ปรับกำไรเพิ่มตามแนวโน้มสินเชื่อที่ดีขึ้น
เราปรับกำไร KTC อีก 6% ปี 2562 เป็น 5.9 พันล้านบาท และ 8%ปี 2563 เป็น 6.5 พันล้านบาท เนื่องจากเราคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อสูงกว่าประมาณการเดิมของเรา จาก 5% สำหรับทั้งปี 2562 และ 2563 มาอยู่ที่ 7% สำหรับทั้งสองปีดังกล่าว ดังนั้นทำให้เราปรับราคาเป้าหมายปี 2562 สูงขึ้น 7% มาอยู่ที่ 46 บาท อ้างอิงจากPBV ที่ 5.3 เท่า หรือ PE ที่ 20 เท่า (ROE อยู่ที่ 26.3%, Ke อยู่ที่ 9% และ growth อยู่ที่ 5%) เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น KTC
การขยายธุรกิจเชิงรุกหนุนสินเชื่อโตดีกว่าเราคาด
KTC ตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 10% ในปี 2562 จาก 6% ในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ finco ได้ตั้งงบประมาณสำหรับการตลาดอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท (ทรงตัว YoY) โดยตั้งเป้าทำการตลาดในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม, การประกันภัย, การแพทย์, โรงแรมและการบริการ นอกจากนี้บริษัทกำลังจะจัดหาลูกค้าใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์, สาขา และผ่านทางธนาคารกรุงไทย (ผู้ถือหุ้นหลัก) เราจึงปรับเพิ่มการประมาณการการเติบโตของสินเชื่อของเราจาก 5% สำหรับปี 2562 และ 2563 มาอยู่ที 7% สำหรับทั้งสองปีดังกล่าว ดังนั้นการคาดการณ์กำไรของเราเติบโต 6% ในปี 2562 มาอยู่ที่ 5.9 พันล้านบาท และ 8% สำหรับปี 2563 มาอยู่ที่ 6.5 พันล้านบาท
คาดกำไรไตรมาส 1/62 โต 15%...มีอัพไซด์สำรองหนี้สูญที่อาจลดลง
เราคาดว่า KTC จะรายงานการเติบโตของสินเชื่อที่ 7% YoY สำหรับในไตรมาส 1/62 มาอยู่ที่ 7 หมื่นล้านบาท หนุนโดยสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยคาดว่าอยู่ที่ 23.2% เพิ่มขึ้น 76bpsYoY หนุนโดยการขยายตัวของสินเชื่อ และการจัดการต้นทุนทางการเงินที่ดี การประมาณการของเราบ่งชี้ว่ากำไรอยู่ที่ 1.39 พันล้านบาทสำหรับในไตรมาสนี้ สูงขึ้น 15% YoY และ 13% QoQ เราประมาณการว่า KTC จะตั้งสำรองหนี้สูญฯสุทธิ (หักหนี้สูญรับคืน) อยู่ที่ 690 ล้านบาท สูงขึ้น22% YoY และทรงตัว QoQ หาก finco ตั้งสำรองหนี้สูญฯในไตรมาส1/62 ต่ำกว่าที่เราคาดการณ์จะเป็นโอกาสในการอัพไซด์การประมาณการกำไรของเรา ทั้งนี้ในปลายปี 2561 บริษัทมีอัตราค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสูงที่สุดในกลุ่มการเงินอยู่ที่ 616% มากพอที่จะรองรับมาตรฐานการบัญชี IFRS9 ซึ่งมีกำหนดจะเริ่มใช้ในเดือนม.ค. ปี 2563
ธุรกิจ พิคโกไฟแนนซ์ เปิดโอกาสในการอัพไซด์ประมาณการในปีหน้า
KTC จัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ที่จะดำเนินงานธุรกิจ pico-finance ซึ่งบริษัทจะถือหุ้น 75% ของการร่วมทุนในครั้งนี้ โดย KTB จะถือหุ้นที่เหลือ25% ธุรกิจ pico-finance คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ผลิตภัณฑ์จะมีอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 36% ต่อปี (เพดานอัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิตอยู่ที่ 18% และเพดานสินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ 28%) KTC จะเริ่มต้นจากการทำการตลาดผลิตภัณฑ์ pico-finance สู่ฐานลูกค้าสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอยู่ 0.93 ล้านบัญชี การดำเนินการธุรกิจ pico-lending ที่ประสบความสำเร็จจะอัพไซด์ต่อการประมาณการกำไรของเราเนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยขยายตัว ในปัจจุบันเราคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในปี2562 อยู่ที่ 24.0% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 23.4% ในปีที่แล้ว
ผู้บริหารวางแผนที่จะตั้งธุรกิจ e-wallet และ payment gateway (KTB จะถือหุ้น 25%) ซึ่งส่งผลให้ KTC เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่จะกลายเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ e-payment / m-payment ที่สำคัญและสามารถสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมใหม่ของกิจการในระยะยาวทั้งในประเทศ และต่างประเทศ หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดสัญญาความร่วมมือในการโอนชำระค่าสินค้าบริการในกลุ่ม CLMV ทั้งนี้ในประมาณการเรายังไม่ได้สะท้อนการร่วมทุนดังกล่าว เนื่องจากบริษัทจะต้องใช้เวลาในการประเมินว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/831791
โบรกเกอร์เพิ่ม fair value หุ้น KTC เป็น 46 บาท กำไรโตก้าวกระโดด
เราปรับกำไร KTC อีก 6% ปี 2562 เป็น 5.9 พันล้านบาท และ 8%ปี 2563 เป็น 6.5 พันล้านบาท เนื่องจากเราคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อสูงกว่าประมาณการเดิมของเรา จาก 5% สำหรับทั้งปี 2562 และ 2563 มาอยู่ที่ 7% สำหรับทั้งสองปีดังกล่าว ดังนั้นทำให้เราปรับราคาเป้าหมายปี 2562 สูงขึ้น 7% มาอยู่ที่ 46 บาท อ้างอิงจากPBV ที่ 5.3 เท่า หรือ PE ที่ 20 เท่า (ROE อยู่ที่ 26.3%, Ke อยู่ที่ 9% และ growth อยู่ที่ 5%) เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น KTC
การขยายธุรกิจเชิงรุกหนุนสินเชื่อโตดีกว่าเราคาด
KTC ตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 10% ในปี 2562 จาก 6% ในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ finco ได้ตั้งงบประมาณสำหรับการตลาดอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท (ทรงตัว YoY) โดยตั้งเป้าทำการตลาดในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม, การประกันภัย, การแพทย์, โรงแรมและการบริการ นอกจากนี้บริษัทกำลังจะจัดหาลูกค้าใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์, สาขา และผ่านทางธนาคารกรุงไทย (ผู้ถือหุ้นหลัก) เราจึงปรับเพิ่มการประมาณการการเติบโตของสินเชื่อของเราจาก 5% สำหรับปี 2562 และ 2563 มาอยู่ที 7% สำหรับทั้งสองปีดังกล่าว ดังนั้นการคาดการณ์กำไรของเราเติบโต 6% ในปี 2562 มาอยู่ที่ 5.9 พันล้านบาท และ 8% สำหรับปี 2563 มาอยู่ที่ 6.5 พันล้านบาท
คาดกำไรไตรมาส 1/62 โต 15%...มีอัพไซด์สำรองหนี้สูญที่อาจลดลง
เราคาดว่า KTC จะรายงานการเติบโตของสินเชื่อที่ 7% YoY สำหรับในไตรมาส 1/62 มาอยู่ที่ 7 หมื่นล้านบาท หนุนโดยสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยคาดว่าอยู่ที่ 23.2% เพิ่มขึ้น 76bpsYoY หนุนโดยการขยายตัวของสินเชื่อ และการจัดการต้นทุนทางการเงินที่ดี การประมาณการของเราบ่งชี้ว่ากำไรอยู่ที่ 1.39 พันล้านบาทสำหรับในไตรมาสนี้ สูงขึ้น 15% YoY และ 13% QoQ เราประมาณการว่า KTC จะตั้งสำรองหนี้สูญฯสุทธิ (หักหนี้สูญรับคืน) อยู่ที่ 690 ล้านบาท สูงขึ้น22% YoY และทรงตัว QoQ หาก finco ตั้งสำรองหนี้สูญฯในไตรมาส1/62 ต่ำกว่าที่เราคาดการณ์จะเป็นโอกาสในการอัพไซด์การประมาณการกำไรของเรา ทั้งนี้ในปลายปี 2561 บริษัทมีอัตราค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสูงที่สุดในกลุ่มการเงินอยู่ที่ 616% มากพอที่จะรองรับมาตรฐานการบัญชี IFRS9 ซึ่งมีกำหนดจะเริ่มใช้ในเดือนม.ค. ปี 2563
ธุรกิจ พิคโกไฟแนนซ์ เปิดโอกาสในการอัพไซด์ประมาณการในปีหน้า
KTC จัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ที่จะดำเนินงานธุรกิจ pico-finance ซึ่งบริษัทจะถือหุ้น 75% ของการร่วมทุนในครั้งนี้ โดย KTB จะถือหุ้นที่เหลือ25% ธุรกิจ pico-finance คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ผลิตภัณฑ์จะมีอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 36% ต่อปี (เพดานอัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิตอยู่ที่ 18% และเพดานสินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ 28%) KTC จะเริ่มต้นจากการทำการตลาดผลิตภัณฑ์ pico-finance สู่ฐานลูกค้าสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอยู่ 0.93 ล้านบัญชี การดำเนินการธุรกิจ pico-lending ที่ประสบความสำเร็จจะอัพไซด์ต่อการประมาณการกำไรของเราเนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยขยายตัว ในปัจจุบันเราคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในปี2562 อยู่ที่ 24.0% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 23.4% ในปีที่แล้ว
ผู้บริหารวางแผนที่จะตั้งธุรกิจ e-wallet และ payment gateway (KTB จะถือหุ้น 25%) ซึ่งส่งผลให้ KTC เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่จะกลายเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ e-payment / m-payment ที่สำคัญและสามารถสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมใหม่ของกิจการในระยะยาวทั้งในประเทศ และต่างประเทศ หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดสัญญาความร่วมมือในการโอนชำระค่าสินค้าบริการในกลุ่ม CLMV ทั้งนี้ในประมาณการเรายังไม่ได้สะท้อนการร่วมทุนดังกล่าว เนื่องจากบริษัทจะต้องใช้เวลาในการประเมินว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/831791