กสทช.จ่อเก็บภาษี OTT

"กสทช.เสนอแนวทางจัดเก็บรายได้ OTT โดยคำนวณจากการปริมาณทราฟฟิกที่ใช้งาน เนื่องจากเป็นการใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของประเทศ เมื่อเร็วๆนี้ ได้มีการจัดงาน 5G ปลุกไทยที่ 1 อาเซียน ณ ห้องประชุม อาคารมหิตลาธิเบศร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ 5G ปลุกไทยที่ 1 อาเซียน ในงานนี้ โดยสรุปสาระสำคัญได้ 3 ประเด็น ถึงเหตุผลที่ทำไมเราต้องทำให้ 5G เกิดขึ้นในประเทศไทย เพื่อปลุกไทยให้เป็นที่ 1 ในอาเซียน

ประเด็นแรก ดูจากการลงทุนของต่างประเทศที่มาลงทุนของประเทศในอาเซียน ตั้งแต่ปี 2553 จะพบว่าการลงทุนของกลุ่มประเทศต่างๆ ที่มาลงทุนในอาเซียน ประเทศไทยมีสถิติที่ต่ำกว่าประเทศอื่นมาก แต่เริ่มมามีเม็ดเงินลงทุนที่สูงขึ้นในปี 2559 – 2561 แต่เมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์กับประเทศอื่น ยังพบว่ามีอัตราส่วนที่น้อยกว่าประเทศอื่น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนาม ดังนั้น ถ้าเราไม่ทำ 5G ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยโดยเร็ว เพื่อลดต้นทุนการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศให้เพิ่มมากขึ้น ก็จะมีผลต่อการดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น หากเราไม่ทำ 5G โดยเร็วจะทำให้ประเทศไทยเป็นรองเวียดนามและอินโดนีเซียต่อไป ดังนั้น จึงเห็นว่าประเทศไทยต้องทำ 5G ให้เกิดขึ้นเพื่อปลุกไทยให้เป็นที่ 1 ในอาเซียนให้ได้

      ประเด็นที่ 2 เมื่อ 5G เกิดขึ้นแล้ว จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้นกับประเทศไทยประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น ภาคเกษตรกรรมประมาณ เกือบ 1 แสนล้านบาท จะมีสมาร์ทฟาร์มมิ่งเกิดขึ้น ภาคการขนส่งประมาณ 1.2 แสนกว่าล้านบาท ภาคการผลิตซึ่งเป็นภาคที่มีความสำคัญ จะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 6 แสนกว่าล้านบาท และภาคที่สำคัญอีกภาคหนึ่งคือภาคสาธารณสุข จะสามารถลดค่าใช้จ่ายของรัฐในการที่จะต้องจ่ายเงินเพื่อที่จะสนับสนุนเรื่องค่ารักษาพยาบาลต่ำลงได้เฉลี่ยปีหนึ่ง ประมาณ 3.8 หมื่นล้านบาทต่อปี

โดยสังคมไทยในปี 2565 จะเข้าสู่เป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ โดยประเทศจะประชากรมีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป คิดเป็นประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมดทั่วประเทศ หากประเทศไทยยังไม่มี SMART HOSPITAL เกิดขึ้น จะทำให้การรักษาในประเทศไทยยังคงใช้ระบบเดิมที่ประชาชนต้องเดินทางไปหาหมอเพื่อรักษาที่โรงพยาบาล โดยถ้ามี 5G 4 โรค คือ โรคตา โรคความดัน โรคผิวหนัง และโรคเบาหวานนั้น ประชาชนก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปหาหมอที่โรงพยาบาลแต่สามารถรับการตรวจและคำแนะนำ การรักษา ผ่านระบบ SMART HOSPITAL โดยใช้เทคโนโลยี 5G ได้เลย นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่จะต้องทำ 5G ให้เกิดขึ้นในเมืองไทย นอกจากจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยแล้ว ยังรองรับสังคมผู้สูงอายุที่ รวมถึงลดต้นทุนด้านสาธารณสุขของประเทศด้วย

     ประเด็นที่ 3 เมื่อ 5G เกิดขึ้น มีการคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณการใช้งานดาต้าเพิ่มมากขึ้นถึงประมาณ 40 เท่าของการใช้งานในระบบ 3G และ 4G ซึ่งในปัจจุบันพบว่าการใช้งานของดาต้า 3G และ 4G เฉลี่ย ของปี 2561 มีการใช้งานดาต้าประมาณ 6 ล้านเทราไบต์ต่อปี ประเด็นที่ท้าทายคือ รัฐจะดำเนินการอย่างไรถึงจะจัดเก็บเงินรายได้จากการใช้งานดังกล่าว ผมจึงเสนอหลักการว่า หากรัฐจะจัดเก็บเงินรายได้จากการใช้งานปริมาณทราฟฟิกที่นำเข้ามาใช้งานเพราะถือว่าเป็นการใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของประเทศซึ่งต้องมีการพัฒนาและบำรุงรักษาอยู่ตลอดเวลา หลักการดังกล่าวคือ กสทช. จะให้ผู้บริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ระหว่างประเทศจัดทำรายละเอียดของการใช้งานทราฟฟิกที่นำเข้าจากต่างประเทศว่ามีปริมาณหรือจำนวนเท่าใด ทั้งนี้สำนักงาน กสทช. จะยกร่างหลักเกณฑ์ต่างๆ ในการใช้งานทราฟฟิกที่นำมาใช้งานในประเทศ ในระดับใดหรือจำนวนเท่าใดที่จะใช้งานได้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน ขนาดหรือจำนวนเท่าใดถึงจะกำหนดว่าเป็นประเภทธุรกิจ ซึ่งในกรณีที่เป็นธุรกิจที่จะต้องกำหนดต่อไปว่าเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ กสทช. จะกำหนดให้ผู้ที่นำเข้าทราฟฟิกในปริมาณมากจะต้องมาจ่ายค่าใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของประเทศ ทั้งนี้จะต้องไม่ส่งผลกระทบกับประชาชน แต่ในทางตรงกันข้ามจะส่งผลดีต่อรายได้ของประเทศในภาพรวมต่อไป

ที่มา https://www.thansettakij.com/content/398677
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่