คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
Jame Simmons จับพลัดจับผลูไปทางนั้น เพราะครั้งแรกในฐานะนักคณิตศาสตร์ เขาได้เข้าร่วมโครงการ NSA ช่วงสงครามเย็น
คืออีกหน่วยงานหนึ่ง เป็นหน่วยงานคล้าย CIA ต่างกันที่ไม่ได้มีสายลับออกปฎิบัติการโฉ่งฉ่างระหว่างประเทศ แต่เป็นงานด้านข่าวสารเพียวๆ มีแต่จารกรรมเอาข้อมูลอย่างเดียว ไม่มีการแทรกแซงทางการเมืองแบบ CIA
ใช้คณิตศาสตร์ ในการช่วยถอดข้อมูลข่าว ดักตรวจจับข้อมูลลับทั้งหลาย เรียกได้ว่างานทำนองเดียวกับ Alan Turing แต่อันนี้ เป็นลูกทีมในทีมงานนี้
แต่เขาต้องออก เพราะบอกว่าทนไม่ได้ในการเอาวิชาการ มารับใช้สงคราม และเขียนลงคอลัมน์ในนสพ.ดัง ถึงงานนี้
พอออกมาเลย Model ใข้คณิตศาสตร์ ในการตรวจจับความเคลื่อนไหวตลาด โดยแรกๆ เป็นตลาดค้าล่วงหน้าโภคภัณฑ์ (เก็งกำไรโลหะและสินค้าเกษตร ข้าว ถั่วเหลือง กาแฟ ทองคำ เงิน ดีบุก ตะกั่วฯลฯ)
ตอนหลังไปตลาดหุ้น แล้วก่อตั้งกองทุนรับจ้างลงทุน โดยใช้ model คณิตศาสตร์ บอกว่าตรวจหาความผิดปกติในตลาดหุ้นที่คนมองข้ามหรือที่ไม่ค่อยปกติ (anomaly) ทำให้เป็นโอกาสในการตัดสินใจเสี่ยงลงทุน
ภาษาในตลาดหุ้นเรียกแนวการลงทุนแบบนี้ว่า Quant หรือ Quantitative analysis การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (ใช้สถิติและ model ในการตัดสินใจเป็นหลัก)
เทียบกับนักลงทุนมหาเศรษฐีอีกคน ที่รวยติดอันดับ Top 3 ของโลก คือ Warren Buffet ที่บริษัทแม่ มีคนไม่ถึง 10 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ James Simmons เขาไม่ได้ทำงานแบบฉายเดี่ยว แต่ว่าเป็นรุปแบบในฐานะนักบริหารองค์กร เป็นองค์กรที่ไม่เหมือนที่ไหน คือจะจ้างคนมหาศาล จากม. ระดับ top เรียกได้ว่า creme หรือหัวกระทิ กวาดคนระดับ PhD ไว้มากที่สุดของอเมริกาจากทุกสาขาอาชีพ แม้กระทั่งนักบินอวกาศ ให้ร่วมกันค้นหาประมวลผลสำหรับการลงทุน
ในหนังดังวงการเศรษฐกิจ และการลงทุน "Margin Call" ที่สร้างจากเค้าโครงจริงเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจ 2008 (Subprime) ก็ได้เอาส่วนหนึ่งของบริษัทนี้ ไปใส่ในเรื่องด้วย แม้แต่ตัวเอกของเรื่องคนหนึ่ง ที่ดังมาจากบทบาท Spock ใน StarTrek
เรื่องนี้ ก็บอกว่า เป็นเด็กใหม่ ที่จบ PhD มาจาก MIT ด้านออกแบบขับเคลื่อนอวกาศหรืออากาศยาน (Jet Propulsion)
" I hold a doctorate in engineering speciality in propulsion from MIT..........."
"So, you are a rocket scientist?"
I was"
แต่ลักษณะร่วมหลายอย่าง ของวงการ Wall Street อย่างท่ี่จขกท. ว่า "แต่สังเกตดูทำไมหลายคนเก่งๆ สุดท้าย ย้ายไปสายการเงินไฟแนนท์กันหลายคนเลย"
หัวหน้าที่เพิ่งถูก layoff หมาดๆ เพราะลดขนาดองค์กร ในเรื่องนี้ก็เป็นอดีตวิศวกรโยธา
(แสดงโดย Tucci คนที่เคยแสดงเป็นผู้ร้ายกลับใจใน Transformer Age of Extinction แล้วกลัมาแสดงเป็น พ่อมด Merlin ตอนต้นเรื่องอีก ในภาค The Last Knight)
ปัจจุบัน Jame Simmons ปล่อยให้ระบบ run ไปเองส่วนใหญ่ ตัวเขาและภรรยาออกมาการกุศลมากขึ้น โดยตั้งมูลนิธิขึ้ัน
ส่วนคำถามจขกท. "เพราะอะไร"
เพราะผ่านการเรียน การทำงานที่คิดแบบเป็นขั้นเป็นตอนมา ในการวิเคราะห์การลงทุน ต้องใช้ทักษะนี้พอควร
คืออีกหน่วยงานหนึ่ง เป็นหน่วยงานคล้าย CIA ต่างกันที่ไม่ได้มีสายลับออกปฎิบัติการโฉ่งฉ่างระหว่างประเทศ แต่เป็นงานด้านข่าวสารเพียวๆ มีแต่จารกรรมเอาข้อมูลอย่างเดียว ไม่มีการแทรกแซงทางการเมืองแบบ CIA
ใช้คณิตศาสตร์ ในการช่วยถอดข้อมูลข่าว ดักตรวจจับข้อมูลลับทั้งหลาย เรียกได้ว่างานทำนองเดียวกับ Alan Turing แต่อันนี้ เป็นลูกทีมในทีมงานนี้
แต่เขาต้องออก เพราะบอกว่าทนไม่ได้ในการเอาวิชาการ มารับใช้สงคราม และเขียนลงคอลัมน์ในนสพ.ดัง ถึงงานนี้
พอออกมาเลย Model ใข้คณิตศาสตร์ ในการตรวจจับความเคลื่อนไหวตลาด โดยแรกๆ เป็นตลาดค้าล่วงหน้าโภคภัณฑ์ (เก็งกำไรโลหะและสินค้าเกษตร ข้าว ถั่วเหลือง กาแฟ ทองคำ เงิน ดีบุก ตะกั่วฯลฯ)
ตอนหลังไปตลาดหุ้น แล้วก่อตั้งกองทุนรับจ้างลงทุน โดยใช้ model คณิตศาสตร์ บอกว่าตรวจหาความผิดปกติในตลาดหุ้นที่คนมองข้ามหรือที่ไม่ค่อยปกติ (anomaly) ทำให้เป็นโอกาสในการตัดสินใจเสี่ยงลงทุน
ภาษาในตลาดหุ้นเรียกแนวการลงทุนแบบนี้ว่า Quant หรือ Quantitative analysis การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (ใช้สถิติและ model ในการตัดสินใจเป็นหลัก)
เทียบกับนักลงทุนมหาเศรษฐีอีกคน ที่รวยติดอันดับ Top 3 ของโลก คือ Warren Buffet ที่บริษัทแม่ มีคนไม่ถึง 10 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ James Simmons เขาไม่ได้ทำงานแบบฉายเดี่ยว แต่ว่าเป็นรุปแบบในฐานะนักบริหารองค์กร เป็นองค์กรที่ไม่เหมือนที่ไหน คือจะจ้างคนมหาศาล จากม. ระดับ top เรียกได้ว่า creme หรือหัวกระทิ กวาดคนระดับ PhD ไว้มากที่สุดของอเมริกาจากทุกสาขาอาชีพ แม้กระทั่งนักบินอวกาศ ให้ร่วมกันค้นหาประมวลผลสำหรับการลงทุน
ในหนังดังวงการเศรษฐกิจ และการลงทุน "Margin Call" ที่สร้างจากเค้าโครงจริงเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจ 2008 (Subprime) ก็ได้เอาส่วนหนึ่งของบริษัทนี้ ไปใส่ในเรื่องด้วย แม้แต่ตัวเอกของเรื่องคนหนึ่ง ที่ดังมาจากบทบาท Spock ใน StarTrek
เรื่องนี้ ก็บอกว่า เป็นเด็กใหม่ ที่จบ PhD มาจาก MIT ด้านออกแบบขับเคลื่อนอวกาศหรืออากาศยาน (Jet Propulsion)
" I hold a doctorate in engineering speciality in propulsion from MIT..........."
"So, you are a rocket scientist?"
I was"
แต่ลักษณะร่วมหลายอย่าง ของวงการ Wall Street อย่างท่ี่จขกท. ว่า "แต่สังเกตดูทำไมหลายคนเก่งๆ สุดท้าย ย้ายไปสายการเงินไฟแนนท์กันหลายคนเลย"
หัวหน้าที่เพิ่งถูก layoff หมาดๆ เพราะลดขนาดองค์กร ในเรื่องนี้ก็เป็นอดีตวิศวกรโยธา
(แสดงโดย Tucci คนที่เคยแสดงเป็นผู้ร้ายกลับใจใน Transformer Age of Extinction แล้วกลัมาแสดงเป็น พ่อมด Merlin ตอนต้นเรื่องอีก ในภาค The Last Knight)
ปัจจุบัน Jame Simmons ปล่อยให้ระบบ run ไปเองส่วนใหญ่ ตัวเขาและภรรยาออกมาการกุศลมากขึ้น โดยตั้งมูลนิธิขึ้ัน
ส่วนคำถามจขกท. "เพราะอะไร"
เพราะผ่านการเรียน การทำงานที่คิดแบบเป็นขั้นเป็นตอนมา ในการวิเคราะห์การลงทุน ต้องใช้ทักษะนี้พอควร
แสดงความคิดเห็น
James Simons นักคณิตศาสตร์เบนสายไป hedge fund รวยเละ ในไทยคณะวิศวะมอชื่อดังหลายคนก็ย้ายไปสายเทรด เพราะอะไร
Renaissance Technologies LLC is an American hedge fund firm based in East Setauket, New York,[5] on Long Island, which specializes in systematic trading using quantitative models derived from mathematical and statistical analyses. The company was founded in 1982 by James Simons, an award-winning mathematician and former Cold War code breaker.
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Renaissance_Technologies
จริงๆอยากให้คนเก่งๆ cream of the crop มาเป็นครูสอนหนังสือมากกว่า คนเก่งสอนเด็กจะได้เก่งๆ ถ้าคนสอนไม่เก่ง ต่อให้สอนดี เข้าใจเด็กก็อาจสอนผิดๆถูกๆ หรือมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ คนพบยารักษาโรคมะเร็ง หรือนวัตกรรมการสกัดพลังงานสะอาด เป็นแหล่งพลังงานทางเลือก
แต่สังเกตดูทำไมหลายคนเก่งๆ สุดท้าย ย้ายไปสายการเงินไฟแนนท์กันหลายคนเลย