หลังจากที่พยายามตีความ หาวิธีที่เหมาะสมที่สุด สำหรับการคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อ โดยพยายามคิดให้ออกนอกกรอบของกฎหมาย แต่พยายามคำนึงถึงความเป็นธรรมกับทุกคะแนนเสียงมากที่สุด
สุดท้ายก็กลับไปที่จุดเริ่มต้น คือคิดว่า ยังไงก็คงต้องมีหลักยึดบ้าง เอาตามความเหมาะสม มันยิ่งจะไม่จบ เพราะตัวเลขมันดิ้นไปมาได้ตลอด
ดังนั้น ก็เลยกลับไปทบทวนสามวิธี ที่คิดว่า น่าจะตีความกันได้ประมาณนี้เท่านั้น
วิธีที่ 1 คือวิธีที่ได้ 152 แล้วก็ปรับค่าลงให้เป็น 150 วิธีนี้ คือการจัดสรรตามจำนวนเต็ม ที่เกิดจากการหารด้วย 71,065 คะแนน ตัดพรรคเพื่อไทยทิ้งไป ซึ่งจะได้ 152 คน โดยไม่นำเศษมาคิด ดังนั้น คนที่โดนตัดเศษทิ้งไป ก็จะหายไปเลย มีสิทธิเท่าเทียมกัน คือจัดสรรรอบแรกได้ 2 คน จะเกิดจาก 2.9 หรือ 2.1 ก็ได้ 2 คนเหมือนกัน จะได้รับการปรับเป็น 3 ก็ต้องได้เหมือนกัน นอกจากว่า จะมีกรณีที่เหลือที่เดียวให้ 2 พรรคแย่งกัน ตอนนั้นค่อยมีประโยชน์อีกครั้ง
วิธีที่ 2 คือ วิธี 160.6345 อันนี้เกิดจากการเอาจำนวน สส.ที่พึงมี ของพรรคที่ได้รับการจัดสรรเป็นจำนวนเต็มในรอบแรก มารวมกัน แล้วปรับค่าให้เหลือ 150 อันนี้คิดทั้งเศษไปด้วย วิธีนี้ 2.9 กับ 2.1 จะต่างกัน อาจจะได้ สส.ไม่เท่ากันได้
วิธีที่ 3 คือวิธีกกต. 175.5443 อันนี้เกิดจากเอา สส.ที่พึงมีของทุกพรรคมารวมกัน แล้วทำการปรับค่าให้เหลือ 150 วิธีนี้ ทำให้เกิดพรรคเล็กที่มี สส. 1 คน เกิน 10 พรรคขึ้นมา
โดยเมื่อทำการคำนวณทั้ง 3 อย่าง ผมมองว่า น่าจะลองมองจากค่าเฉลี่ยของแต่ละวิธี โดยมองไปที่ค่าเฉลี่ยต่ำสุดของแต่ละวิธี โดยวิธีที่ 1/2/3 ได้ค่ำเฉลี่ย 71,093 / 68,298 / 33,748 คน ตามลำดับ
ก็เลยคิดว่า หมายความว่า เพื่อความเท่าเทียมกัน ก็หมายความว่า พรรคที่ได้ สส.รวม 100 คน ในวิธีที่ 1 จะมีการใช้คะแนนที่เลือกไป 7,109,300 คะแนน แต่ถ้าเป็นวิธีที่ 3 จะใช้คะแนนที่เลือกไป 3,374,800 คะแนน
เมื่อทำการคำนวณไปทุกพรรค ตามจำนวน สส.ที่ได้รับ (ยกเว้นเพื่อไทย) ก็จะได้ คะแนนที่ใช้ไปในการเป็น สส. ของแต่ละพรรค ส่วนที่เหลือ ไม่ได้ใช้ในการเป็นสส. ก็ถือว่า เป็น คะแนนทิ้งน้ำไป
ซึ่งจากการคำนวณแล้ว พบว่า วิธีที่ 1/2/3 มีคะแนนทิ้งน้ำไป 1,804,994 / 2,819,661 / 15,361,493 คะแนน
ดังนั้น ถ้ายึดกับคำว่า คะแนนทุกคะแนนมีค่า การจัดสรรแบบที่ กกต.จะใช้นั้น เป็นการโยนคะแนนทิ้งน้ำไปถึง 43% น่าจะเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เมื่อเทียบกับการทำแบบง่าย ๆ แบบที่ควรทำ ตามวิธีที่ 1 ซึ่งอาจจะมีพรรคที่เสียประโยชน์ เช่น พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย ที่ได้คะแนน 136,597 คะแนน แต่ถ้าคำนวณตามวิธีแรก จะได้สส.เพียง 1 คน แต่ถ้าคำนวณตาม 2 วิธีหลัง จะได้ 2 คน
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อเอาเรื่องคะแนนทิ้งน้ำมาเป็นตัวตั้งแล้ว วิธีที่ 1 น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว
คะแนนทิ้งน้ำ น่าจะเป็นอีกจุดที่ควรพิจารณา
สุดท้ายก็กลับไปที่จุดเริ่มต้น คือคิดว่า ยังไงก็คงต้องมีหลักยึดบ้าง เอาตามความเหมาะสม มันยิ่งจะไม่จบ เพราะตัวเลขมันดิ้นไปมาได้ตลอด
ดังนั้น ก็เลยกลับไปทบทวนสามวิธี ที่คิดว่า น่าจะตีความกันได้ประมาณนี้เท่านั้น
วิธีที่ 1 คือวิธีที่ได้ 152 แล้วก็ปรับค่าลงให้เป็น 150 วิธีนี้ คือการจัดสรรตามจำนวนเต็ม ที่เกิดจากการหารด้วย 71,065 คะแนน ตัดพรรคเพื่อไทยทิ้งไป ซึ่งจะได้ 152 คน โดยไม่นำเศษมาคิด ดังนั้น คนที่โดนตัดเศษทิ้งไป ก็จะหายไปเลย มีสิทธิเท่าเทียมกัน คือจัดสรรรอบแรกได้ 2 คน จะเกิดจาก 2.9 หรือ 2.1 ก็ได้ 2 คนเหมือนกัน จะได้รับการปรับเป็น 3 ก็ต้องได้เหมือนกัน นอกจากว่า จะมีกรณีที่เหลือที่เดียวให้ 2 พรรคแย่งกัน ตอนนั้นค่อยมีประโยชน์อีกครั้ง
วิธีที่ 2 คือ วิธี 160.6345 อันนี้เกิดจากการเอาจำนวน สส.ที่พึงมี ของพรรคที่ได้รับการจัดสรรเป็นจำนวนเต็มในรอบแรก มารวมกัน แล้วปรับค่าให้เหลือ 150 อันนี้คิดทั้งเศษไปด้วย วิธีนี้ 2.9 กับ 2.1 จะต่างกัน อาจจะได้ สส.ไม่เท่ากันได้
วิธีที่ 3 คือวิธีกกต. 175.5443 อันนี้เกิดจากเอา สส.ที่พึงมีของทุกพรรคมารวมกัน แล้วทำการปรับค่าให้เหลือ 150 วิธีนี้ ทำให้เกิดพรรคเล็กที่มี สส. 1 คน เกิน 10 พรรคขึ้นมา
โดยเมื่อทำการคำนวณทั้ง 3 อย่าง ผมมองว่า น่าจะลองมองจากค่าเฉลี่ยของแต่ละวิธี โดยมองไปที่ค่าเฉลี่ยต่ำสุดของแต่ละวิธี โดยวิธีที่ 1/2/3 ได้ค่ำเฉลี่ย 71,093 / 68,298 / 33,748 คน ตามลำดับ
ก็เลยคิดว่า หมายความว่า เพื่อความเท่าเทียมกัน ก็หมายความว่า พรรคที่ได้ สส.รวม 100 คน ในวิธีที่ 1 จะมีการใช้คะแนนที่เลือกไป 7,109,300 คะแนน แต่ถ้าเป็นวิธีที่ 3 จะใช้คะแนนที่เลือกไป 3,374,800 คะแนน
เมื่อทำการคำนวณไปทุกพรรค ตามจำนวน สส.ที่ได้รับ (ยกเว้นเพื่อไทย) ก็จะได้ คะแนนที่ใช้ไปในการเป็น สส. ของแต่ละพรรค ส่วนที่เหลือ ไม่ได้ใช้ในการเป็นสส. ก็ถือว่า เป็น คะแนนทิ้งน้ำไป
ซึ่งจากการคำนวณแล้ว พบว่า วิธีที่ 1/2/3 มีคะแนนทิ้งน้ำไป 1,804,994 / 2,819,661 / 15,361,493 คะแนน
ดังนั้น ถ้ายึดกับคำว่า คะแนนทุกคะแนนมีค่า การจัดสรรแบบที่ กกต.จะใช้นั้น เป็นการโยนคะแนนทิ้งน้ำไปถึง 43% น่าจะเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เมื่อเทียบกับการทำแบบง่าย ๆ แบบที่ควรทำ ตามวิธีที่ 1 ซึ่งอาจจะมีพรรคที่เสียประโยชน์ เช่น พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย ที่ได้คะแนน 136,597 คะแนน แต่ถ้าคำนวณตามวิธีแรก จะได้สส.เพียง 1 คน แต่ถ้าคำนวณตาม 2 วิธีหลัง จะได้ 2 คน
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อเอาเรื่องคะแนนทิ้งน้ำมาเป็นตัวตั้งแล้ว วิธีที่ 1 น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว