สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน ตามล่าฝันกับแสงเหนือที่ไอซ์แลนด์ (Iceland) ตอนที่หนึ่ง สามารถย้อนอ่านได้ที่นี่ครับ
หลังจากที่เราแวะถ่ายรูปกันเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราก็มาถึงน้ำตก Bruarfoss ครับ ที่เคยกล่าวไว้ตอนต้นว่า Googlep map นั้นได้พาเราไปผิดที่เพราะว่า Google map นั้นจะให้เราเข้าไปยังถนนส่วนบุคคลครับ ซึ่งสมัยก่อนนั้นจะขับรถเข้าไปได้แต่ปัจจุบันนั้นเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลมีทั้งบ้านคนและโรงแรมทำให้เราต้องจดรถไว้และเดินเท้าเข้าไป ถ้าขับแบบทวนเข็มจะอยู่ก่อนจุดที่ Google map บอกประมาณ 700 ม. (จะเห็นรถจอดเยอะๆเลยครับ หาไม่ยาก) หรือดูตาม VLOG ของผมได้เช่นเคยนะครับ ที่ ohm channel ทาง Youtube
ระหว่างที่เราเดินเลียบลำธารเป็นระยะทางประมาณ 4 กม. ก็จะพบกับลำธารสวยๆแบบนี้ไปตลอดทางเลยครับ
ถ้าเดินมาถึงตรงนี้ก็อีกประมาณ 1 กม. ก็จะถึงแล้วครับ
Sony a7iii+16-35 GM
และนี่คือน้ำตก Brurarfoss ที่ขึ้นชื่อครับ สำหรับการถ่ายรูปที่ Iceland นั้นควรมีขาตั้งกล้องไปด้วยนะครับ แนะนำรุ่นที่แข็งแรงๆเลย เพราะว่าต้องเจอกับสภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้เลยจริงๆ รวมไปถึงการถ่ายแสงเหนือนั้นต้องใช้ขาตั้งกล้องที่มันคงนิดนึงนะครับ ถ้าไม่มันคงแล้วรับรองล่วงครับ เห็นของนักท่องเที่ยวหลายๆคนล้มระเนระนาดต่อหน้าต่อตาผมเลยครับ เรื่องของการถ่ายภาพนั้น เดี๋ยวจะมาบอกเป็นระยะๆในแต่ละวันแต่ละภาพนะครับว่าวิธีการถ่ายของผมนั้นเป็นอย่างไร ส่วนภาพนี้ใช้ BigStopper ( ND1000) เพื่อลากน้ำตกให้เป็นเส้นๆครับ
อะไปยังสถานทีต่อไปกันเลยครับ สถานที่ต่อไปที่เราจะไปนั้นชื่อว่า Geysir เป็นเหมือนบ่อน้ำพุร้อนที่เมื่อถึงเวลาน้ำจะพุ่งขึ้นจากฟ้าลอยไปในอากาศครับ ปล.สำหรับใครที่อยากจะเข้าห้องน้ำแนะนำที่นี่ครับมีห้องน้ำฟรี ไม่เสียเงิน มีคาเฟ่ ขนม กาแฟ ให้ทุกท่านได้เลือกทานหรือพักผ่อนได้ ซึ่งห่างไม่ไกลจากน้ำตก Brurarfoss เลยครับประมาณสิบนาทีเอง คุณผู้หญิงท่านใดอยากเข้าห้องน้ำแนะนำเลยครับ
Geysir นั้นจะพุ่งขึ้นทุกๆห้าถึงสิบนาที ความสูงแล้วแต่ว่าจะดันแรงดันน้อยแล้วแต่โชคครับ 555
สิ่งที่มาพร้อมกับ Geysir เลยก็คือกลิ่นกำมะถัน (กลิ่นไข่เน่านั้นเองครับ) เพราะเป็นพลังงานความร้อนจากใต้ดินเลยมีกลิ่น ซึ่งเวลาเราอาบน้ำร้อนตามที่พักเราก็จะได้พบกับกลิ่นไข่เน่านี้เช่นกันเพราะว่าน้ำร้อนที่เราใช้นั้นได้มาจากโรงงานพลังงานความร้อนใตพิภพนั่นเอง (แต่บางที่ก็มีบางที่ก็ไม่มี งงเหมือนกันครับ)
อันนี้คือนั่งรอน้ำดันกันครับ รอบแรกดันไปแล้วแต่ดันไม่เกินหัวเข่าเลย รอกันต่อไป ^^
หลังจากออกจาก Geysir เราก็มุ่งหน้าไปยัง Gullfoss กันต่อครับ โดย Gullfoss นั้นเป็นน้ำตกที่ใหญ่มากอีกแห่งหนึ่งของ Iceland หาไม่ยากครับ แต่เมื่อลงไปเราถึงกับต้องเหวอกันเลยทีเดียว เพราะลมแรงมากและละอองน้ำจากน้ำตกนั้นพัดมาหาเราแรงมาก แรงขนาดไหนยืนแปปเดียวตัวเปียกได้เลยครับ แต่เอาวะใจดีสู้เสือไหนๆมาแล้วเพื่อเก็บภาพไปให้ทุกคนได้ชม เราก็ได้ภาพมาครับ
คือมันหนาวสุดๆจริงๆครับแถมลมพัดละอองน้ำเต็มหน้าเลนส์ไปหมดเลย ลมแรงสุดๆ เช็ดปั๊ปเปียก เลยเอาวะเอาเท่าที่ได้ละกัน
หลังจากถ่ายเสร็จวิ่งขึ้นรถแทบไม่ทัน ขึ้นมามือชาหน้าชาไม่รู้สึกอะไรเลย ต้องนั่งตากฮีทเตอร์ในรถเพื่อให้ร่างกายปรับตัวก่อนจะขับรถเข้าที่พักครับ โดยในคืนนี้เราจะนอนกันที่ South Central Motel Apartment โดยทำการจองผ่าน Booking ราคาดีมากครับตกคนละประมาณหนึ่งพันบาท เป็นห้องนอนรวม พักได้สี่คนโดยก่อนเราเข้าพักนั้นทางโรงแรมจะส่งรหัสบ้านให้เราครับเพื่อทำการเปิดเข้าไปได้เองเลย หรืออีกระบบคือเป็นแบบ lockbox โดยเค้าจะบอกรหัสเราแล้วให้เราไปกดเพื่อปลด Lockbox แล้วเอากุญแจบ้านนั้นไขเข้าไปยังห้องพักครับ โดยส่วนมากเกือบ 98% เป็นระบบแบบนี้หมดครับ
ภาพบริเวณด้านหน้าที่พัก (ขอบคุณภพาจาก Booking ด้วยครับ) แต่ตอนเราไปนั้นหิมะเต็มไปหมดมองไม่เห็นพื้นดำๆเลย
ภายในมีอุปกรณให้ครบหมดเลยนะครับ ทั่งผ้าขนหนู ไดร์เป่าผม เครื่องครัว หม้อชามรามไห มีครบบบบ !!
คือต้องขอบอกว่าสภาพอากาศในคืนนี้เป็นใจมากครับ ค่า KP พุ่งขึ้นไปถึง 4 เลยฟ้าโปร่ง ไม่มีเมฆมาบังเอาก็เอาแหละน่าถ้าโชคเข้าข้างเราก็จะได้เห็นจากหน้าบ้านเราเนี่ยแหละทำบุญมาแล้วเว้ยย ไฟจากในเมืองก็ไม่มี ฉากหน้าก็เป็นภูเขา ภาพสวยแน่(เข้าข้างตัวเองทั้งนั้น 555) เราก็ทำการอาบน้ำอาบท่า ทำ
กับข้าว ล้างหน้าล้างตา เตรียมตัวกันอยู่ครับ และแล้วแอพที่เราโหลดไว้มันก็เด้งขึ้นมาว่าคุณมีโอกาสแสงเหนือจากจุดที่คุณอยู่นะ เท่านั้นแหละครับเด้งมาเปิดประตู เห้ย นั่น นั่นมันนนน แสงเหนืออออ โว้ยยยยยยยย ! คว้ากล้องและขาตั้งกล้องวิ่งออกไป พร้อมกางเกงขาสั้น ย้ำครับ ขาสั้น ยืนอินอยู่แปปนึง ไม่ไหวขอไปจัดชุดเต็มมาก่อน เดี๋ยวค่อย ออกมาใหม่มันยังไม่หายไปไหนแน่ๆ
ใช่แล้วครับ ความฝันเราเป็นจริงแล้วในคืนที่สองนี้ โดยที้เราเห็นนี้จะอมเขียวจางๆเหมือนก้อนเมฆที่เป็นสายๆค่อยขยับอย่างช้าๆสวยงามอย่างที่เค้าบอกจริงๆครับ มันแปลกมากที่จะมีอะไรเขียวๆมาเต้นให้เราดูเบื้องหน้าบนท้องฟ้า เราก็ไม่รอช้าทำการถา่ยรูปกันไปครับ
คือจะพยายามให้นางแบบทั้งหลายอยู่นิ่งๆแต่ด้วยสภาพอากาศที่มันหนาวจัดลมที่เช็คตอนนั้นคือ 50 กม./ชม. ครับ บ้าไปแล้ว สั่นกันไปหมด แล้วยิ่งหลังจากนี้ผมจะต้องถ่าย Timelapse จากตรงนนี้อีกเป็น ชม. ตรูจะรอดมั้ยเนี่ยคิดในใจ แต่เอาวะ เอาวะอีกแล้ว 555 มาแล้วอุปกรณ์ก็ขนกันมาขนาดนี้ สู้โว้ยย
และนี่คือ Timelapse ที่อดทนถ่ายมาได้ใน VLOG ep2 ของผมครับ
มาเรามาลงรายละเอียดเรื่องการถ่ายภาพกันดีกว่าครับ สำหรับแอพที่ผมพูดถึงในการดูแสงเหนือและมีการแจ้งเตือนนั้นผมใช้แอพที่ชื่อว่า my aurora ครับ (ไม่ใช่แอพร้านทองนะ 555 เสิชไปเจออแน่นอน) มันคือแอพหน้าตาแบบนี้ครับ
โดยผมจะดูค่า KP ล่วงหน้าจากเวปนี้รวมไปถึงการพยากรณ์อากาศครับว่ามีฝน ลม หรือเมฆมากน้อยแค่ไหน ค่า KP เราสามารถดูล่วงหน้าได้ประมาณสองวันครับ ด้วยดูจากเลขทางด้านขวา (ลองดูในเวปนะครับ มี 0-9)
2 นี่คือมีโอกาสน้อยมากครับที่จะเห็น
3 นี่คือเห็นแน่ๆแต่ตาเราอาจจะเห็นเป็นเส้นขาวๆแต่กล้องเห็นเป็นสีเขียวนะครับ
4 นี่เขียวด้วยตาแน่นอนเลยครับ (เห็นมาแล้ว)
นอกจากเรื่องค่า KP แล้วต้องกลับมาดูที่เป็นกราฟฟิคเขียวๆของก้อนเมฆด้วยนะครับว่าช่วเวลานั้นมีเมฆมั้ยต่อให้ค่า KP แรงแค่ไหนแต่เมฆมาบัง เราก็อดเห็นอยู่ดีครับ ดังนั้นเราต้องดูควบคู่กันไปครับ
ปล. แต่ในเวปนี้ตอนผมล่าประมาณคืนที่สามก็ไม่แน่นอนเสมอไปนะครับ เพราะว่ามีคืนนึงค่า KP 5 (คิดในใจฟ้าแตกแน่ๆ) จะขับรถไปยังจุดที่ไม่มีเมฆขับเท่าไหร่ก็ไม่พ้นเมฆสักที พอฟ้าเปิดลองยกกล้องขึ้นมาก็ไม่มีให้เห็นครับ
แต่ที่แน่ๆและชัวร์สุดๆ(สำหรับทริปผม)คือแอพ my aurora ครับ คือถ้าจุดไหนที่จะมีแสงเหนือขึ้นมานั้นเด้งปั๊ป เงยหน้ามองฟ้า เห็นทันทีครับ อันนี้สามวัน ได้เห็นเพราะแอพนี้เลยครับ
ส่วนเรื่องการถ่ายภาพนั้นวิธีของผมมีดังนี้ครับ
-กล้องแบบ mirrorless หรือ DSLR
- เลนส์ wide ที่มีค่า F ต่ำกว่า 2.8
- ถอด UV filter หน้าเลนส์ออกให้หมด
- วางบนขาตั้งกล้องที่ไว้ใจได้จริงๆ ที่สามารถทนอากาศติดลบได้และมีความมั่นคงแข็งแรงพอ
- ปรับโหมดโฟกัสเป็นแมนนวล (ลองหมุนโฟกัสหาจุดหรือดวงไฟไกลๆจนชัดแล้วจำระยะนั้นไว้ครับ)(ของวันแรกยังมีเบลอบ้างเล็กน้อยเพราะมีชาไม่รู้สึกอะไรแล้ว
ครับไม่รุ้ไปโดนตอนไหน)
- เบื่องต้นลอง speed shutter ที่ 10 วินาที, f 2.8 (หรือต่ำกว่า), iso 3200 ครับแล้วลองถ่ายดู ที่เหลือปรับค่าตามความเหมาะสม
-ถ่ายเป็น RAW นะครับเพราะจะได้นำมาปรับภาพได้ดีกว่าส่วนใครที่จะถ่ายเป็น JPEG นั้นค่า White Balance ควรอยู่ที่ 3000-4000 ครับหรือถ้าขี้เกียจจริงๆปรับเป็น DAYLIGHT เลยก็ได้ครับ
- สายลั่นชัตเตอร์แนะนำว่าถ้าเป็นแบบ wireless ได้จะดีมากครับเพราะถ้าลมแรงๆสายอาจสั่นไปโดนขาตั้งกล้องทำให้ภาพเราสั่นไหวได้ครับ
ที่เหลือคือกดชัตเตอร์แล้วรอลุ้นภาพพพ !!!
วันนี้ที่ผมแปลกใจมากคือเหมือนใครกำลังเปิดสปอตไลท์จากหลังเขาเลยครับ มันจ้ามากๆ เป็นเส้นๆแบบนี้เลย
แสเหนือจากคืนที่ 3 ครับแอบเอามาให้ชมกันก่อน อิอิ ^^ วันนี้ฟ้าแตกมากครับสว่างทั่วท้องฟ้าเลยถึงจะไม่ได้เป็นเส้นๆก็ตาม
รอติดตามตอนที่ 3 นะครับ
[CR] ตามล่าฝันกับแสงเหนือที่ไอซ์แลนด์ (Iceland) ตอนที่ 2
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้