ฉันรู้สึกว่า ในชีวิตคนเรา มันจะมีคนอยู่สองประเภทที่ต้องพบเจออยู่เสมอ
ประเภทแรก คือคนที่ก็ไม่เข้าใจว่า จะต้องมารู้จักกันไปทำไม อาจเรียกให้เข้าใจง่ายๆก็ได้ว่านี่คือบุคคลจำพวก “โทษฐานที่รู้จักกัน”
ประเภทที่สอง คือคนที่ทำให้ได้รู้สึกว่า ฉันมีบุญเหลือเกินที่ชาตินี้มีโอกาสได้มาเจอะเจอ แน่นอนว่านี่คือบุคคลจำพวก “ยินดีที่รู้จักกัน”
เคยไหม ที่คนบางคนผ่านเข้ามาในชีวิต แล้วทำให้คุณอยากพูดใส่หน้าเหลือเกินว่า โชคร้ายชะมัด ที่ต้องมารู้จักคนแบบนี้ เพราะนอกจากจะไม่สร้างประโยชน์อันใดให้กับชีวิตของคุณแล้ว ยังมาดูดเอาพลังงานบวกออกไป แล้วยัดพลังงานลบเข้ามาอีก คนเหล่านี้มีทั้งประเภทที่เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย อะไรๆก็มองให้เห็นส่วนแย่ได้ซะหมด ไปกินข้าวกลางวันอร่อยๆก็บ่นว่าแพง แต่พอเปลี่ยนไปหาอะไรถูกๆก็บอกว่าสกปรก ฝนตกก็บ่นว่าเฉอะแฉะ อากาศดีก็บ่นว่าทำให้ขี้เกียจ มีงานดีๆที่ได้โชว์ทักษะความสามารถมาให้ทำ ก็บ่นว่างานเยอะ แต่พอไม่มีงานก็บ่นว่าเบื่อ รวมถึงคนประเภทเกรี้ยวกราด ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ และพยายามมองหาช่องทางทำร้ายคนที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับตัวเอง ลองคิดดูว่าถ้าคุณใช้เวลาอยู่กับคนประเภทนี้บ่อยๆ คุณจะเผลอดูดเอาพลังด้านลบมาใส่ที่ตัวของคุณเองได้อย่างรวดเร็วขนาดไหน
ฉันเชื่อมั่นเสมอว่า ข้อคิดดีๆ คำสอนดีๆ ไม่จำเป็นต้องมาจากคนที่อายุมากกว่า เพราะว่าบางที เด็กตัวน้อยๆ อาจจะเป็นคนให้ข้อคิดกับผู้ใหญ่ก็ได้ และที่สำคัญ ผู้ใหญ่ ที่ทำตัวไม่เหมือนกับเป็นผู้ใหญ่ ก็มีให้เห็นอยู่มากมายในสังคม
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้อดีของการได้รู้จักบุคคลจำพวก “โทษฐานที่รู้จักกัน” ก็คือประสบการณ์ชีวิต ความเป็นคน “แบบนั้น” ที่ฉันไม่ชอบ จะคอยเตือนสติไม่ให้ฉันเผลอตัวไปเอาเยี่ยงอย่างได้
ส่วนบุคคลจำพวก “ยินดีที่รู้จักกัน” ฉันถือว่าบุคคลเหล่านี้คือกำไรชีวิต ที่ได้มีโอกาสรู้จักกัน ทำงานด้วยกัน ฉันรู้สึกขอบคุณเสมอที่พวกเขาเหล่านั้นเข้ามาในชีวิต บุคคลประเภทนี้มักมีลักษณะสำคัญคือเป็นคนคิดบวก รู้จักเลือกมองในแง่มุมที่ดีของชีวิต ทั้งของตนและคนรอบข้าง และมักนำพาคนรอบข้างให้คิดบวกไปด้วย นอกจากนี้ยังเป็นคนเก่งที่ให้เกียรติผู้อื่น ไม่ยกเอาความเก่งของตนมาข่มคนรอบข้างให้บรรยากาศการทำงานเสีย ฉันเชื่อเสมอว่า คนเก่งขนาดไหน แต่ถ้านิสัยไม่ดี ก็ถือว่าเป็นคนจำพวก “โทษฐานที่รู้จักกัน” ของฉันอยู่ดี
ไม่แน่นะ วันนึงคนเราอาจมีประโยคทักทายประโยคใหม่ที่ว่า “เสียใจที่รู้จักกันนะ” และอาจจะถูกใช้บ่อยกว่า “ยินดีได้รู้จักกันนะ” ก็เป็นได้ ก็ได้แต่หวังว่า ประโยคหลังจะยังคงเป็นประโยคที่ถูกใช้บ่อยกว่าเสมอ..
ยินดีที่ได้รู้จัก หรือ.. โทษฐานที่ได้รู้จัก โดย คุณหัสสยา อิสริยะเสรีกุล
ประเภทแรก คือคนที่ก็ไม่เข้าใจว่า จะต้องมารู้จักกันไปทำไม อาจเรียกให้เข้าใจง่ายๆก็ได้ว่านี่คือบุคคลจำพวก “โทษฐานที่รู้จักกัน”
ประเภทที่สอง คือคนที่ทำให้ได้รู้สึกว่า ฉันมีบุญเหลือเกินที่ชาตินี้มีโอกาสได้มาเจอะเจอ แน่นอนว่านี่คือบุคคลจำพวก “ยินดีที่รู้จักกัน”
เคยไหม ที่คนบางคนผ่านเข้ามาในชีวิต แล้วทำให้คุณอยากพูดใส่หน้าเหลือเกินว่า โชคร้ายชะมัด ที่ต้องมารู้จักคนแบบนี้ เพราะนอกจากจะไม่สร้างประโยชน์อันใดให้กับชีวิตของคุณแล้ว ยังมาดูดเอาพลังงานบวกออกไป แล้วยัดพลังงานลบเข้ามาอีก คนเหล่านี้มีทั้งประเภทที่เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย อะไรๆก็มองให้เห็นส่วนแย่ได้ซะหมด ไปกินข้าวกลางวันอร่อยๆก็บ่นว่าแพง แต่พอเปลี่ยนไปหาอะไรถูกๆก็บอกว่าสกปรก ฝนตกก็บ่นว่าเฉอะแฉะ อากาศดีก็บ่นว่าทำให้ขี้เกียจ มีงานดีๆที่ได้โชว์ทักษะความสามารถมาให้ทำ ก็บ่นว่างานเยอะ แต่พอไม่มีงานก็บ่นว่าเบื่อ รวมถึงคนประเภทเกรี้ยวกราด ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ และพยายามมองหาช่องทางทำร้ายคนที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับตัวเอง ลองคิดดูว่าถ้าคุณใช้เวลาอยู่กับคนประเภทนี้บ่อยๆ คุณจะเผลอดูดเอาพลังด้านลบมาใส่ที่ตัวของคุณเองได้อย่างรวดเร็วขนาดไหน
ฉันเชื่อมั่นเสมอว่า ข้อคิดดีๆ คำสอนดีๆ ไม่จำเป็นต้องมาจากคนที่อายุมากกว่า เพราะว่าบางที เด็กตัวน้อยๆ อาจจะเป็นคนให้ข้อคิดกับผู้ใหญ่ก็ได้ และที่สำคัญ ผู้ใหญ่ ที่ทำตัวไม่เหมือนกับเป็นผู้ใหญ่ ก็มีให้เห็นอยู่มากมายในสังคม
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้อดีของการได้รู้จักบุคคลจำพวก “โทษฐานที่รู้จักกัน” ก็คือประสบการณ์ชีวิต ความเป็นคน “แบบนั้น” ที่ฉันไม่ชอบ จะคอยเตือนสติไม่ให้ฉันเผลอตัวไปเอาเยี่ยงอย่างได้
ส่วนบุคคลจำพวก “ยินดีที่รู้จักกัน” ฉันถือว่าบุคคลเหล่านี้คือกำไรชีวิต ที่ได้มีโอกาสรู้จักกัน ทำงานด้วยกัน ฉันรู้สึกขอบคุณเสมอที่พวกเขาเหล่านั้นเข้ามาในชีวิต บุคคลประเภทนี้มักมีลักษณะสำคัญคือเป็นคนคิดบวก รู้จักเลือกมองในแง่มุมที่ดีของชีวิต ทั้งของตนและคนรอบข้าง และมักนำพาคนรอบข้างให้คิดบวกไปด้วย นอกจากนี้ยังเป็นคนเก่งที่ให้เกียรติผู้อื่น ไม่ยกเอาความเก่งของตนมาข่มคนรอบข้างให้บรรยากาศการทำงานเสีย ฉันเชื่อเสมอว่า คนเก่งขนาดไหน แต่ถ้านิสัยไม่ดี ก็ถือว่าเป็นคนจำพวก “โทษฐานที่รู้จักกัน” ของฉันอยู่ดี
ไม่แน่นะ วันนึงคนเราอาจมีประโยคทักทายประโยคใหม่ที่ว่า “เสียใจที่รู้จักกันนะ” และอาจจะถูกใช้บ่อยกว่า “ยินดีได้รู้จักกันนะ” ก็เป็นได้ ก็ได้แต่หวังว่า ประโยคหลังจะยังคงเป็นประโยคที่ถูกใช้บ่อยกว่าเสมอ..