ช่วงหลังๆ นอกจากที่ผมจะเริ่มศึกษาดู Chart หรือ Pattern หรือ Fundamental ของหุ้นหลายเด้งในอดีตแล้ว ว่าต้องหน้าตาประมาณไหนถึงน่าจะขึ้นได้เยอะมากๆ ก็ยังได้ศึกษาอุตสาหกรรม Hedge Fund ด้วยความอยากรู้ อยากเห็น นับวันกองทุนในอุตสาหกรรม Hedge Fund จะกลายมาเป็นคำสามัญประจำบ้านขึ้นทุกวัน เช่น Bridgewater, Soros fund management, Appaloosa management, etc.
Size ของอุตสาหกรรม Hedge Fund (ขอเน้นว่าเป็นอุตสาหกรรม ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า industry ซึ่งเค้ามองว่ามันเป็นอาชีพๆหนึ่ง) ปัจจุบัน Size อยู่ที่ประมาณ 3.2-3.3 USD Trillions ( 3,200-3,300 billions USD) และมี hedge fund ในโลกนี้ประมาณ 10,000-20,000 funds ( ไม่สามารถหาตัวเลขที่แน่ชัดได้) และตัวเลขนี้ไม่รวม Mutual Funds, ETFs, etc. อุตสาหกรรม Hedge fund ก็เหมือนกับอุตสาหกรรมทั่วๆไป หรือ อาจจะยิ่งกว่าคือ TOP 5-10% เท่านั้นที่มี ลูกค้าเช่นพวก ( endowment, pensions fund, UHNW, etc) ใหญ่ๆ และเม็ดเงินกว่า 90% ของกลุ่มลูกค้าก็จะไหลเข้า ใน Fund ที่ท็อป เท่านั้น Hedge fund จำนวนมากไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่เข้าใจกัน อุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมที่แข่งขันกันสูงจริงๆ ครับ
ในมุมมองของนักลงทุนไทย หรือ นักเก็งกำไรไทย จะมองว่า กลยุทธหลักๆในการลงทุนจะมีแค่ 2 อย่าง คือ Value investment (Fundamental) หรือ Technical analysis (Graph) และมองว่าการลงทุนพวกนี้ใช้ได้บ้าง หรือ ใช้ไม่ได้บ้าง แต่ผมพอได้ศึกษาอตกสาหกรรม hedgefund มากขึ้นๆ ก็พบว่าในระดับมืออาชีพจริงๆ แล้วกลยุทธที่ใช้ มีมากมายตามตาราง หรือ ที่ไม่ได้กล่าวถึงอีก คือพวก High Frequency trading หรือ Quant, หรือ Macro หรือ Risk parity หรือ วิธีอื่นๆอีกมาก
อยู่ๆผมก็มีคำถามขึ้นมาว่า กองทุนอะไรที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้เยอะที่สุดในโลก คำตอบที่ได้อาจจะทำให้คนจำนวนมากแปลกใจ กองทุนนั้นคือ Renaissance technology ซึ่งเป็นกองทุนประเภท Quant แล้วมีผลตอบแทนเฉลี่ย 35% ต่อปีกว่า 30 กว่าปี และมีผลตอบแทนในระดับ 71% ทบต้นในช่วงปี 1994-2014 (mid year) ซึ่งผลตอบแทนสูงมากๆนะครับ ในชีวิตผมเห็นคนที่ทำผลตอบแทนระดับ 70% ทบต้นได้ก็แค่ VI Thai เท่านั้น 555 (ซึ่งอย่างมากสุดที่เห็นก็อาจจะทำได้แค่ 10ปี แล้วจบ) แต่ประเด็นคือ Renaissance technologies บริหารงานเป็น billions ถึง หลายสิบ billions ในช่วงที่ทำผลตอบแทนได้สูงขนาดนี้ อีกทั้งปัจจุบัน Renaissance techonologies บริหารกองทุน $84 Billions
คลิปข้างบน เป็นคลิปที่ Jim Simons ผู้ก่อตั้งได้ให้สัมภาษณ์ กับ Ted ซึ่งหาฟังยากมากๆครับ เพราะปกติแกไม่เผยแพร่วิธีการสร้างโมเดลเลย
หลังๆมาผมรู้สึกจริงๆ นะครับว่าการลงทุนเป็นเรื่องของ Art เป็นเรื่องของปรัชญา เป็นเรื่องของแนวความคิดแทบจะ 95% และคือการพิสูจน์ความคิดนั้นๆ
ยกตัวอย่าง ถ้าใครได้ตามอ่านผลงาน หรือ ปาฐกถา ของ George Soros จะเห็นว่าหลักการที่เข้าใช้มีความเป็นปรัชญาสูงมาก เรื่องของ Boom - Bust, Participant ถึง Observer ทฤษฎีการลงทุนของแกพัฒนามาจาก Karl Popper อีกทีนึง หรือ ถ้าใครได้มีโอกาสฟัง Berkshire Hathaway Annual Meeting จะพบว่าคำพูดของปู่บัฟเฟต หรือ ปู่มังเกอร์ จะมีความเป็น wit & wisdom สูงมาก
ผมเป็นคนชอบฟังครับ ผมเคยฟัง พี่ต้าน Mudley group พูดถึงหุ้นแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจมาก และจากประสบการณ์ที่อยู่ตลาดมาพอสมควรยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าจริง แกพูดไว้แบบนี้ การลงทุนเป็นเรื่องกลยุทธ กลยุทธที่ดีไม่ใช่ว่าไม่มีจุดอ่อน แต่กลยุทธที่ดีต้องมีจุดอ่อนแล้วเรารู้ว่าจุดอ่อนนั้นคืออะไร ในอดีตเคยมีคนพยายามทำกลยุทธที่ perfect แบบกำไร 100% อย่าง Long term capital สุดท้ายก็เจอจุดอ่อนที่คาดไม่ถึง แล้วก็ล้มภายใน 1 ปี
หลังๆพอผมเล่นหุ้นมาหลายปี งบการเงินนี่แทบจะใช้วิเคราะห์แค่ 20-30% ดูก็ดูตัวเลขง่ายๆ แล้วก็ดู business model กับ ความเสี่ยงแล้วก็ราคา พอฝึกกราฟ ฝึกไปมาก็ใช้แค่ EMA 4เส้น กับ RSI ฝึกไปฝึกมา กลับมาเป็น Back to Basic หมดเลย การลงทุนแมร่งเป็นปรัชญาจริงๆผมว่า
ปล. ใครอยากเกรียนใส่ หรือ ไม่ชอบขี้หน้ากัน ก็ไม่ต้องเม้นนะครับ ข้ามๆไป
Hedge fund ที่ผลตอบแทนมากที่สุดในโลก กับ เขียนไปเรื่อยๆ สบายๆ
Size ของอุตสาหกรรม Hedge Fund (ขอเน้นว่าเป็นอุตสาหกรรม ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า industry ซึ่งเค้ามองว่ามันเป็นอาชีพๆหนึ่ง) ปัจจุบัน Size อยู่ที่ประมาณ 3.2-3.3 USD Trillions ( 3,200-3,300 billions USD) และมี hedge fund ในโลกนี้ประมาณ 10,000-20,000 funds ( ไม่สามารถหาตัวเลขที่แน่ชัดได้) และตัวเลขนี้ไม่รวม Mutual Funds, ETFs, etc. อุตสาหกรรม Hedge fund ก็เหมือนกับอุตสาหกรรมทั่วๆไป หรือ อาจจะยิ่งกว่าคือ TOP 5-10% เท่านั้นที่มี ลูกค้าเช่นพวก ( endowment, pensions fund, UHNW, etc) ใหญ่ๆ และเม็ดเงินกว่า 90% ของกลุ่มลูกค้าก็จะไหลเข้า ใน Fund ที่ท็อป เท่านั้น Hedge fund จำนวนมากไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่เข้าใจกัน อุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมที่แข่งขันกันสูงจริงๆ ครับ
ในมุมมองของนักลงทุนไทย หรือ นักเก็งกำไรไทย จะมองว่า กลยุทธหลักๆในการลงทุนจะมีแค่ 2 อย่าง คือ Value investment (Fundamental) หรือ Technical analysis (Graph) และมองว่าการลงทุนพวกนี้ใช้ได้บ้าง หรือ ใช้ไม่ได้บ้าง แต่ผมพอได้ศึกษาอตกสาหกรรม hedgefund มากขึ้นๆ ก็พบว่าในระดับมืออาชีพจริงๆ แล้วกลยุทธที่ใช้ มีมากมายตามตาราง หรือ ที่ไม่ได้กล่าวถึงอีก คือพวก High Frequency trading หรือ Quant, หรือ Macro หรือ Risk parity หรือ วิธีอื่นๆอีกมาก
อยู่ๆผมก็มีคำถามขึ้นมาว่า กองทุนอะไรที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้เยอะที่สุดในโลก คำตอบที่ได้อาจจะทำให้คนจำนวนมากแปลกใจ กองทุนนั้นคือ Renaissance technology ซึ่งเป็นกองทุนประเภท Quant แล้วมีผลตอบแทนเฉลี่ย 35% ต่อปีกว่า 30 กว่าปี และมีผลตอบแทนในระดับ 71% ทบต้นในช่วงปี 1994-2014 (mid year) ซึ่งผลตอบแทนสูงมากๆนะครับ ในชีวิตผมเห็นคนที่ทำผลตอบแทนระดับ 70% ทบต้นได้ก็แค่ VI Thai เท่านั้น 555 (ซึ่งอย่างมากสุดที่เห็นก็อาจจะทำได้แค่ 10ปี แล้วจบ) แต่ประเด็นคือ Renaissance technologies บริหารงานเป็น billions ถึง หลายสิบ billions ในช่วงที่ทำผลตอบแทนได้สูงขนาดนี้ อีกทั้งปัจจุบัน Renaissance techonologies บริหารกองทุน $84 Billions
คลิปข้างบน เป็นคลิปที่ Jim Simons ผู้ก่อตั้งได้ให้สัมภาษณ์ กับ Ted ซึ่งหาฟังยากมากๆครับ เพราะปกติแกไม่เผยแพร่วิธีการสร้างโมเดลเลย
หลังๆมาผมรู้สึกจริงๆ นะครับว่าการลงทุนเป็นเรื่องของ Art เป็นเรื่องของปรัชญา เป็นเรื่องของแนวความคิดแทบจะ 95% และคือการพิสูจน์ความคิดนั้นๆ
ยกตัวอย่าง ถ้าใครได้ตามอ่านผลงาน หรือ ปาฐกถา ของ George Soros จะเห็นว่าหลักการที่เข้าใช้มีความเป็นปรัชญาสูงมาก เรื่องของ Boom - Bust, Participant ถึง Observer ทฤษฎีการลงทุนของแกพัฒนามาจาก Karl Popper อีกทีนึง หรือ ถ้าใครได้มีโอกาสฟัง Berkshire Hathaway Annual Meeting จะพบว่าคำพูดของปู่บัฟเฟต หรือ ปู่มังเกอร์ จะมีความเป็น wit & wisdom สูงมาก
ผมเป็นคนชอบฟังครับ ผมเคยฟัง พี่ต้าน Mudley group พูดถึงหุ้นแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจมาก และจากประสบการณ์ที่อยู่ตลาดมาพอสมควรยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าจริง แกพูดไว้แบบนี้ การลงทุนเป็นเรื่องกลยุทธ กลยุทธที่ดีไม่ใช่ว่าไม่มีจุดอ่อน แต่กลยุทธที่ดีต้องมีจุดอ่อนแล้วเรารู้ว่าจุดอ่อนนั้นคืออะไร ในอดีตเคยมีคนพยายามทำกลยุทธที่ perfect แบบกำไร 100% อย่าง Long term capital สุดท้ายก็เจอจุดอ่อนที่คาดไม่ถึง แล้วก็ล้มภายใน 1 ปี
หลังๆพอผมเล่นหุ้นมาหลายปี งบการเงินนี่แทบจะใช้วิเคราะห์แค่ 20-30% ดูก็ดูตัวเลขง่ายๆ แล้วก็ดู business model กับ ความเสี่ยงแล้วก็ราคา พอฝึกกราฟ ฝึกไปมาก็ใช้แค่ EMA 4เส้น กับ RSI ฝึกไปฝึกมา กลับมาเป็น Back to Basic หมดเลย การลงทุนแมร่งเป็นปรัชญาจริงๆผมว่า
ปล. ใครอยากเกรียนใส่ หรือ ไม่ชอบขี้หน้ากัน ก็ไม่ต้องเม้นนะครับ ข้ามๆไป