป็นเปลบนระเบียงริมน้ำหรือจะปูเสื่อหามุมนอนดีๆก็ตามสะดวกระหว่างที่นั่งๆนอนๆริมทะเลก็จะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวประมงในอ่าวครามไม่ว่าจะเป็นการแล่นเรือไปมาระหว่างโฮมสเตย์กับเกาะกุลาหรือเสาที่ปักอยู่กลางทะเลอ่าวครามเป็นกลุ่มๆมันเป็นเครื่องมือของคนอ่าวครามที่ใช้ในการจับสัตว์น้ำอย่างหนึ่ง เรียกว่า การบามหมึกนั่นเอง
15:30น. เหยียบเกาะกุลาเพลินๆ

สถานที่ใกล้เคียงโฮมสเตย์ก็ คือ เกาะกุลา ถ้ามาอ่าวครามแล้วไม่ได้แวะไปเกาะกุลาก็คงเหมือนมาไม่ถึง เพราะเราใช้เวลาในการนั่งเรือไปเพียง 20 นาทีเท่านั้นใกล้มากๆเลยและคนที่ดูแลพวกเราตลอดการไปกลับเกาะกุลาก็คือ “ลุงตู่” ในระหว่างทางไปเกาะกุลานั้นลุงตู่ได้พาพวกเรานั่งเรืออ้อมเกาะบริเวณอ่าวครามเพื่อชมถ้ำรอบๆ
เมื่อพวกเรามาถึงเกากุลาก็ได้รู้ว่าเกาะอยู่ในพื้นที่ความดูแลของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะทะเลชุมพร ก็คือจะมีเจ้าหน้าที่อนุรักษ์คอยดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวบนเกาะ ทำให้รุ้สึกได้ถึงความปลอดภัย

# กิจกรรมในเกาะกุลา
นอกจากการดำน้ำตื้นดูปะการังแล้วก็ยังมีกิจกรรมพายเรือคายัค ซึ้งสามารถพายเรือรอบเกาะได้เลยและที่เกาะกุลายังมีบ่ออนุบาลเต่าทะเลซึ้งจะมีเต่าขึ้นมาวางไข่บนเกาะกุลาบ่อยครั้ง เจ้าหน้าที่จึงจัดทำอนุบาลเต่าขึ้นมาและปล่อยลงสู่ทะเลเพื่อเป็นการอนุรักษ์พันธ์เต่าไว้ให้สืบเนื่องต่อไป

19:00น. มื้อเย็นซีฟู้ดจัดเต็ม!
นั่งมองวิวทะเลยามค่ำคืนสักพักก็ถึงเวลาของอาหารมื้อเย็น มื้อนี้รู้สึกว่าจัดหนักจัดเต็มมากหน้าตาดูน่ากินทุกอย่างเลย โดยเฉพาะปูนึ่ง ตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ เสิร์ฟมาเต็มถาดสดๆจากทะเล เนื้อแน่นๆ แล้วคือน้ำจิ้มซีฟู้ดเด็ดมาก นอกจากนี้ยังมีแกงเหลืองสายบัว  ยำไข่แมงดา หมึกไข่ผัดหวาน ผัดผักใส่กุ้งตัวใหญ่มาก มื้อนี้เหมือนยกกันมาทั้งทะเล สุดจัดมาก คือมื้อนี้เป็นมื้อที่ประทับใจจริงๆมีความสุขกับการกินมากอาหารสดอร่อยทุกอย่างชอบทุกเมนูเลย
21:00น. แล่นเรือไปบามหมึก
ในระหว่างทางไปบามหมึกพวกเราก็ได้คุยกับลุงตู่เกี่ยวกับการบามหมึกลุงตู่แกเล่าว่าการบามหมึกมีแค่ที่เดียวในประเทศไทย คือที่อ่าวคราม ซึ่งปู่และทวดของพี่ผึ้งเป็นคนคิด และดัดแปลงมาจากยกย่อของภาคกลางการบามหมึกมีมาประมาน60ปีได้แล้ว ซึ่งพี่ผึ้งเคยบอกว่า “การบามหมึกเป็นภูมิปัญญาที่มีค่ามากไม่อยากจะให้หายไปจากหมู่บ้านอ่าวครามเลย”  วิธีการบามหมึก คือ เขาจะใช้อวนตาข่ายขึงกับเสาไม้ทั้ง 4 เสาที่ตั้งปักอยู่กลางทะเลขึงตาข่ายให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสจากนั้นก็ใช้แสงไฟจากถังแก๊สที่ห้อยไว้ด้านบนเป็นตัวล่อให้หมึกเข้ามาเล่นไฟ เมื่อได้เวลาก็หมุนรอกให้เชือกดึงตาข่ายอวนขึ้นมาเหนือผิวน้ำแล้วก็ตักหมึกขึ้นมาก็เรียบร้อยการบามมึกแต่ละครั้งก็จะมีปลาชนิดต่างๆหรือสัตว์น้ำอื่นๆติดมาด้วยซึ่งบางชนิดเราไม่ต้องการหรือตัวไหนที่ยังมีขนาดเล็กก็จะถูกคัดออกและปล่อยคืนสู่ทะเล
ในระหว่างทางกลับนั่นเราได้แล่นเรือท่ามกลางความมืดน้ำทะเลสีดำท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวนับร้อยนอกเหนือจากนั้น เรายังได้มีโอกาศเห็นแพลนตอนเรืองแสง ตามคลื่นน้ำที่เรือแล่นผ่านเป็นภาพที่สวยมากเมื่อมองด้วยตาเปล่าแต่ก็ไม่ได้ชัดมากถึงขนาดถ่ายภาพเก็บไว้ได้เสียดายมากเมื่อถึงฝั่งแล้วเราก็จะได้รับส่วนแบ่งจากการบามหมึกติดมือมาด้วยก็ไม่พ้นที่อาจจะลองกินแบบดิบๆจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ด ก็หนึบๆหวานๆหรือจะนำกลับไปย่างไฟอ่อนๆก็แจ่มเหมือนกัน
Day #2 ชุมพร - กรุงเทพ
08:00น. มื้อเช้า ณ อ่าวคราม วันนี้ตื่นเช้ามากับบรรยากาศที่สดใสเป็นบรรยากาศสบายๆชมพระอาทิตย์ขึ้นมีแดดอ่อนๆอยากจะนอนชมวิวนานๆ อาหารเช้าวันนี้ก็เบาๆเป็นข้าวต้มหมึกใส่ปลา อากาศสบายๆยามเช้าแบบนี้นั่งกินข้าวต้มร้อนๆก็ฟินดีเหมือนกันมีทั้งหมึกทั้งปลาเยอะมากๆเกือบจะเยอะกว่าข้าวแล้วนะรู้สึก
09:00น. ลาแล้วนะ อ่าวคราม
หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อย เก็บข้าวของและนั่งพักสักแปปก็ถึงเวลากลับ เวลาแห่งความสุขและสงบได้ผ่านไปเร็วเหลือเกิน ทริปนี้เป็นทริปแห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริงถึงจะมีเวลาแค่ 2 วัน วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็สามารถเที่ยวได้เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวอย่างเรียบง่ายโดยอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติและได้เรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชนไปในตัวเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆแต่ที่จะไม่พูดถึงเลยไม่ได้ก็คือมิตรภาพที่ครอบครัวอ่าวครามมอบให้นักท่องเที่ยวที่ไปทุกคนที่ไปเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันอบอุ่นจริงๆโดยรวมแล้วทริปนี้ก็นับว่าคุ้มค่าที่จะมาจริงๆ