คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 29
ใจเย็นๆกันนะครับทุกๆท่าน และขอบคุณทุกๆคอมเม้นอย่างจริงใจครับ ช่วยได้มากจริงๆ ถ้าอ่านไปแล้วมีไอเดียเพิ่มเติม กรุณาแสดงความคิดเห็นได้เลยครับ
เรื่องสภาวะอารมณ์และคำพูดของผมกับแฟน ผมยอมรับผิดกับแฟนแล้วครับ เป็นแฟนกันควรหาทางแก้ด้วยกันครับ ใครอ่านแล้ว อย่าคิดจะแบกโลกคนเดียวเหมือนผมนะครับ. สภาวะตอนนั้นรู้สึกเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ กับยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อทุกคน ยอมสละแฟน ให้แฟนได้เจอคนที่ดีกว่าที่ไม่มีปัญหาเรื่องครอบครัวแบบผม มันเลยมีความคิดนี้ขึ้น ซึ่งผมคิดสั้น เห็นแก่ตัวไปครับ และเสียใจที่มีความคิดสุดโต่งแบบนั้น ทั้งๆที่จริงๆ แฟนผมก็ดีครับ พร้อมเสียสละเพื่อผมได้เช่นกัน แต่ยังไง ผมก็ต้องพยายามหาทางออก ที่ทุกคนมีความสุขให้ได้ครับ
จากนี้ไปได้หลักคิดแล้ว ส่วนวิธีแก้ปัญหาก็ขึ้นอยู่กับสถานณะการจริงหน้างาน ค่อยๆคุยกันหาทางออกด้วยกันไปเรื่อยๆ
"ปัญหาที่ง่ายที่สุดแต่อยู่ในสภาวะจิตใจที่แย่ที่สุด มันก็อาจหาทางออกไม่ได้"
ขอบคุณสำหรับคำเตือนใจและคำติครับ พอได้รับความเห็นที่สามที่สี่ มันก็ดูมีทางออกมากขึ้นครับ สำหรับเรื่องนี้ที่มันค่อนข้างสำคัญ การได้ได้ปรึกษาคนที่ไม่รู้จักกัน อาจมีประโยชน์กว่าคนที่รู้จักกัน
สิ่งที่ต้องการคือทางออกจริงๆ ไม่ใช่ให้มาเชียร์าแนวร่วมให้เลิกกันอย่างเดียวครับ ต้องการหาทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นการเลิกกัน หรือ คุยกัน ถ้ามันดี มันก็คือทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่ายครับ ถ้ามันมีเหตุผลมากพอครับ
เรื่องนี่จะไม่มีครอบครัวฝั่งพ่อ หรือ ฝั่งพ่อแม่แฟนเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเราทั้งคู่ หรือตัวท่านเองก็สามารถดูแลพวกท่านได้ทั้งคู่ครับ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
ผมได้กลับไปคุยกับแฟนอีกทีครับ สรุปว่า
1.ตอนนี้กังวลเยอะไป เร็วไป แต่ก็ดีที่คุยกันก่อนทั้งกับผมและแฟน เคลียเร็วจบเร็ว วางแผนเร็ว เจอปัญหาแก้ไขได้เร็ว
2.แม่ก็ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่ ตัวผมเองก็ไม่ได้คุยกับแม่มากนัก หลายเดือนคุยกันที ตอนนี้ท่านก็ราวๆ 45-50 ปีมั้งครับ ก็ถือว่าแข็งแรงดีอยู่ ถ้าท่านไม่คิดจะกลับมาไทยก็น่าจะมีคนดูใจแกอยู่ที่นั้น ก็ส่งเสียตามกำลังผมไป หรือ จามที่ขอ ขึ้นอยู่กับสถานะการณ์ ให้ท่านได้อยู่แบบสบายใจ กับคนที่สบายใจ และยายผมก็จะได้สบายใจ หมดห่วงเรื่องลูก
3.ถ้าอยากลับมาไทย
กรณีที่ 1 ถ้ามาเป็นคู่ หรือ มาคนเดียว แต่แข็งแรง ก็เช่าบ้านดีๆให้ จะให้อยู่ใกล้ๆผม หรือ กลับบ้านเกิด หรืออยู่ใกล้พี่น้อง ก็ตามที่ท่านตัดสินใจ ท่านก็จะได้มีครอบครัวท่านไป หางานให้ทำให้ได้เงินได้แก้เบื่อ อีกทั้งพิจารณาเรื่องส่งเสียตามกำลังผม หรือ ตามที่ขอแล้วแต่เหตุการณ์ตอนนั้นครับ
แบบนี้ก็หวังว่าท่านจะมีความสุขกับคู่ชีวิตกับคนและทางที่ท่านเลือกเอง และมีผมดูแลห่างๆ ยายมีความสุข และผมก็สบายใจ แฟนก็สบายใจ
กรณีที่ 2
ท่านแก่ชรามากๆและอยู่คนเดียว หรือ ป่วยหนักและอยู่คนเดียว (บอกตรงๆ ส่วนนี้คือข้อกังวลที่ทำให้ผมเขียนกระทู้นี้ครับ) กรณีนี้มี 2 ทางเลือก
กรณีที่ 2 ทางเลือกที่ 1
คุยกับแฟนแล้ว แฟนบอกว่า "ถ้าคนแก่จริงๆ เป็นตายขับขันจริงๆ เป็นใคร ใครก็สงสาร" ผมก็ดีใจแต่แอบกังวล เลยลองคิดดูว่ากรณีนั้นจะมาถึงในอีกประมาณกี่ปี จากที่ดูต่าเฉลี่ยความแข็งแรงของครอบครัวตัวเองพบว่า แม่น่าจะแก่มากกับป่วยบ่อยๆ ชนิดต้องการคนดูแล ก็น่าจะราวๆ 70 ปี นั้นคือ ราวๆ 20-25 ปีต่อจากนี้ ตอนนั้นผมกับแฟนก็อายุราวๆ 45-50 ปี. ตอนนั้น คาดว่า คงมีฐานะขึ้นมาอีก คาดว่าจะขายบ้านหลังนี้ที่ผมซื้อเอง ไปซื้อบ้านใหม่คู่กับแฟนคงได้ หลังใหญ่กว่าเดิม อยู่กันหลายคน คงไม่อึดอัด กับจ้างพยาบาล หรือ คนธรรมดามาอยู่เป็นเพื่อน ดูแลท่านควบคู่ไปกับผมกับแฟน. คาดว่าเมื่อผมกับแฟนอายุ 45-50 เรื่องแม่แก่ชรา หรือ ป่วยหนัก อยู่บ้านด้วยกัน อาจมีผลกระทบต่อชีวิตคู่น้อยลง จะหวานกันพอดีๆกันคงไม่ได้สนใจแม่มากนัก เพราะแม่ก็วัฒฯธรรมฝรั่ง เรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้ใครใหญ่กว่า ผมเชื่อว่า อาจไม่ตึงนัก และคงคุยด้วยเหตุผลกันได้ เพราะต่างคนต่างอายุเยอะกันแล้ว
และคิดว่าแฟนกับผมผ่านร้อนหนาวกันมานาน เชื่อ ว่าเราสองคนจะแก้ปัญบหาด้วยกันได้ครับ
ทางเลือกนี้มีความเสี่ยงเรื่องความสามารถในการหาเลี้ยงชีพของผมเอง
กรณีที่ 2 ทางเลือกที่ 2
ถ้าชีวิตตอนอายุ 45-50 ปี ผมกับแฟนตกอับ แล้วแม่อายุราวๆ 70 ปี ทำตามขั้นตอนที่ 1 ไม่ได้ ก็ต้องให้ท่านมาอยู่ด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า
แม้ว่าผมเองตอนนี้ไม่ได้รักแม่ แต่ก็ไม่อยากให้เรื่องนี้จบแบบมีผู้หญิงแก่ๆคนนึง นอนตายในบ้านเก่าๆคนเดียว ไร้คนเหลียวมอง ทั้งที่ๆเราสามารถห้ามเหตุการณืนั้นได้ แม้แม่เขาทิ้งผมไปนาน แต่พอแกแก่ไปคงทรมารพอแล้วกับสิ่งที่ทำ เหมือนนักโทษพ้นคุก ผมก็ควรเห็นใจ
ผมไม่อยากมีตราบาปตรงนั้น ไว้หลอกหลอนตัวเอง ตอนมีลูก ตอนแก่ หรือ ตอนกำลังจะหลับตาลงเพื่อตาย
ซึ่งคุยกันดีๆกับแฟน เขาก็เข้าใจ เราสุขเขาสุขกว่า เราลำบากเขาอยู่ข้างกัน แล้วเขาก็สงสารเช่นกัน ก็เลยตกลงกันว่า เราสองคนต้องช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อตัวเองและครอบครัว ไม่ประมาทกับชีวิตแม้อายุยังน้อยครับ
ขอขอบคุณแฟนที่ยอมรับความเสี่ยงและการเสียสละ ไว้ที่ต้องนี้ด้วยครับ
เรื่องสภาวะอารมณ์และคำพูดของผมกับแฟน ผมยอมรับผิดกับแฟนแล้วครับ เป็นแฟนกันควรหาทางแก้ด้วยกันครับ ใครอ่านแล้ว อย่าคิดจะแบกโลกคนเดียวเหมือนผมนะครับ. สภาวะตอนนั้นรู้สึกเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ กับยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อทุกคน ยอมสละแฟน ให้แฟนได้เจอคนที่ดีกว่าที่ไม่มีปัญหาเรื่องครอบครัวแบบผม มันเลยมีความคิดนี้ขึ้น ซึ่งผมคิดสั้น เห็นแก่ตัวไปครับ และเสียใจที่มีความคิดสุดโต่งแบบนั้น ทั้งๆที่จริงๆ แฟนผมก็ดีครับ พร้อมเสียสละเพื่อผมได้เช่นกัน แต่ยังไง ผมก็ต้องพยายามหาทางออก ที่ทุกคนมีความสุขให้ได้ครับ
จากนี้ไปได้หลักคิดแล้ว ส่วนวิธีแก้ปัญหาก็ขึ้นอยู่กับสถานณะการจริงหน้างาน ค่อยๆคุยกันหาทางออกด้วยกันไปเรื่อยๆ
"ปัญหาที่ง่ายที่สุดแต่อยู่ในสภาวะจิตใจที่แย่ที่สุด มันก็อาจหาทางออกไม่ได้"
ขอบคุณสำหรับคำเตือนใจและคำติครับ พอได้รับความเห็นที่สามที่สี่ มันก็ดูมีทางออกมากขึ้นครับ สำหรับเรื่องนี้ที่มันค่อนข้างสำคัญ การได้ได้ปรึกษาคนที่ไม่รู้จักกัน อาจมีประโยชน์กว่าคนที่รู้จักกัน
สิ่งที่ต้องการคือทางออกจริงๆ ไม่ใช่ให้มาเชียร์าแนวร่วมให้เลิกกันอย่างเดียวครับ ต้องการหาทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นการเลิกกัน หรือ คุยกัน ถ้ามันดี มันก็คือทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่ายครับ ถ้ามันมีเหตุผลมากพอครับ
เรื่องนี่จะไม่มีครอบครัวฝั่งพ่อ หรือ ฝั่งพ่อแม่แฟนเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเราทั้งคู่ หรือตัวท่านเองก็สามารถดูแลพวกท่านได้ทั้งคู่ครับ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
ผมได้กลับไปคุยกับแฟนอีกทีครับ สรุปว่า
1.ตอนนี้กังวลเยอะไป เร็วไป แต่ก็ดีที่คุยกันก่อนทั้งกับผมและแฟน เคลียเร็วจบเร็ว วางแผนเร็ว เจอปัญหาแก้ไขได้เร็ว
2.แม่ก็ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่ ตัวผมเองก็ไม่ได้คุยกับแม่มากนัก หลายเดือนคุยกันที ตอนนี้ท่านก็ราวๆ 45-50 ปีมั้งครับ ก็ถือว่าแข็งแรงดีอยู่ ถ้าท่านไม่คิดจะกลับมาไทยก็น่าจะมีคนดูใจแกอยู่ที่นั้น ก็ส่งเสียตามกำลังผมไป หรือ จามที่ขอ ขึ้นอยู่กับสถานะการณ์ ให้ท่านได้อยู่แบบสบายใจ กับคนที่สบายใจ และยายผมก็จะได้สบายใจ หมดห่วงเรื่องลูก
3.ถ้าอยากลับมาไทย
กรณีที่ 1 ถ้ามาเป็นคู่ หรือ มาคนเดียว แต่แข็งแรง ก็เช่าบ้านดีๆให้ จะให้อยู่ใกล้ๆผม หรือ กลับบ้านเกิด หรืออยู่ใกล้พี่น้อง ก็ตามที่ท่านตัดสินใจ ท่านก็จะได้มีครอบครัวท่านไป หางานให้ทำให้ได้เงินได้แก้เบื่อ อีกทั้งพิจารณาเรื่องส่งเสียตามกำลังผม หรือ ตามที่ขอแล้วแต่เหตุการณ์ตอนนั้นครับ
แบบนี้ก็หวังว่าท่านจะมีความสุขกับคู่ชีวิตกับคนและทางที่ท่านเลือกเอง และมีผมดูแลห่างๆ ยายมีความสุข และผมก็สบายใจ แฟนก็สบายใจ
กรณีที่ 2
ท่านแก่ชรามากๆและอยู่คนเดียว หรือ ป่วยหนักและอยู่คนเดียว (บอกตรงๆ ส่วนนี้คือข้อกังวลที่ทำให้ผมเขียนกระทู้นี้ครับ) กรณีนี้มี 2 ทางเลือก
กรณีที่ 2 ทางเลือกที่ 1
คุยกับแฟนแล้ว แฟนบอกว่า "ถ้าคนแก่จริงๆ เป็นตายขับขันจริงๆ เป็นใคร ใครก็สงสาร" ผมก็ดีใจแต่แอบกังวล เลยลองคิดดูว่ากรณีนั้นจะมาถึงในอีกประมาณกี่ปี จากที่ดูต่าเฉลี่ยความแข็งแรงของครอบครัวตัวเองพบว่า แม่น่าจะแก่มากกับป่วยบ่อยๆ ชนิดต้องการคนดูแล ก็น่าจะราวๆ 70 ปี นั้นคือ ราวๆ 20-25 ปีต่อจากนี้ ตอนนั้นผมกับแฟนก็อายุราวๆ 45-50 ปี. ตอนนั้น คาดว่า คงมีฐานะขึ้นมาอีก คาดว่าจะขายบ้านหลังนี้ที่ผมซื้อเอง ไปซื้อบ้านใหม่คู่กับแฟนคงได้ หลังใหญ่กว่าเดิม อยู่กันหลายคน คงไม่อึดอัด กับจ้างพยาบาล หรือ คนธรรมดามาอยู่เป็นเพื่อน ดูแลท่านควบคู่ไปกับผมกับแฟน. คาดว่าเมื่อผมกับแฟนอายุ 45-50 เรื่องแม่แก่ชรา หรือ ป่วยหนัก อยู่บ้านด้วยกัน อาจมีผลกระทบต่อชีวิตคู่น้อยลง จะหวานกันพอดีๆกันคงไม่ได้สนใจแม่มากนัก เพราะแม่ก็วัฒฯธรรมฝรั่ง เรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้ใครใหญ่กว่า ผมเชื่อว่า อาจไม่ตึงนัก และคงคุยด้วยเหตุผลกันได้ เพราะต่างคนต่างอายุเยอะกันแล้ว
และคิดว่าแฟนกับผมผ่านร้อนหนาวกันมานาน เชื่อ ว่าเราสองคนจะแก้ปัญบหาด้วยกันได้ครับ
ทางเลือกนี้มีความเสี่ยงเรื่องความสามารถในการหาเลี้ยงชีพของผมเอง
กรณีที่ 2 ทางเลือกที่ 2
ถ้าชีวิตตอนอายุ 45-50 ปี ผมกับแฟนตกอับ แล้วแม่อายุราวๆ 70 ปี ทำตามขั้นตอนที่ 1 ไม่ได้ ก็ต้องให้ท่านมาอยู่ด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า
แม้ว่าผมเองตอนนี้ไม่ได้รักแม่ แต่ก็ไม่อยากให้เรื่องนี้จบแบบมีผู้หญิงแก่ๆคนนึง นอนตายในบ้านเก่าๆคนเดียว ไร้คนเหลียวมอง ทั้งที่ๆเราสามารถห้ามเหตุการณืนั้นได้ แม้แม่เขาทิ้งผมไปนาน แต่พอแกแก่ไปคงทรมารพอแล้วกับสิ่งที่ทำ เหมือนนักโทษพ้นคุก ผมก็ควรเห็นใจ
ผมไม่อยากมีตราบาปตรงนั้น ไว้หลอกหลอนตัวเอง ตอนมีลูก ตอนแก่ หรือ ตอนกำลังจะหลับตาลงเพื่อตาย
ซึ่งคุยกันดีๆกับแฟน เขาก็เข้าใจ เราสุขเขาสุขกว่า เราลำบากเขาอยู่ข้างกัน แล้วเขาก็สงสารเช่นกัน ก็เลยตกลงกันว่า เราสองคนต้องช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อตัวเองและครอบครัว ไม่ประมาทกับชีวิตแม้อายุยังน้อยครับ
ขอขอบคุณแฟนที่ยอมรับความเสี่ยงและการเสียสละ ไว้ที่ต้องนี้ด้วยครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
ผมว่าแฟนน้องพูดถูกแล้วนะครับ
ผมไม่เคยแนะนำให้อกตัญญู แต่ถ้าน้องจะคิดเรื่องบุญคุณแม่ ให้คิดถึงผลจากการกระทำของแม่ด้วย
แม่เองก็ทิ้งแม่(ยาย) ของตัวเองไป
อันนี้ตัวน้องเองรับดูแลแม่ ก็ดีอยู่แล้ว แฟนเขาก็บอกว่าถ้าอยู่คนละบ้านไปหาบ่อยๆ เขาก็โอเค
แต่น้องกลับมีปัญหา รุนแรงเอง โดยเอาคำว่ากตัญญูเป็นใหญ่
ขอให้รู้ไว้เลยนะ คนเป็นผู้ใหญ่มักจะคิดว่าตัวเองถูกเสมอ
และน้องเองวันหนึ่งก็จะเป็นผู้ใหญ่ วันไหนถ้ามีครอบครัวมีลูกได้แล้ว ย้อนมาเอากระทู้นี้อ่านดูนะ
น้องจะอยู่กับทายาทของน้องที่มีครอบครัวแล้วยาก
ไม่ว่าใครก็ตามถ้าต้องอยู่ร่วมกันกับผู้ปกครองของอีกฝ่าย มีปัญหาตามมาไม่มากก็น้อย
เพราะทุกคนจะเปรียบเทียบกับตัวเอง
แฟนน้องก็ไม่อยากเลิกกับน้องหรอก แต่น้องนั่นแหล่ะแสดงให้เขาเห็นว่าน้องมองว่าแฟนไม่สำคัญ
ไม่เลิกวันนี้วันหน้าเลิกกันแน่นอน ยิ่งมีลูก ความโชคร้ายจะตกที่ลูก
อีก 1 คำเตือน พ่อแม่ไม่นานก็เสียชีวิตน่ะจริง แต่ตอนที่อยู่ร่วมกันอาจจะทำให้ครอบครัวพังได้
และถ้าเลือกเลิกกับแฟนที่ดีๆไปในวันนี้ ต่อไปจะไม่เหลือใคร
แฟนดีๆ น่ะหายากยิ่งกว่าถูกหวย
ผมไม่เคยแนะนำให้อกตัญญู แต่ถ้าน้องจะคิดเรื่องบุญคุณแม่ ให้คิดถึงผลจากการกระทำของแม่ด้วย
แม่เองก็ทิ้งแม่(ยาย) ของตัวเองไป
อันนี้ตัวน้องเองรับดูแลแม่ ก็ดีอยู่แล้ว แฟนเขาก็บอกว่าถ้าอยู่คนละบ้านไปหาบ่อยๆ เขาก็โอเค
แต่น้องกลับมีปัญหา รุนแรงเอง โดยเอาคำว่ากตัญญูเป็นใหญ่
ขอให้รู้ไว้เลยนะ คนเป็นผู้ใหญ่มักจะคิดว่าตัวเองถูกเสมอ
และน้องเองวันหนึ่งก็จะเป็นผู้ใหญ่ วันไหนถ้ามีครอบครัวมีลูกได้แล้ว ย้อนมาเอากระทู้นี้อ่านดูนะ
น้องจะอยู่กับทายาทของน้องที่มีครอบครัวแล้วยาก
ไม่ว่าใครก็ตามถ้าต้องอยู่ร่วมกันกับผู้ปกครองของอีกฝ่าย มีปัญหาตามมาไม่มากก็น้อย
เพราะทุกคนจะเปรียบเทียบกับตัวเอง
แฟนน้องก็ไม่อยากเลิกกับน้องหรอก แต่น้องนั่นแหล่ะแสดงให้เขาเห็นว่าน้องมองว่าแฟนไม่สำคัญ
ไม่เลิกวันนี้วันหน้าเลิกกันแน่นอน ยิ่งมีลูก ความโชคร้ายจะตกที่ลูก
อีก 1 คำเตือน พ่อแม่ไม่นานก็เสียชีวิตน่ะจริง แต่ตอนที่อยู่ร่วมกันอาจจะทำให้ครอบครัวพังได้
และถ้าเลือกเลิกกับแฟนที่ดีๆไปในวันนี้ ต่อไปจะไม่เหลือใคร
แฟนดีๆ น่ะหายากยิ่งกว่าถูกหวย
ความคิดเห็นที่ 4
เป็นเราก็ลา ไม่เกี่ยวกับว่าแม่สามีเลี้ยงมาดีมาก หรือเคยทิ้งขว้างลูกมายังไง
ถ้าแฟนเรายืนยันจะเอาแม่มาอยู่หลังเดียวกัน เราคงไม่แต่ง
อย่างเรา ถ้ารักแม่มาก เราจะตอบแทนแม่ด้วยการหาบ้านดี ๆ ใกล้ ๆ เรา ให้เค้าอยู่เป็นส่วนตัว
หาคนดูแลแม่ 1 คน มีญาติมีเพื่อนมาหาเค้าก็รับแขกได้เต็มที่ และเค้าก็ไม่ต้องเกรงใจสามีเรา
สามีเราก็ไม่ต้องอึดอัด
เราคิดแบบนี้เพราะแม่เราเลี้ยงมาแบบนี้ เค้าประกาศตั้งแต่เรายังไม่มีแฟน ว่าแม่จะไม่ไปอยู่กับลูกคนไหน
เราก็นิสัยเหมือนแม่ ต่อให้ลำบากแค่ไหนต้องอยู่ห้องแคบ ๆ ยังไง ก็ขอเราอยู่แบบเราเป็นใหญ่สุดในบ้าน
คืออยากทำอะไรก็ทำ จะให้ไปอาศัยลูกอยู่ ต้องแคร์และเกรงใจเขยสะใภ้ จ้างให้ก็ไม่เอา
แถมไปสร้างความลำบากใจให้พวกเค้าอีก เค้าจะทำอะไรก็ไม่สะดวก เพราะเราเนี่ยนะ เราทำใจไม่ได้
แม่สามีเรายิ่งแล้วใหญ่ เค้าชอบอยู่คนเดียว เพราะเค้าเป็นตัวของตัวเองมานานแล้ว ขนาดสามีตายตั้งแต่
ยังสาว (40) มีคนจีบเยอะแต่ไม่เอาใคร เพราะไม่อยากเสียความเป็นส่วนตัว
กรณีคุณนี่แม่ยังไม่ทันจะขอมาอยู่ด้วยเลย ปัญหายังไม่ทันจะเกิดก็ทำเป็นปัญหาซะแล้ว แต่ก็ดีที่คุยกันก่อน
จะได้รู้เรื่องกันแต่แรก
ถ้าแฟนเรายืนยันจะเอาแม่มาอยู่หลังเดียวกัน เราคงไม่แต่ง
อย่างเรา ถ้ารักแม่มาก เราจะตอบแทนแม่ด้วยการหาบ้านดี ๆ ใกล้ ๆ เรา ให้เค้าอยู่เป็นส่วนตัว
หาคนดูแลแม่ 1 คน มีญาติมีเพื่อนมาหาเค้าก็รับแขกได้เต็มที่ และเค้าก็ไม่ต้องเกรงใจสามีเรา
สามีเราก็ไม่ต้องอึดอัด
เราคิดแบบนี้เพราะแม่เราเลี้ยงมาแบบนี้ เค้าประกาศตั้งแต่เรายังไม่มีแฟน ว่าแม่จะไม่ไปอยู่กับลูกคนไหน
เราก็นิสัยเหมือนแม่ ต่อให้ลำบากแค่ไหนต้องอยู่ห้องแคบ ๆ ยังไง ก็ขอเราอยู่แบบเราเป็นใหญ่สุดในบ้าน
คืออยากทำอะไรก็ทำ จะให้ไปอาศัยลูกอยู่ ต้องแคร์และเกรงใจเขยสะใภ้ จ้างให้ก็ไม่เอา
แถมไปสร้างความลำบากใจให้พวกเค้าอีก เค้าจะทำอะไรก็ไม่สะดวก เพราะเราเนี่ยนะ เราทำใจไม่ได้
แม่สามีเรายิ่งแล้วใหญ่ เค้าชอบอยู่คนเดียว เพราะเค้าเป็นตัวของตัวเองมานานแล้ว ขนาดสามีตายตั้งแต่
ยังสาว (40) มีคนจีบเยอะแต่ไม่เอาใคร เพราะไม่อยากเสียความเป็นส่วนตัว
กรณีคุณนี่แม่ยังไม่ทันจะขอมาอยู่ด้วยเลย ปัญหายังไม่ทันจะเกิดก็ทำเป็นปัญหาซะแล้ว แต่ก็ดีที่คุยกันก่อน
จะได้รู้เรื่องกันแต่แรก
ความคิดเห็นที่ 26
ผมเป็นแฟนคุณ ผมเลิกนะ
ไม่รอให้คุณเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนการตัดสินใจด้วย
อนาคตของความเป็นครอบครัว มันต้องดูแลกัน ช่วยเหลือกัน
ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ไขและหาทางออก
นี่ยังไม่ทันไร
คุณก็จับเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่
ไม่ยอมรับ ไม่ฟังความเห็น เหตุผลของคนที่จะใช้ชีวิตเป็นครอบครัวเดียวกันในอนาคตเลย
คุณไม่ได้จะกตัญญูอะไรหรอก
ผมมองว่าคุณแค่มีความรู้สึกขาด แล้ววันนึงสิ่งที่ขาดหายไป มันกลับคืนมา
คุณเลยจะรีบคว้าไว้ เพราะกลัวจะเสียมันไปอีก โดยไม่สนใจคำท้วงติงของคนรอบข้างว่าเค้าจะรู้สึกยังไง
และประเมินอนาคตไว้ว่ายังไง
ดีใจกับ (อดีต) แฟนคุณด้วยครับ
ที่ไม่ต้องเสียเวลามากไปกว่านี้
ไม่รอให้คุณเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนการตัดสินใจด้วย
อนาคตของความเป็นครอบครัว มันต้องดูแลกัน ช่วยเหลือกัน
ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ไขและหาทางออก
นี่ยังไม่ทันไร
คุณก็จับเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่
ไม่ยอมรับ ไม่ฟังความเห็น เหตุผลของคนที่จะใช้ชีวิตเป็นครอบครัวเดียวกันในอนาคตเลย
คุณไม่ได้จะกตัญญูอะไรหรอก
ผมมองว่าคุณแค่มีความรู้สึกขาด แล้ววันนึงสิ่งที่ขาดหายไป มันกลับคืนมา
คุณเลยจะรีบคว้าไว้ เพราะกลัวจะเสียมันไปอีก โดยไม่สนใจคำท้วงติงของคนรอบข้างว่าเค้าจะรู้สึกยังไง
และประเมินอนาคตไว้ว่ายังไง
ดีใจกับ (อดีต) แฟนคุณด้วยครับ
ที่ไม่ต้องเสียเวลามากไปกว่านี้
ความคิดเห็นที่ 34
เราเห็นด้วยกับแฟนคุณ
อีกอย่างนะ ผช เมื่อมีครอบครัวของตัวเองแล้ว ครอบครัวของตัวเอง (ลูกเมีย) ต้องมาก่อน
ถ้าคิดว่าอนาคตอาจจะเลิกกับแฟน เพราะแฟนไม่เห็นด้วยที่จะเอาแม่มาอยู่ด้วย เลิกไปเลยตั้งแค่ตอนยังไม่มีลูกค่ะ อย่าทำให้ชีวิตผญ เสียหาย ถ้ารับผิดชอบดูแลครอบครัวไม่ได้รีบเลิกก่อนผญจะเป็นม่ายลูกติด
ปล. เราก็คนจีน แต่บ้านไม่เคยสอนให้ต้องรักพ่อแม่ถ้าพ่อแม่ไม่ดี ที่บ้านความรักสร้างมาด้วยความดี ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็รักกัน และแม่เราสอนเสมอว่าลูก ผช ถ้าแต่งงานแล้ว ต้องเอาครอบครัวตัวเองก่อน
อีกอย่างนะ ผช เมื่อมีครอบครัวของตัวเองแล้ว ครอบครัวของตัวเอง (ลูกเมีย) ต้องมาก่อน
ถ้าคิดว่าอนาคตอาจจะเลิกกับแฟน เพราะแฟนไม่เห็นด้วยที่จะเอาแม่มาอยู่ด้วย เลิกไปเลยตั้งแค่ตอนยังไม่มีลูกค่ะ อย่าทำให้ชีวิตผญ เสียหาย ถ้ารับผิดชอบดูแลครอบครัวไม่ได้รีบเลิกก่อนผญจะเป็นม่ายลูกติด
ปล. เราก็คนจีน แต่บ้านไม่เคยสอนให้ต้องรักพ่อแม่ถ้าพ่อแม่ไม่ดี ที่บ้านความรักสร้างมาด้วยความดี ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็รักกัน และแม่เราสอนเสมอว่าลูก ผช ถ้าแต่งงานแล้ว ต้องเอาครอบครัวตัวเองก่อน
แสดงความคิดเห็น
ชีวิตคู่กับการให้แม่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านกับแฟน
ผมผ่านปัญหานี้ได้แล้ว จากการที่ได้คุยกับ คนในครอบครัวครับโดยเฉพาะคุยกับแฟน
ฉะนั้นเลยอยากแชร์ ผมอยากนำเสนอแนวคิดส่วนตัวหากคุณเจอเหตุการณ์เดียวกับผม หรือกำลังมีปัญหาชีวิตหรือครอบครัวอยู่ว่าทำไงดี
สิ่งที่คุณควรทำ
0) อย่าโพสลงโลกออนไล เพราะ ตอนนี้จิตใจคุณไม่ปรกติ อาจรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว รู้สึกแบกโลกทั้งใบ ไม่รู้จะคุยกับใคร เลยคิดหาเพื่อนออนไล คำตอบที่คุณได้รับมันจะอ้างอิงจากประสบการณ์ของเขา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันจะทำให้คุณรู้สึกสับสน จิตตกได้ และที่สำคัญเขารู้จักเราแค่ตัวหนังสือที่เราพิมพ์ อย่าลืมว่าเรามีชีวิตมานานกว่าเวลาที่เขาใช้ในการอ่านคอมเม้นเรา
ถ้าเราเจอคนให้กำลังใจก็ดีไป แบบเป็นผู้ฟังที่ดีก็ดีไป หรือเราเจอคำพูดที่รู้สึกว่า-ดันหรือตัดสินเรา แล้วเราตอบโต้ นั้นก็คือ เราอาจกำลังตอบโต้ด้วยใจที่ไม่เป็นปรกติของเรา เพราะเรากำลังอยู่ในภวังค์ของปัญหาอยู่มันอาจจะไม่ดีเท่าไหร่ และไม่มีประโยชน์อะไรต่อคุณเลย
1) คุณอาจแค่ต้องการคนรับฟังปัญหาคุณครับ แบบฟังเฉยๆ คุณก็หาคนคุยครับ คุยกันแบบต่อหน้าเลยครับจะพ่อ แม่ เพื่อน แฟน ใครก็ได้ที่คุยแล้วคุณได้พูดมากกว่าฟังครับ ไม่จำเป็นเพื่อคุยให้ได้ทางออกครับ คุยให้คุณผ่อนคลาย ทางใจและทางอารม ให้สติคุณกลับมา ตัดสินใจคุยกับใครสักคนเลยครับ พูดออกไปเลย แล้วคุณจะเข้าใจเองว่าคุณมีครอบครัวที่พร้อมรับฟังอยู่เสมอ อาจจะไม่ใช่พ่อแม่ตรงๆ อาจเป็น แฟน เป็นน้อง ลุงป้า น้า อา ครู อาจารย์ ญาติผู้ใหญ่
2) พอคุณได้ระบายคุณจะมีสติมากขึ้น พอคุณผ่านพ้นภวังค์ของความทุกข์ คุณจะตัดสินใจได้ดีขึ้นครับ คุณก็ค่อยคุณกับคนในครอบครัวหรือคนสนิทอีกครั้ง แต่ทีนี้เป็นการคุยเพื่อหาทางออกครับ ตอนนั้นคุณจะพร้อมรับมือกับปัญหา แล้วคุณจะเจอทางออกที่ดีครับ
ทุกปัญหามีทางออกครับ เวลาเจอปัญหา ทางออกแรกที่ควรหาคือทางออกจากความทุกข์ในภวังค์ของปัญหาครับ จากนั้น ค่อยหาทางแก้ปัญหา