สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 40
ผมได้อ่านทุกคอมเมนท์
ได้สติ และแนวทางดี ๆ มากมาย
ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่ให้คำแนะนำ
ในหลาย ๆ มุมมองนะครับ
ตอนนี้ได้พูดคุยกับภรรยาแล้ว
เธอยืนยันว่า เธอเข้าใจผม
และมองเห็นปัญหาที่ผมต้องการจะอธิบาย
เมื่อผมเองคิดและรู้สึกแบบนี้ เธอเองก็เห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้เช่นกัน
สรุปแล้วจะไม่มีใครมาอยู่เป็นการถาวรครับ
คงมาเป็นครั้งคราว เต็มที่ก็ 5 วัน 10 วันตามโอกาส
และผมก็ยินดีต้อนรับเสมอครับ
ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับ
ได้สติ และแนวทางดี ๆ มากมาย
ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่ให้คำแนะนำ
ในหลาย ๆ มุมมองนะครับ
ตอนนี้ได้พูดคุยกับภรรยาแล้ว
เธอยืนยันว่า เธอเข้าใจผม
และมองเห็นปัญหาที่ผมต้องการจะอธิบาย
เมื่อผมเองคิดและรู้สึกแบบนี้ เธอเองก็เห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้เช่นกัน
สรุปแล้วจะไม่มีใครมาอยู่เป็นการถาวรครับ
คงมาเป็นครั้งคราว เต็มที่ก็ 5 วัน 10 วันตามโอกาส
และผมก็ยินดีต้อนรับเสมอครับ
ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับ
ความคิดเห็นที่ 41
5 วัน 10 วัน จะยาวไปจน 30 วัน และยืดเยื้อออกไปจนคุณไม่อาจจะปฏิเสธได้
ไม่ได้ยุแหย่นะ แต่เราเคยเห็นมาแล้ว เราสนิทกับฝ่ายหญิงด้วย เค้าวางแผนจะเอาแม่เข้าอยู่ในบ้านโดยวิธีนี้และทำสำเร็จมาแล้ว
ทุกวันนี้ บ้านหลังนั้นประกอบไปด้วย
ผัว เมีย ลูก2คน
แม่ยาย(พักถาวร)
น้องชายเมีย ที่อ้างว่ามาเรียนต่อ ขออาศัยเรียนจนจบ ก็อยู่ต่อทำงาน
พี่สาวเมีย ส่งหลานสาวอีกคนเข้ามาอยู่ อ้างว่า มาเรียนต่อ ขออาศัย
ลูกหญิง-ชายของเจ้าบ้าน ไม่มีห้องตัวเอง เพราะต้องยกห้องให้ 1ห้องให้ แม่ยาย+หลานสาว อีก 1 ห้อง ให้ น้องชายเมีย
ไม่ได้ยุแหย่นะ แต่เราเคยเห็นมาแล้ว เราสนิทกับฝ่ายหญิงด้วย เค้าวางแผนจะเอาแม่เข้าอยู่ในบ้านโดยวิธีนี้และทำสำเร็จมาแล้ว
ทุกวันนี้ บ้านหลังนั้นประกอบไปด้วย
ผัว เมีย ลูก2คน
แม่ยาย(พักถาวร)
น้องชายเมีย ที่อ้างว่ามาเรียนต่อ ขออาศัยเรียนจนจบ ก็อยู่ต่อทำงาน
พี่สาวเมีย ส่งหลานสาวอีกคนเข้ามาอยู่ อ้างว่า มาเรียนต่อ ขออาศัย
ลูกหญิง-ชายของเจ้าบ้าน ไม่มีห้องตัวเอง เพราะต้องยกห้องให้ 1ห้องให้ แม่ยาย+หลานสาว อีก 1 ห้อง ให้ น้องชายเมีย
ความคิดเห็นที่ 15
ข้าพเจ้าเป็น แม่ยาย นะ
(ลูกเขย ปลูกบ้าน มีห้องให้ พ่อแม่ตัว และ แม่ยาย พร้อม)
ยังไม่เคยคิดจะไปวุ่นวายบ้านลูกเลย
รอให้แก่จนไปไม่รอดก่อน ถึงจะไปอยู่บ้านเขา
ตอนนี้เป็น เจ้าที่ บ้านตัวเองไปก่อน
สมัยเป็นสาว ก็ไม่ยินดีให้ญาติฝ่ายไหนมาสิงในบ้านเหมือนกัน
ทำงานมาเหนื่อยๆ กลับบ้านต้องมารับใช้ใครต่อใครอีก ไม่เอาด้วยหรอก
เลยเข้าใจ จขกท ที่ขนาดจะทิ้งเงินดาว์นบ้าน
คุยกับภรรยาดีๆ ละกัน นี่ถึงกับจะเอาทั้งแม่ทั้งน้องมาอยู่ด้วย
ถามภรรยาว่า ถ้าแม่ผม พี่น้องผม เห็นดีเห็นงาม ตามมาอีกบ้าน จะไหวไหม ?
(ลูกเขย ปลูกบ้าน มีห้องให้ พ่อแม่ตัว และ แม่ยาย พร้อม)
ยังไม่เคยคิดจะไปวุ่นวายบ้านลูกเลย
รอให้แก่จนไปไม่รอดก่อน ถึงจะไปอยู่บ้านเขา
ตอนนี้เป็น เจ้าที่ บ้านตัวเองไปก่อน
สมัยเป็นสาว ก็ไม่ยินดีให้ญาติฝ่ายไหนมาสิงในบ้านเหมือนกัน
ทำงานมาเหนื่อยๆ กลับบ้านต้องมารับใช้ใครต่อใครอีก ไม่เอาด้วยหรอก
เลยเข้าใจ จขกท ที่ขนาดจะทิ้งเงินดาว์นบ้าน
คุยกับภรรยาดีๆ ละกัน นี่ถึงกับจะเอาทั้งแม่ทั้งน้องมาอยู่ด้วย
ถามภรรยาว่า ถ้าแม่ผม พี่น้องผม เห็นดีเห็นงาม ตามมาอีกบ้าน จะไหวไหม ?
ความคิดเห็นที่ 62
นี่เห็นด้วยว่า ภรรยากับแม่ภรรยาคุณ รับปากไปว่าจะไม่มาอยู่ถาวรให้คุณสบายใจไปแค่ตอนนี้ แต่พอเวลาผ่านไป จะตีเนียน มาอยู่แล้วไม่ยอมกลับซะมากกว่า
อยากแนะนำว่า ถ้าคุณสนิทกับคุณแม่หรือคุณมีญาติสนิท ที่ไม่ได้ทำงานและไว้ใจได้ ให้เล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง แล้วขอร้องท่าน ให้แวะมาเยี่ยม มาค้างที่บ้านคุณ ครั้งละ 5-10 วัน บ่อยๆ ให้ภรรยาและแม่ภรรยาคุณ รู้สึกว่า บ้านหลังนี้ไม่ได้เป็นของพวกเค้าฝ่ายเดียว บ้านหลังนี้ก็เป็นของญาติผู้ใหญ่ฝ่ายคุณด้วยเช่นกัน
บอกคุณแม่คุณ หรือญาติผู้ใหญ่ที่คุณสนิทไว้ด้วยว่า ถ้าท่านไม่อึดอัดเกินไป ในบางครั้งอาจจะขอให้ท่านมาค้างที่บ้านคุณ มาเยี่ยมหลาน ชนให้กับแม่ภรรยาคุณ ในคราวที่แม่ภรรยาคุณมาอยู่นานแล้วไม่ยอมกลับ
ถ้าคุณบอกว่าจะมีญาติคุณมาอยู่ด้วย แล้วแม่ภรรยาคุณออกจากบ้านคุณไป ก่อนญาติคุณมา ถือว่าบ้านยังเป็นของคุณ ยังพอรับมือได้
แต่ถ้าแม่ภรรยาคุณ ไม่ยอมออก ยังทู่ซี้อยู่ชนกับช่วงเวลาที่ญาติคุณจะมาเยี่ยมบ้านคุณ อันนี้ก็จะได้รู้กันไปเลยว่า ว่าครอบครัวภรรยาคุณเตรียมยึดบ้านหลังนี้จริงๆ ก็ค่อยคิดอีกทีว่าจะยังไงต่อไป
ในเบื้องต้นนี้ ถ้าแม่ภรรยาคุณยังมี หยอดผ่านหลาน ว่าอยากให้ยายไปอยู่ด้วยมั้ย คุณก็ลองลองเปรยๆ ผ่านๆ ว่า คุณย่าก็อยากมาอยู่กับหนูเหมือนกัน หนูอยากให้คุณย่ามาอยู่ด้วยมั้ยครับ คิดถึงคุณย่ามั้ยครับ คือแบบไม่ได้ปฎิเสธไม่ให้แม่ภรรยาคุณมาอยู่ มาเยี่ยม แต่ก็ให้เค้ารู้ด้วยว่า จะคิดจะทำอะไร แม่สามีก็มีตัวตนเหมือนกัน ประมาณนี้อ่ะค่ะ
หรือเบื้องต้น คุณสามารถเปรยๆ กับภรรยาว่า ถ้าบ้านเสร็จ คุณแม่คุณ ท่านก็อยากมาค้าง ไปๆ มาๆ มาเยี่ยมหลานด้วยเหมือนกัน (ส่วนจะมาจริงรึเปล่านั้น ก็ค่อยว่ากัน) แล้วดูว่าภรรยาคุณตอบสนองว่าไง ถ้าเธอดีใจ อย่างที่คุณคิด ก็ดีไป ถือว่าคุณโชคดี แต่เราไม่อยากเชื่อว่าเธอจะดีใจออกมาจากใจจริงๆ ได้ เพราะไม่มีลูกสะใภ้ที่ไหน อยากอยู่บ้านเดียวกับแม่สามีหรอกค่ะ เอาจริงๆ
ถ้าเธอมีนิ่งๆ อาจเป็นได้ว่าเธออึดอัด ก็ถือว่าดี จะได้รู้ถึงความรู้สึกของคุณบ้าง หรือ ถ้าเธอสงสัยว่าจะมาจริงเหรอ ก็บอกไปว่า ท่านก็มีเปรยๆ มา บ้านใหม่คุณ ท่านก็อยากมาเจิม ลูกท่าน หลานก็อยู่นี่ ถ้าอยู่สบาย ก็อยากมาเยี่ยม ไปๆ มาๆ บ้าง บ่อยๆ แต่ไม่มาอยู่ถาวรหรอก อะไรก็ว่าไป
ก็ประมาณกั๊กพื้นที่บ้านในอนาคตไว้ให้ญาติคุณนั่นแหละ ส่วนญาติคุณจะมาจริง หรือไม่มา อันนั้นอีกนาน ค่อยแก้ปัญหาไปเป็นเปลาะๆ ค่ะ
หวังว่าภรรยาคุณจะคิดได้นะคะ
อยากแนะนำว่า ถ้าคุณสนิทกับคุณแม่หรือคุณมีญาติสนิท ที่ไม่ได้ทำงานและไว้ใจได้ ให้เล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง แล้วขอร้องท่าน ให้แวะมาเยี่ยม มาค้างที่บ้านคุณ ครั้งละ 5-10 วัน บ่อยๆ ให้ภรรยาและแม่ภรรยาคุณ รู้สึกว่า บ้านหลังนี้ไม่ได้เป็นของพวกเค้าฝ่ายเดียว บ้านหลังนี้ก็เป็นของญาติผู้ใหญ่ฝ่ายคุณด้วยเช่นกัน
บอกคุณแม่คุณ หรือญาติผู้ใหญ่ที่คุณสนิทไว้ด้วยว่า ถ้าท่านไม่อึดอัดเกินไป ในบางครั้งอาจจะขอให้ท่านมาค้างที่บ้านคุณ มาเยี่ยมหลาน ชนให้กับแม่ภรรยาคุณ ในคราวที่แม่ภรรยาคุณมาอยู่นานแล้วไม่ยอมกลับ
ถ้าคุณบอกว่าจะมีญาติคุณมาอยู่ด้วย แล้วแม่ภรรยาคุณออกจากบ้านคุณไป ก่อนญาติคุณมา ถือว่าบ้านยังเป็นของคุณ ยังพอรับมือได้
แต่ถ้าแม่ภรรยาคุณ ไม่ยอมออก ยังทู่ซี้อยู่ชนกับช่วงเวลาที่ญาติคุณจะมาเยี่ยมบ้านคุณ อันนี้ก็จะได้รู้กันไปเลยว่า ว่าครอบครัวภรรยาคุณเตรียมยึดบ้านหลังนี้จริงๆ ก็ค่อยคิดอีกทีว่าจะยังไงต่อไป
ในเบื้องต้นนี้ ถ้าแม่ภรรยาคุณยังมี หยอดผ่านหลาน ว่าอยากให้ยายไปอยู่ด้วยมั้ย คุณก็ลองลองเปรยๆ ผ่านๆ ว่า คุณย่าก็อยากมาอยู่กับหนูเหมือนกัน หนูอยากให้คุณย่ามาอยู่ด้วยมั้ยครับ คิดถึงคุณย่ามั้ยครับ คือแบบไม่ได้ปฎิเสธไม่ให้แม่ภรรยาคุณมาอยู่ มาเยี่ยม แต่ก็ให้เค้ารู้ด้วยว่า จะคิดจะทำอะไร แม่สามีก็มีตัวตนเหมือนกัน ประมาณนี้อ่ะค่ะ
หรือเบื้องต้น คุณสามารถเปรยๆ กับภรรยาว่า ถ้าบ้านเสร็จ คุณแม่คุณ ท่านก็อยากมาค้าง ไปๆ มาๆ มาเยี่ยมหลานด้วยเหมือนกัน (ส่วนจะมาจริงรึเปล่านั้น ก็ค่อยว่ากัน) แล้วดูว่าภรรยาคุณตอบสนองว่าไง ถ้าเธอดีใจ อย่างที่คุณคิด ก็ดีไป ถือว่าคุณโชคดี แต่เราไม่อยากเชื่อว่าเธอจะดีใจออกมาจากใจจริงๆ ได้ เพราะไม่มีลูกสะใภ้ที่ไหน อยากอยู่บ้านเดียวกับแม่สามีหรอกค่ะ เอาจริงๆ
ถ้าเธอมีนิ่งๆ อาจเป็นได้ว่าเธออึดอัด ก็ถือว่าดี จะได้รู้ถึงความรู้สึกของคุณบ้าง หรือ ถ้าเธอสงสัยว่าจะมาจริงเหรอ ก็บอกไปว่า ท่านก็มีเปรยๆ มา บ้านใหม่คุณ ท่านก็อยากมาเจิม ลูกท่าน หลานก็อยู่นี่ ถ้าอยู่สบาย ก็อยากมาเยี่ยม ไปๆ มาๆ บ้าง บ่อยๆ แต่ไม่มาอยู่ถาวรหรอก อะไรก็ว่าไป
ก็ประมาณกั๊กพื้นที่บ้านในอนาคตไว้ให้ญาติคุณนั่นแหละ ส่วนญาติคุณจะมาจริง หรือไม่มา อันนั้นอีกนาน ค่อยแก้ปัญหาไปเป็นเปลาะๆ ค่ะ
หวังว่าภรรยาคุณจะคิดได้นะคะ
แสดงความคิดเห็น
แต่งงาน มีลูกแล้ว กำลังจะซื้อบ้าน สุดท้ายครอบครัวภรรยาบอกว่าจะขอมาอยู่ด้วย!!
ตอนนี้แต่งงานแล้ว มีลูกเล็กด้วยกัน 1 คน
ผมกับภรรยาทำงานคนละจังหวัด แต่ไม่ไกลกันมากครับ
จันทร์-ศุกร์ ผมเป็นคนเลี้ยงลูกเอง (ขอภรรยามา อยากเลี้ยงเอง)
อยู่กัน 2 คนพ่อลูกที่ ตจว เช้าไปส่ง เย็นไปรับเนอสเซอรี่
เสาร์อาทิตย์ก็จะกลับมาเจอก้นที่กรุงเทพ เป็นอย่างนี้มาเรื่อย ๆ
จนกระทั่งวางแผนที่จะซื้อบ้านในละแวกใกล้ที่ทำงานผม
และให้ภรรยาย้ายมาหางานทำในพื้นที่ใกล้บ้านหลังใหม่นี้
ตอนนี้บ้านใหม่ใกล้จะเสร็จแล้ว อีกไม่กี่เดือนก็น่าจะได้ย้ายเข้า
ผมรู้สึกดีใจมากกก..ที่จะได้มีชีวิตอยู่กันเป็นครอบครัวพร้อมหน้าพ่อแม่ลูกเสียที
แต่มันดันมีประเด็นนิดนึงตรงที่ ช่วงหลังนี้ภรรยาพูดเปรย ๆ อยู่บ่อย ๆ ว่า
เดี๋ยวแม่ของเค้าก็จะได้ย้ายมาช่วยเลี้ยงหลานแล้วนะ
พูดบ่อยจนผมรู้สึกได้ว่าผมคิดมาก และเริ่มจะเครียด
ผมได้หาโอกาสเปิดใจไปกับภรรยาว่า ผมไม่ค่อยสะดวกใจนะถ้าที่บ้านจะมาอยู่ด้วยถาวรเลย
แต่ถ้าไป ๆ มา ๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะ
คือผมรักและเคารพแม่ภรรยานะครับ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน
แต่คิดว่าปัญหาหลัก ๆ ที่จะเกิด น่าจะเป็นเรื่องแนวทางการเลี้ยงลูก
ซึ่งที่ผมตั้งใจขอเอาลูกมาเลี้ยงเองตั้งแต่แรก
เพราะผมเป็นคนชอบอ่านบทความ การสอนลูก สร้างวินัยเชิงบวก ฯลฯ อะไรแนว ๆ นี้
แต่แม่เค้าจะใช้วิธีแบบคนสมัยก่อน ไม่ได้จะบอกว่าไม่ดีนะครับ
แต่ก็มีหลายอย่างที่มันไม่เหมาะกับวิทยาการวันนี้แล้ว
ซึ่งภรรยาเค้าก็บอกว่าถ้าแม่เค้ามาก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก แม่เค้าไม่มายุ่งอะไรอยู่แล้ว
ผมจะเลี้ยงจะสอนยังไงก็ตามนั้นแหละ
ส่วนปัญหารอง ๆ ผมคิดว่าคำว่าครอบครัวคงจะต่างออกไป
ในภาพที่บ้านมีแต่พ่อแม่ลูก กับภาพที่บ้านมีครอบครัวภรรยาเข้ามาด้วย (ล่าสุดแฟนพูดเล่น ๆ ประมาณว่าอยากพาน้องชายมาด้วยอีกคน)
รู้สึกเหมือนว่าเรากำลังมองเห็นปัญหาบนทางที่จะเลือกเดิน
แล้วยังจะเดินต่อไปทางนั้นจริงหรอ?
หรือว่าผมใจแคบเกินไป คิดมากเกินไป ก็แนะนำกันหน่อยนะครับ
มองปัญหาตัวเองตอนนี้ ยังไม่เห็นทางออกจริง ๆ
ที่ใจคิดมากเพราะเป็นห่วงแต่ลูกอย่างเดียวครับ คิดว่าลูกจะได้รับผลกระทบที่ต่างออกไปแน่นอน
ความตั้งใจในตอนนี้คือจะหาโอกาสคุยกับเค้าอีกครั้ง บอกว่าเราอึดอัด และอธิบายเหตุผลให้เค้าฟังอีกสักรอบ
แต่ในใจก็คิดว่าถ้าผลสุดท้ายแล้ว ที่บ้านเค้าต้องย้ายมาอยู่ด้วย ผมก็ยังไม่สะดวกใจครับ