เรื่องสั้นเรื่องที่ 3 ตบท้ายสำหรับวีคนี้ครับ...
เปลี่ยนแนว จากสองเรื่องที่ผ่านมา เป็น HORROR หรือ "สยองขวัญ" กันเลยทีเดียว
เมื่อเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ไปดื่มกินกันแล้ว ปรากฏว่ามีเพื่อนคนหนึ่งไม่มาร่วมด้วย พวกเขาจึงพากันไปหาถึงที่บ้านเพื่อนคนนั้น จึงได้ทราบจากปากของพ่อของ เพื่อนคนนั้นว่าเขาตายไปแล้ว...
แต่! มันยังมีอะไรที่มากกว่านั้นอีก !!
เรื่องราวเป็นอย่างไร และลงเอยอย่างไร ติดตามความระทึกขวัญกันได้เลยครับ !!
เพื่อนผี
“เฮ้ย อ้ายนัย ไม่มาหรือ” ว่อง เอ่ยขึ้นในวงเหล้า ..
ในวันนี้พวกเรา ซึ่งเป็นศิษย์เก่า สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ ได้มาร่วมงานเลี้ยงรุ่นกัน เหมือนทุกๆปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นธรรมเนียมของสถาบันการศึกษาทั่วไป..
ทั้งรุ่นมี 3 ห้องประมาณ 120 คน ล้มหายตายจากไปก็หลายคน เพราะนับถึงวันนี้ ก็นานโข หลายสิบปี จนเป็นปู่เป็นตากันทั้งหมด และทุกครั้งทุกปี หลังจากสังสรรค์กันทั้งคืน รุ่งเช้าจะนิมนต์พระมาทำพิธีสวดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับ พรรคพวกที่ล่วงลับไป
มนุษย์ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมชาติ สาเหตุของการตายก็มีสารพัด ก็แล้วแต่บุญกรรมของแต่ละคน บางคนน่าตายก็ไม่ตาย เช่นไอ้ซีดเพื่อนร่วมห้อง ตัวมันซีด เป็นกระดาษ เวลาเดินเหมือนพวกตีนแมวเดิน แต่ดันอยู่ยงคงกระพัน ไม่ตายเสียที อายุก็ไต่แตะขึ้นเลข 6 รอเกษียณ อีกไม่กี่เดือน แต่บางคน อ้วนถ้วนแข็งแรง กลับเป็นลมตายเอาง่ายๆ ลูกเมียปรับตัวแทบไม่ทัน
การเลี้ยงรุ่นในแต่ละปี จะย้ายสถานที่ไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้จำเจ นานๆพบกันก็ใส่กันเต็มที่ คนแก่มักจะคุยกันแต่เรื่องเก่าๆ..ดูจะมีความสุขมาก และที่ไม่หนีหายไปไหนและมาทุกปี ก็คือ สุราแปลว่าเหล้า ยังนึกสงสัยเหมือนกันหากไม่กินเหล้า สถานการณ์ มันจะออกมาเป็นยังไง สภาพคงเหมือนไก่หงอย คงก้มหน้าก้มตา คุยกันเงียบๆ..เบาๆๆ...เฮ้อ
ปีนี้จัดงานที่จังหวัดทางภาคเหนือตอนล่าง..
ที่ อ้ายว่อง ถามหา นัย หรือ วินัย ก็เพราะว่า วินัยอาศัยอยู่ที่จังหวัดนี้ แต่ต่างอำเภอห่างออกประมาณ 30 กิโลเมตรถือว่าไม่ใกล้ไม่ไกล..
วินัย ไม่ค่อยมางานเลี้ยงรุ่น นานๆจะมาสักครั้ง เขาเป็นคนเงียบขรึม แต่กินเหล้าดุ จนเหมือนติดเหล้า หลังจากจบการศึกษาต่างแยกย้ายไปสอบหาที่ทำงานกัน ตามความชอบและถนัด ที่รู้ว่าบ้านเขาอยู่ที่นี่เพราะเมื่อหลายสิบปีก่อน เราเคยมาที่บ้านวินัย เนื่องจาก มีการจัดงานศพ พ่อและแม่ของวินัย เพราะโจรปล้นบ้านและฆ่าตายทั้งคู่ สาเหตุที่โจรเข้าปล้นบ้านเพราะที่ตั้งของบ้านออกจะอยู่ห่างไกลจากชุมชน
ฐานะทางบ้านวินัยก็ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร มีที่ดินทำกินประมาณ 50 ไร่ พอกินพอใช้ อาศัยที่เรียนเก่ง หลังจากสอบติด เขามาพักอาศัยกับพระรูปหนึ่งซึ่งเป็นญาติ ที่วัดชานเมืองกรุงเทพ..
หลังเรียนจบ วินัยสอบติดหน่วยงานแห่งหนึ่ง เขาโยกย้ายไปตามวิถีของข้าราชการ จนกระทั่งใกล้เกษียณจึงขอย้ายกลับบ้าน
วินัยเคยมีเมีย แต่ไม่นานก็เลิกรากันไป และไม่มีลูกด้วยกัน จนมาได้ข่าวอีกครั้งเขาได้เมียเด็กคราวลูก อาจเป็นเพราะตำแหน่งของวินัย ใหญ่โตพอสมควร แม้จะแก่ แต่ผู้หญิงคราวลูกก็มาสมัครใจเป็นเมีย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเห็นๆกันอยู่ได้ทั่วไปในเมืองไทย..
“มันมีเมียเด็กนี่เอง จึงไม่ค่อยว่างมาเลี้ยงรุ่นกับพวกเรา” เสียงเพื่อนคนหนึ่งตะโกนดังๆเหมือนจะสื่อไปถึงวินัย
ตะวันลับฟ้า แสงพระอาทิตย์หายไป แสงสว่างจากดวงไฟจำนวนมาก สว่างจนเหมือนกลางวัน เสียงผู้คนจำนวน 80 คนซึ่งแยกกันนั่งตามโต๊ะต่างๆ ดังเป็นพักๆเสียงหัวเราะเสียงตะโกนทักทายหยอกล้อกัน ทุกคนเต็มไปด้วยความสุขสนุกสนาน..
“ใครมีเบอร์ อ้าย นัย มั่ง ” สมชัยอ้วน เอ่ยขึ้นมา..
แต่แห้ว ทุกคนไม่รู้เบอร์ เพราะขาดการติดต่อกันมานาน..
แต่ด้วยความอยากเจอเพื่อน สักครั้ง ..เปี๊ยก ว่อง สมชัย และ วิโรจน์ จึงคุยกันว่าจะไปหาวินัยที่บ้านและจะพามาที่งานให้ได้ ระยะทางแค่ 30 กิโล น่าจะใช้เวลาไม่มากนัก..
ทั้งสี่คนเดินทางออกจากที่งานเลี้ยง โดยรถตู้ขนาดเล็ก ของสมชัย เส้นทางไปบ้านวินัย ก็เหมือนบ้านในชนบททั่วๆไป เราต้องค่อยๆจดจำเส้นทางเพราะ การมาครั้งสุดท้ายคือเมื่อสิบกว่าปี บ้านเมืองไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักเนื่องจากเป็นอำเภอเล็กๆ ไม่นานก็มาถึงทางแยกที่จะไปถึงบ้านวินัย แต่ถนนมีสภาพไม่ค่อยดี ทรุดโทรมและแคบ จึงทำให้การเดินทางลำบากพอสมควร จากจุดนี้ระยะทางถึงบ้านวินัย ไม่ไกลมากจนเกินไป ประมาณ 4-5 กิโล เราต้องค่อยๆคลำทางกันไปด้วยความลำบาก..เพราะความมืดมิดที่อยู่รอบตัว
ระยะต้นๆยังพอมีบ้านผู้คนอยู่บ้าง แต่พอลึกเข้าไปไม่มีบ้านคนอีกเลย มองดูนาฬิกาเกือบสามทุ่มแล้ว แต่บ้านนอกบ้านนาแบบนี้ มันทั้งเงียบทั้งวังเวง สองข้างทางมีต้นไม้ขึ้นจนรก บางจุดเสียงกิ่งไม้ โดนหลังคารถเสียงลากจากด้านหน้าจนถึงด้านหลัง ดังจนรู้สึกได้ .สภาพถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ รถจึงเหมือนคลานไป..
เกือบครึ่งชั่วโมง ..
พอเลยทางโค้งมาเล็กน้อย แสงไฟจากหน้ารถจับไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และมีศาลาไม้เก่าๆ ตั้งอยู่ข้างต้นไม้
“เฮ้ย ข้างหน้าขวามือ ตรงศาลานั่น บ้าน อ้าย นัย กรู จำได้” ว่องตะโกนลั่นรถ..
รถตู้คันเล็กค่อยๆวิ่ง จนมาจอดที่ด้านหน้าศาลาไม้เก่า..
ข้างศาลาไม้ มีทางเล็กๆกว้างประมาณ 2 เมตรเศษๆ แยกเข้าไปด้านใน รถเลี้ยวตามทางเข้าไป พักใหญ่ๆ แสงไฟจับไปที่บ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านไม้สองชั้นใต้ถุนโล่ง ด้านล่างมีลักษณะเป็นคอก คงเอาไว้ขังวัวควาย ซึ่งเป็นบ้านชนบททั่วๆไป..
บ้านเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ หมาแมวไม่มีให้เห็น แต่บนบ้านมีแสงสว่างจากตะเกียงดวงเล็กๆ ซึ่งไม่สว่างมากนัก
ดับเครื่องเสร็จ เดินลงจากรถกัน..
“ว่อง เมิงจำไม่ผิดหลังนะ ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวเจ้าของบ้านเอาปืนมายิง ใส้แตก” สมชัย อ้วน ทำท่าทางลังเล. .
“ใช่ๆจำได้ หน้าบ้านมีศาลา แถวนี้มีบ้านหลังอื่นที่ไหน” ว่องยืนยัน
บรรยากาศรอบตัวยังพอมองเห็นหน้ากันได้ จากแสงจันทร์สีเหลืองมองเห็นกลมเด่นอยู่บนฟ้า ลมพัดผ่านตัวจนรู้สึกหนาว เสียงกิ่งไม้ใบไม้ที่โดนลมพัด ดังซู่ๆๆสะบัดไปมาตามแรงลม
“ทำไมเงียบ จัง” เสียงใครคนหนึ่งในกลุ่มเราพูดเบาๆ..
ทันใดนั้น...เสียงดังท่ามกลางความเงียบ อยู่ข้างๆหู..
“ น้ย ๆๆเฮ้ย ! พวกกรูมาหา” เสียงอ้ายว่องแหกปาก..
พวกที่เหลือด่ากันระงม อยู่ๆดันตะโกนออกมา..ยิ่งกลัวๆอยู่....
เสียงตะโกนได้ผลพอสมควร มีเสียงการเคลื่อนไหว บนบ้าน เสียงคนเดินบนพื้นไม้ เสียงประตูดังเอียดๆๆในความเงียบ ซึ่งแสดงว่ามีคนอยู่บนบ้าน เป็นเพราะบรรยากาศอยู่ในความเงียบ เสียงการเคลื่อนไหวต่างๆบนบ้านจึงได้ยิน ชัดเจน..
มีแสงสว่าง วับๆๆแวมๆๆในความมืด อยู่บนบ้าน เป็นความสว่างที่เกิดจากตะเกียง และคงเป็นตะเกียงกระป๋องราคาถูกๆ เพราะสังเกตจาก ความสว่างที่ไม่คงที่ แสงจากตะเกียงมาหยุดตรงประตูหน้าบ้าน
สภาพบ้านหลังนี้ ด้านหน้าเป็นชานบ้าน มีบันใดอยู่หน้าสำหรับการขึ้นไปที่ชั้นบนของตัวบ้าน แต่ตรงสุดบันใดจะมีประตูกั้นอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้คนขึ้นไปโดยไม่ได้รับอนุญาต
ตรงตีนบันใด มีอ่างปูนซีเมนต์สี่เหลี่ยม ขนาด ศอก คูณ ศอก ใส่น้ำขังไว้เพื่อใช้สำหรับล้างเท้าก่อนขึ้นไปบนตัวเรือน เป็นที่เห็นได้ทั่วๆไป .. ที่เป็นบ้านสองชั้น..
พอรู้ว่ามีคนอยู่บนบ้าน พวกเราเดินตรงไปที่ตีนบันใด เตรียมตัวจะเดินขึ้นไปบนบ้าน เพราะมั่นใจว่าผู้ที่จะมาเปิดประตูให้ ต้องเป็นเพื่อนของเรา
“มาหาใคร” เสียงเบาๆดังขึ้น จากใต้ถุนบ้าน พวกเราสะดุ้งโหยง..
หันไปตามเสียง แม้จะมองเห็นไม่ชัด เพราะแสงจากดวงจันทร์นั้นมีน้อยนิด เป็นเงาตะคุ่มของคน เงานั้นค่อยเคลื่อนไหว ออกมาจากใต้ถุนบ้าน ตรงมาที่พวกเรายืนกันอยู่ แต่เดินออกมาเพียงเล็กน้อยแล้วหยุด อาจเป็นเพราะเขาระวังตัว เนื่องจากเป็นยามวิกาล ที่สำคัญเป็นคนแปลกหน้า ซึ่งเป็นวิสัยปกติของเจ้าของบ้านทั่วๆไป..
แสงสีเหลืองนวลๆจากดวงจันทร์ ทำให้เห็นรูปร่างหน้าตาของเจ้าของบ้าน เป็นชายสูงอายุ ผมบนหัวขาวโพลน รูปร่างผอม เสื้อผ้าดูเก่า หนวดเครารุงรัง เหมือนฤาษีที่จำศีลอยู่ตามเขาตามถ้ำ..ที่สำคัญกลิ่นตุๆลอยมาตามลม เข้าจมูก แทบสำลัก..
“มาหาใคร” เสียงแหบๆเบาๆ
“บ้านนี้ ใช่บ้าน วินัย หรือเปล่าครับ” สมชัยอ้วนพูดขึ้น..
“ใช่
แต่วินัย ตายแล้ว”
พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงหมาหอนรับขึ้นมาทันใด ทั้งที่ยังมองไม่เห็นหมาสักตัว..
พวกเราทุกคน เดินเข้ามารวมกลุ่ม โดยไม่ได้นัดหมาย..
“อะไรนะ วินัย ตายแล้ว” เสียงอ้ายว่องแผ่วเบาจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง..
เสียงประตูบ้านด้านบนดังขึ้น พร้อมกับมีเสียงผู้หญิง เป็นเสียงคนแก่
“ใครมา ตาม้วน”
“เขามาหา อ้ายนัย ”
“ไม่เรียก พวกมันขึ้นบ้าน ล่ะ ตาม้วน” หญิงแก่ส่งเสียงดังเหมือนตะคอก..
ประตูด้านบนเปิดออก พวกเราแหงนมองขึ้นไป แสงจากตะเกียงมีไม่มากนัก แต่แสงจากดวงจันทร์ ขาวนวลจนเห็นหน้า หญิงแก่
อะไรกันนี่...หน้าตาของแกเหี่ยวย่น ผมรุงรังเหมือนไม่เคยเจอหวี ลมผัดผ่านมา กลิ่นเหม็นเน่าเหมือนหนูตาย ลอยมาตามลม..เสียงพวกเราบางคน ครางฮือๆๆ..คงทั้งเหม็นทั้งกลัว..
สถานการณ์แบบนี้ ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจ จึงคิดว่าควรจะกลับกันได้แล้ว อยากออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด มืดก็มืด ซ้ำร้ายเพื่อนก็ไม่อยู่ แอบตายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้..
สมชัยอ้วน เหมือนนกรู้ ไม่พูดอะไรรีบเดินดิ่งไปที่รถ เปิดประตู ด้านคนขับ สตาร์ทรถ เสียงเครื่องดังสนั่น..
ทุกคนหันไปที่รถ เพราะไม่รู้ว่าสมชัยอ้วน ไปสตาร์ทรถ..กำลังยืนงงๆ..
“แม่ ใครมา เสียงดัง ลั่น บ้าน”
เสียงหนึ่งดังมาจากประตู ตรงที่หญิงแก่ ยืนถือตะเกียงอยู่..
พอได้ยินเสียงนั้น อ้าย ว่อง ร้อง
“ เฮ้ย ! อ้ายนัย”..
“เออ นั่นพ่อ และ นี่ แม่ กรู”..
อ้าย นัย ยืนเด่นอยู่ตรงหัวบันใด ชี้มือไปที่ คนแก่ทั้งสองคน..
ไม่ต้อง บอก ความชุลมุนเกิดขึ้น..
“ผี ทั้งนั้น อยู่ไม่ได้แล้ว โว๊ย “..ทุกคนวิ่งไปที่รถทันที..
เสียงหอน ของหมา ร้องโหยหวน สลับกับเสียงหัวเราะ ของ ผี ทั้งสาม..ดังประสานกันในความเงียบสงัด ปนกับเสียงของรถตู้ ที่ เร่งเครื่องขับออกมาอย่างรีบเร่ง
..
แต่คงไม่มีใครได้ยิน เพราะแถบแถวนั้นไม่มีบ้านผู้คนให้เห็น สัก หลัง...
/// จบ ///
ถุงมือส้มจุก
🐱👁👨🏾 THE SUMMER GLOVES 2019 <ถุงมือเรื่องสั้น> #18 "เพื่อนผี" โดย "ถุงมือส้มจุก" 👨🏾👁🐱
เปลี่ยนแนว จากสองเรื่องที่ผ่านมา เป็น HORROR หรือ "สยองขวัญ" กันเลยทีเดียว
เมื่อเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ไปดื่มกินกันแล้ว ปรากฏว่ามีเพื่อนคนหนึ่งไม่มาร่วมด้วย พวกเขาจึงพากันไปหาถึงที่บ้านเพื่อนคนนั้น จึงได้ทราบจากปากของพ่อของ เพื่อนคนนั้นว่าเขาตายไปแล้ว...
แต่! มันยังมีอะไรที่มากกว่านั้นอีก !!
เรื่องราวเป็นอย่างไร และลงเอยอย่างไร ติดตามความระทึกขวัญกันได้เลยครับ !!
“เฮ้ย อ้ายนัย ไม่มาหรือ” ว่อง เอ่ยขึ้นในวงเหล้า ..
ในวันนี้พวกเรา ซึ่งเป็นศิษย์เก่า สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ ได้มาร่วมงานเลี้ยงรุ่นกัน เหมือนทุกๆปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นธรรมเนียมของสถาบันการศึกษาทั่วไป..
ทั้งรุ่นมี 3 ห้องประมาณ 120 คน ล้มหายตายจากไปก็หลายคน เพราะนับถึงวันนี้ ก็นานโข หลายสิบปี จนเป็นปู่เป็นตากันทั้งหมด และทุกครั้งทุกปี หลังจากสังสรรค์กันทั้งคืน รุ่งเช้าจะนิมนต์พระมาทำพิธีสวดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับ พรรคพวกที่ล่วงลับไป
มนุษย์ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมชาติ สาเหตุของการตายก็มีสารพัด ก็แล้วแต่บุญกรรมของแต่ละคน บางคนน่าตายก็ไม่ตาย เช่นไอ้ซีดเพื่อนร่วมห้อง ตัวมันซีด เป็นกระดาษ เวลาเดินเหมือนพวกตีนแมวเดิน แต่ดันอยู่ยงคงกระพัน ไม่ตายเสียที อายุก็ไต่แตะขึ้นเลข 6 รอเกษียณ อีกไม่กี่เดือน แต่บางคน อ้วนถ้วนแข็งแรง กลับเป็นลมตายเอาง่ายๆ ลูกเมียปรับตัวแทบไม่ทัน
การเลี้ยงรุ่นในแต่ละปี จะย้ายสถานที่ไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้จำเจ นานๆพบกันก็ใส่กันเต็มที่ คนแก่มักจะคุยกันแต่เรื่องเก่าๆ..ดูจะมีความสุขมาก และที่ไม่หนีหายไปไหนและมาทุกปี ก็คือ สุราแปลว่าเหล้า ยังนึกสงสัยเหมือนกันหากไม่กินเหล้า สถานการณ์ มันจะออกมาเป็นยังไง สภาพคงเหมือนไก่หงอย คงก้มหน้าก้มตา คุยกันเงียบๆ..เบาๆๆ...เฮ้อ
ปีนี้จัดงานที่จังหวัดทางภาคเหนือตอนล่าง..
ที่ อ้ายว่อง ถามหา นัย หรือ วินัย ก็เพราะว่า วินัยอาศัยอยู่ที่จังหวัดนี้ แต่ต่างอำเภอห่างออกประมาณ 30 กิโลเมตรถือว่าไม่ใกล้ไม่ไกล..
วินัย ไม่ค่อยมางานเลี้ยงรุ่น นานๆจะมาสักครั้ง เขาเป็นคนเงียบขรึม แต่กินเหล้าดุ จนเหมือนติดเหล้า หลังจากจบการศึกษาต่างแยกย้ายไปสอบหาที่ทำงานกัน ตามความชอบและถนัด ที่รู้ว่าบ้านเขาอยู่ที่นี่เพราะเมื่อหลายสิบปีก่อน เราเคยมาที่บ้านวินัย เนื่องจาก มีการจัดงานศพ พ่อและแม่ของวินัย เพราะโจรปล้นบ้านและฆ่าตายทั้งคู่ สาเหตุที่โจรเข้าปล้นบ้านเพราะที่ตั้งของบ้านออกจะอยู่ห่างไกลจากชุมชน
ฐานะทางบ้านวินัยก็ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร มีที่ดินทำกินประมาณ 50 ไร่ พอกินพอใช้ อาศัยที่เรียนเก่ง หลังจากสอบติด เขามาพักอาศัยกับพระรูปหนึ่งซึ่งเป็นญาติ ที่วัดชานเมืองกรุงเทพ..
หลังเรียนจบ วินัยสอบติดหน่วยงานแห่งหนึ่ง เขาโยกย้ายไปตามวิถีของข้าราชการ จนกระทั่งใกล้เกษียณจึงขอย้ายกลับบ้าน
วินัยเคยมีเมีย แต่ไม่นานก็เลิกรากันไป และไม่มีลูกด้วยกัน จนมาได้ข่าวอีกครั้งเขาได้เมียเด็กคราวลูก อาจเป็นเพราะตำแหน่งของวินัย ใหญ่โตพอสมควร แม้จะแก่ แต่ผู้หญิงคราวลูกก็มาสมัครใจเป็นเมีย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเห็นๆกันอยู่ได้ทั่วไปในเมืองไทย..
“มันมีเมียเด็กนี่เอง จึงไม่ค่อยว่างมาเลี้ยงรุ่นกับพวกเรา” เสียงเพื่อนคนหนึ่งตะโกนดังๆเหมือนจะสื่อไปถึงวินัย
ตะวันลับฟ้า แสงพระอาทิตย์หายไป แสงสว่างจากดวงไฟจำนวนมาก สว่างจนเหมือนกลางวัน เสียงผู้คนจำนวน 80 คนซึ่งแยกกันนั่งตามโต๊ะต่างๆ ดังเป็นพักๆเสียงหัวเราะเสียงตะโกนทักทายหยอกล้อกัน ทุกคนเต็มไปด้วยความสุขสนุกสนาน..
“ใครมีเบอร์ อ้าย นัย มั่ง ” สมชัยอ้วน เอ่ยขึ้นมา..
แต่แห้ว ทุกคนไม่รู้เบอร์ เพราะขาดการติดต่อกันมานาน..
แต่ด้วยความอยากเจอเพื่อน สักครั้ง ..เปี๊ยก ว่อง สมชัย และ วิโรจน์ จึงคุยกันว่าจะไปหาวินัยที่บ้านและจะพามาที่งานให้ได้ ระยะทางแค่ 30 กิโล น่าจะใช้เวลาไม่มากนัก..
ทั้งสี่คนเดินทางออกจากที่งานเลี้ยง โดยรถตู้ขนาดเล็ก ของสมชัย เส้นทางไปบ้านวินัย ก็เหมือนบ้านในชนบททั่วๆไป เราต้องค่อยๆจดจำเส้นทางเพราะ การมาครั้งสุดท้ายคือเมื่อสิบกว่าปี บ้านเมืองไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักเนื่องจากเป็นอำเภอเล็กๆ ไม่นานก็มาถึงทางแยกที่จะไปถึงบ้านวินัย แต่ถนนมีสภาพไม่ค่อยดี ทรุดโทรมและแคบ จึงทำให้การเดินทางลำบากพอสมควร จากจุดนี้ระยะทางถึงบ้านวินัย ไม่ไกลมากจนเกินไป ประมาณ 4-5 กิโล เราต้องค่อยๆคลำทางกันไปด้วยความลำบาก..เพราะความมืดมิดที่อยู่รอบตัว
ระยะต้นๆยังพอมีบ้านผู้คนอยู่บ้าง แต่พอลึกเข้าไปไม่มีบ้านคนอีกเลย มองดูนาฬิกาเกือบสามทุ่มแล้ว แต่บ้านนอกบ้านนาแบบนี้ มันทั้งเงียบทั้งวังเวง สองข้างทางมีต้นไม้ขึ้นจนรก บางจุดเสียงกิ่งไม้ โดนหลังคารถเสียงลากจากด้านหน้าจนถึงด้านหลัง ดังจนรู้สึกได้ .สภาพถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ รถจึงเหมือนคลานไป..
เกือบครึ่งชั่วโมง ..
พอเลยทางโค้งมาเล็กน้อย แสงไฟจากหน้ารถจับไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และมีศาลาไม้เก่าๆ ตั้งอยู่ข้างต้นไม้
“เฮ้ย ข้างหน้าขวามือ ตรงศาลานั่น บ้าน อ้าย นัย กรู จำได้” ว่องตะโกนลั่นรถ..
รถตู้คันเล็กค่อยๆวิ่ง จนมาจอดที่ด้านหน้าศาลาไม้เก่า..
ข้างศาลาไม้ มีทางเล็กๆกว้างประมาณ 2 เมตรเศษๆ แยกเข้าไปด้านใน รถเลี้ยวตามทางเข้าไป พักใหญ่ๆ แสงไฟจับไปที่บ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านไม้สองชั้นใต้ถุนโล่ง ด้านล่างมีลักษณะเป็นคอก คงเอาไว้ขังวัวควาย ซึ่งเป็นบ้านชนบททั่วๆไป..
บ้านเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ หมาแมวไม่มีให้เห็น แต่บนบ้านมีแสงสว่างจากตะเกียงดวงเล็กๆ ซึ่งไม่สว่างมากนัก
ดับเครื่องเสร็จ เดินลงจากรถกัน..
“ว่อง เมิงจำไม่ผิดหลังนะ ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวเจ้าของบ้านเอาปืนมายิง ใส้แตก” สมชัย อ้วน ทำท่าทางลังเล. .
“ใช่ๆจำได้ หน้าบ้านมีศาลา แถวนี้มีบ้านหลังอื่นที่ไหน” ว่องยืนยัน
บรรยากาศรอบตัวยังพอมองเห็นหน้ากันได้ จากแสงจันทร์สีเหลืองมองเห็นกลมเด่นอยู่บนฟ้า ลมพัดผ่านตัวจนรู้สึกหนาว เสียงกิ่งไม้ใบไม้ที่โดนลมพัด ดังซู่ๆๆสะบัดไปมาตามแรงลม
“ทำไมเงียบ จัง” เสียงใครคนหนึ่งในกลุ่มเราพูดเบาๆ..
ทันใดนั้น...เสียงดังท่ามกลางความเงียบ อยู่ข้างๆหู..
“ น้ย ๆๆเฮ้ย ! พวกกรูมาหา” เสียงอ้ายว่องแหกปาก..
พวกที่เหลือด่ากันระงม อยู่ๆดันตะโกนออกมา..ยิ่งกลัวๆอยู่....
เสียงตะโกนได้ผลพอสมควร มีเสียงการเคลื่อนไหว บนบ้าน เสียงคนเดินบนพื้นไม้ เสียงประตูดังเอียดๆๆในความเงียบ ซึ่งแสดงว่ามีคนอยู่บนบ้าน เป็นเพราะบรรยากาศอยู่ในความเงียบ เสียงการเคลื่อนไหวต่างๆบนบ้านจึงได้ยิน ชัดเจน..
มีแสงสว่าง วับๆๆแวมๆๆในความมืด อยู่บนบ้าน เป็นความสว่างที่เกิดจากตะเกียง และคงเป็นตะเกียงกระป๋องราคาถูกๆ เพราะสังเกตจาก ความสว่างที่ไม่คงที่ แสงจากตะเกียงมาหยุดตรงประตูหน้าบ้าน
สภาพบ้านหลังนี้ ด้านหน้าเป็นชานบ้าน มีบันใดอยู่หน้าสำหรับการขึ้นไปที่ชั้นบนของตัวบ้าน แต่ตรงสุดบันใดจะมีประตูกั้นอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้คนขึ้นไปโดยไม่ได้รับอนุญาต
ตรงตีนบันใด มีอ่างปูนซีเมนต์สี่เหลี่ยม ขนาด ศอก คูณ ศอก ใส่น้ำขังไว้เพื่อใช้สำหรับล้างเท้าก่อนขึ้นไปบนตัวเรือน เป็นที่เห็นได้ทั่วๆไป .. ที่เป็นบ้านสองชั้น..
พอรู้ว่ามีคนอยู่บนบ้าน พวกเราเดินตรงไปที่ตีนบันใด เตรียมตัวจะเดินขึ้นไปบนบ้าน เพราะมั่นใจว่าผู้ที่จะมาเปิดประตูให้ ต้องเป็นเพื่อนของเรา
“มาหาใคร” เสียงเบาๆดังขึ้น จากใต้ถุนบ้าน พวกเราสะดุ้งโหยง..
หันไปตามเสียง แม้จะมองเห็นไม่ชัด เพราะแสงจากดวงจันทร์นั้นมีน้อยนิด เป็นเงาตะคุ่มของคน เงานั้นค่อยเคลื่อนไหว ออกมาจากใต้ถุนบ้าน ตรงมาที่พวกเรายืนกันอยู่ แต่เดินออกมาเพียงเล็กน้อยแล้วหยุด อาจเป็นเพราะเขาระวังตัว เนื่องจากเป็นยามวิกาล ที่สำคัญเป็นคนแปลกหน้า ซึ่งเป็นวิสัยปกติของเจ้าของบ้านทั่วๆไป..
แสงสีเหลืองนวลๆจากดวงจันทร์ ทำให้เห็นรูปร่างหน้าตาของเจ้าของบ้าน เป็นชายสูงอายุ ผมบนหัวขาวโพลน รูปร่างผอม เสื้อผ้าดูเก่า หนวดเครารุงรัง เหมือนฤาษีที่จำศีลอยู่ตามเขาตามถ้ำ..ที่สำคัญกลิ่นตุๆลอยมาตามลม เข้าจมูก แทบสำลัก..
“มาหาใคร” เสียงแหบๆเบาๆ
“บ้านนี้ ใช่บ้าน วินัย หรือเปล่าครับ” สมชัยอ้วนพูดขึ้น..
“ใช่ แต่วินัย ตายแล้ว”
พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงหมาหอนรับขึ้นมาทันใด ทั้งที่ยังมองไม่เห็นหมาสักตัว..
พวกเราทุกคน เดินเข้ามารวมกลุ่ม โดยไม่ได้นัดหมาย..
“อะไรนะ วินัย ตายแล้ว” เสียงอ้ายว่องแผ่วเบาจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง..
เสียงประตูบ้านด้านบนดังขึ้น พร้อมกับมีเสียงผู้หญิง เป็นเสียงคนแก่
“ใครมา ตาม้วน”
“เขามาหา อ้ายนัย ”
“ไม่เรียก พวกมันขึ้นบ้าน ล่ะ ตาม้วน” หญิงแก่ส่งเสียงดังเหมือนตะคอก..
ประตูด้านบนเปิดออก พวกเราแหงนมองขึ้นไป แสงจากตะเกียงมีไม่มากนัก แต่แสงจากดวงจันทร์ ขาวนวลจนเห็นหน้า หญิงแก่
อะไรกันนี่...หน้าตาของแกเหี่ยวย่น ผมรุงรังเหมือนไม่เคยเจอหวี ลมผัดผ่านมา กลิ่นเหม็นเน่าเหมือนหนูตาย ลอยมาตามลม..เสียงพวกเราบางคน ครางฮือๆๆ..คงทั้งเหม็นทั้งกลัว..
สถานการณ์แบบนี้ ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจ จึงคิดว่าควรจะกลับกันได้แล้ว อยากออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด มืดก็มืด ซ้ำร้ายเพื่อนก็ไม่อยู่ แอบตายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้..
สมชัยอ้วน เหมือนนกรู้ ไม่พูดอะไรรีบเดินดิ่งไปที่รถ เปิดประตู ด้านคนขับ สตาร์ทรถ เสียงเครื่องดังสนั่น..
ทุกคนหันไปที่รถ เพราะไม่รู้ว่าสมชัยอ้วน ไปสตาร์ทรถ..กำลังยืนงงๆ..
“แม่ ใครมา เสียงดัง ลั่น บ้าน”
เสียงหนึ่งดังมาจากประตู ตรงที่หญิงแก่ ยืนถือตะเกียงอยู่..
พอได้ยินเสียงนั้น อ้าย ว่อง ร้อง
“ เฮ้ย ! อ้ายนัย”..
“เออ นั่นพ่อ และ นี่ แม่ กรู”..
อ้าย นัย ยืนเด่นอยู่ตรงหัวบันใด ชี้มือไปที่ คนแก่ทั้งสองคน..
ไม่ต้อง บอก ความชุลมุนเกิดขึ้น..
“ผี ทั้งนั้น อยู่ไม่ได้แล้ว โว๊ย “..ทุกคนวิ่งไปที่รถทันที..
เสียงหอน ของหมา ร้องโหยหวน สลับกับเสียงหัวเราะ ของ ผี ทั้งสาม..ดังประสานกันในความเงียบสงัด ปนกับเสียงของรถตู้ ที่ เร่งเครื่องขับออกมาอย่างรีบเร่ง
..แต่คงไม่มีใครได้ยิน เพราะแถบแถวนั้นไม่มีบ้านผู้คนให้เห็น สัก หลัง...