เมื่อน้องสาวสุดที่รักของฉันเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันแบบ APL
ในวันที่ฟ้าผ่าลงมากลางใจของเรา ไม่ว่าจะเหตุการณ์หรือสถานการณ์อะไรก็ตาม
ย่อมทำให้เราเจ็บปวดเสียใจอย่างที่สุด เรียกว่า "ใจแทบสลายเลยก็ว่าได้" และวันนั้นก็มาถึง
ดิฉันและครอบครัวก็เกิดสถานะการณ์นั้นขึ้น ขอเรียกเหตุการณ์นี้ว่า "คุณค่าแห่งชีวิต วิกฤตแห่งความรัก"
สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านทุกท่าน ดิฉันชื่อวรวรรณ จะขอแชร์เรื่องราวเหตุการณ์ของครอบครัวเรา
จุดประสงค์เพื่อ
1. ส่งมอบกำลังใจสำหรับคนไข้ที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวและคนไข้ที่เป็นโรคร้ายแรงทุกท่าน
2. เป็นแนวทางสำหรับครอบครัวคนไข้และทุกๆท่าน เพื่อเตรียมพร้อมกับเหตุการณ์ในชีวิตที่คาดไม่ถึง
3. บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา และการฝ่าวิกฤตในครั้งนี้สำหรับเรื่องราว
4. ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเหลือครอบครัวเราตั้งแต่ต้นทางระหว่างทางปลายทาง
5. เป็นประโยชน์ในด้านต่างๆ ในทางแห่งอนาคตสำหรับใครบางคน
เริ่มต้นประมาณเดือนสิงหาคม 2561
น้องสาวมีอาการอ่อนเพลียเหนื่อยง่ายปวดหัวบ่อยเหมือนเป็นไข้ด้วยค่ะ
แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าเครียดเพิ่งจะเรียนจบหางานเราก็ซื้อยาให้กิน
อาการปวดหัวก็ทุเลาเป็นๆหายสลับกัน
จากนั้นก็เริ่มมีอาการประจำเดือนมาผิดปกติ คือมาหลายวันและมาเยอะมาก
จึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หมอวินิจฉัยว่าเกี่ยวกับฮอร์โมนผิดปกติ
ก็ให้ยามากินค่ะ คราวนี้ประจำเดือนมามากกว่าเดิมอีก น้องนอนเลือดก็ไหล
มาเต็มที่นอนเหมือนเลือดจะหมดตัว น้องก็เพลียๆ แต่ที่ด้วยเป็นเด็กที่อึดมาก
ก็สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ ยังไปสมัครงานสัมภาษณ์งาน เที่ยวกับเพื่อน
แต่เวลากลับห้องมาน้องจะบอกหนูเพลียเหนื่อยตลอด
เราจะพาน้องไปหาหมอน้องก็ไม่ยอมไปเพราะคิดว่าตัวเองเป็นไข้ปกติ
และหมอก็หามาแล้วเรื่องประจำเดือนมาผิดปกติเดี๋ยวคงจะหายไป
น้องเริ่มมีจ้ำรอยช้ำขึ้นตามขาเป็นรอยคล้ายเดินไปชนไปเตะของแข็งเช่นประตู
รอยนั้นก็ขึ้นมาเอง เราก็คิดว่าน้องนอนทับแขนตัวเองหรือเปล่าเลือดไม่เดิน
แต่ก็แปลกรอยนั้นก็หายไป และขึ้นมากอีกตามแขนก็เริ่มมีบ้างแล้วและก็หาย
ด้วยที่เราและน้องจะเดินชนนั่นนี่กันบ่อยเป็นรอยตามความชิน
น้องและเราระหว่างนี้ก็เปิด Google ค่ะ ว่าอาการคล้ายๆแบบนี้
คือมีโอกาสเป็นอะไรได้บ้างหรือผิดปกติอะไร อยากพาน้องไปหาหมอมาก
แต่น้องก็ดื้อยังไม่ยอมไปด้วยที่ตั้งแต่เด็กพวกเราไม่ค่อยป่วยหนักกัน
จากที่อ่านๆ Google รู้สึกเริ่มละมีแนวโน้มมะเร็งเม็ดเลือดขาวเลยค่ะ
แต่ๆ เราสองพี่น้องก็ยังคิดว่าไม่ใช่ เพราะรอยจ้ำน้องมันจางหาย
ไม่ได้เป็นจ้ำๆแล้วไม่จางตามที่อ่านมาและเข้าใจว่ามันจะช้ำอยู่อย่างนั้น
น้องยังไปหาเพื่อนไปสัมภาษณ์งานอย่างต่อเนื่องจนน้องได้รับเลือก
ให้เป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งที่เป็นในส่วนทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
น้องไปตรวจสุขภาพก่อนทำงาน เลือด เกล็ดเลือด และอื่นๆ
ที่โรงพยาบาลชื่อทำสวยทั้งตัว ผลออกมาไม่มีอะไรผิดปกติ
ทั้งๆที่เกล็ดเลือดน้องต่ำมากจนอันตราย จริงๆเราดูผลไม่เป็น
รู้หลังจากรักษาตัวนี่แหละถึงเข้าใจ หมอเขียนสุขภาพปกติ
(ด้วยที่หมอกลัวคนไข้ไม่ได้งานหรือเปล่า หรือมองข้ามไปไม่ทราบ)
ถ้าอยากช่วยเรื่องงานก็แจ้งความผิดปกติคนไข้ไว้ก็ได้นะคะ
เราสองพี่น้องจึงสบายใจขึ้นเพราะถือว่าได้ตรวจสุขภาพแล้ว
แม้จะมีความผิดปกติอยู่ มาเดือนกันยาน้องก็ยังไม่หายปวดหัว
นอนพักยาวๆ ตื่นมากินข้าวใช้ชีวิตเหมือนเดิม จะขอเรานอนตลอด
ครั้งนึ้เริ่มมีเลือดออกมาทางเหงือกน้อง เราก็มาคิดว่าจะขาดวิตามินซี
ก็ซื้อให้น้องกินเลือดก็ยังออกอยู่ดี น้องมีไปหาเพื่อนนอนหอเพื่อน
วันนึงน้องมึนหัวหน้ามืดจะเป็นลมจึงไปหาหมอแต่ตรงกับวันเสาร์
จะไม่มีหมออยู่ มีเฉพาะหมอเวรเท่านั้น ตอนนั้นหมอก็ยังไม่มา
จึงกะจะเปลี่ยนโรงพยาบาลใหม่ แต่คิดว่าส่วนใหญ่หมอไม่อยู่วันเสาร์
ขี่มอเตอร์ไซค์เจอคลินิคเลยคิดจะหาหมอที่คลินิคแล้วกัน
และเลือกคลินิคขลังๆข้างนอกดูเกรงขาม แต่เห็นตำแหน่งแพทย์
ชวนให้เลือกคลินิคนี้ค่ะ พอไปหมอสังเกตอาการบอกขอเจาะเลือดเลย
และหมอก็รีบเอาผลเลือดเข้าแลป และให้ยามากิน พอดึกๆผลเลือดออก
หมอโทรกลับมาหาน้อง แจ้งว่าเป็นเกล็ดเลือดต่ำน้องก็ไปหาหมออีกครั้ง
ได้ยามากิน 1 อาทิตย์ หมอให้สังเกตอาการ อาการน้องดีขึ้นมากตัวน้องเอง
เลือดที่ไหลเป็นประจำเดือนเยอะๆก็ไม่มาแล้ว ตัวก็ไม่มีจ้ำเลือด
เราและครอบครัวก็สบายใจกันไป พอครบประมาณอาทิตย์พอดี
น้องเริ่มมีอาการเดิมคือปวดหัวเริ่มหนักขึ้น เวียนหัว จ้ำเริ่มขึ้นตามตัวอีกแล้วค่ะ
เราจะพาน้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลใหญ่เป็นกิจจะลักษณะแต่น้องก็ไม่ยอม
บอกจะไปหาหมอคนเดิม น้องยังใช้ชีวิตปกติดูแลตัวเองได้
วันที่ 28 ก.ย.61 เราไปภูเก็ตน้องไปนอนหอเพื่อน เราก็โทรหาน้องติดตามน้องตลอดเป็นการเดินทางที่รู้สึกไม่สบายใจมาก และวันอาทิตย์ที่ 30 ก.ย. 61
เราก็กลับมากรุงเทพ น้องก็ยังอยู่หอเพื่อนบอกเราว่าหนูปวดหัวมากพี่
พรุ่งนี้หนูไม่ไปทำงานได้ไหมหนูเหมือนจะไม่ไหวจริงๆ เราบอกว่าไปโรงพยาลเถอะ
น้องถามเราว่าหนูจะตกงานไหม หนูเพิ่งได้งาน พรุ่งนี้หนูต้องทำสัญญา
เป็นวันแรกของหนูด้วย เราเลยบอกว่าถ้าไม่ไหวคือไม่ไหวเอาชีวิตเราก่อน
ส่วนเขาจะเชื่อไหมก็อีกเรื่อง หายแล้วค่อยว่ากันใหม่
คุยไปคุยมาน้องเองทบทวน คิดอยากไปเซนต์สัญญาบอกว่าวันแรกด้วย
พี่ๆเขาเตรียมงานเซททุกอย่างแล้ว หนูหยุดไม่ได้แล้วเขาก็รีบขอตัวไปนอนก่อน
เช้าวันจันทร์ 1 ต.ค.61 จำขึ้นใจตลอดชีวิต
พอตอนเช้าเรารีบโทรหาน้องว่าไหวไหมเป็นไงบ้าง น้องบอกมึนๆหัว หนูกลัวเป็นลมเราเลยบอกว่าไปถึงบอกพี่ HR ไว้ก่อนเลยหนูไม่ค่อยสบายเผื่อเกิดไรขึ้น เขาจะได้เข้ามาช่วยดูเรา ไปถึงเราก็พยายามถามอาการเป็นระยะโดยส่งไลน์หา
น้องบอกหนูเวียนๆปวดหัวตามัวๆ แต่ทนได้จนน้องถึงเวลาเลิกงานตอนเย็น
น้องไม่ไหวแล้ว เดินแล้วตาพล่ามัวมองไม่ค่อยเห็นทาง
เรากะว่าเลิกงานจะรีบไปหาน้อง แต่น้องบอกไม่ต้องมา
เดี๋ยวแฟนเขาไปรับเราก็อุ่นใจ ตอนนั้นก็เปิดอ่าน Google ใหญ่
เรื่องเกล็อดเลือดต่ำคืออะไร หลังเลิกงานก็รีบซื้อของมาทำกิน
ที่เป็นประโยชน์สำหรับน้องตามที่อ่านในเว็บ
น้องเดินไปนั่งรอแฟนตรงพุ่มไม้พอแฟนเขาไปเห็นแบบซีดสภาพแย่มาก
เขาเลยพากันไปหาหมอที่คลินิคเดิม พอไปถึงหมอ..........
หมอเห็นสภาพน้องแล้วพูดว่า "ผมรักษาคุณไม่ได้แล้วให้คุณไปโรงพยาบาล"
พอฟังเป็นใครก็ตกใจ น้องรีบโทรหาเรา ไม่ได้โทรหาพ่อแม่เพราะกลัวเขาห่วง
ฝนก็ตกตอนนั้นแถวที่น้องอยู่ แฟนน้องเลยตัดสินใจพาน้องไปห้องเขา
เพราะฝนตกยิ่งไม่สบายเลยไม่ได้ไปโรงพยาบาลกัน
เรากะวนกะวายใจมากจะนั่งรถไปหาน้องห่วงน้องใจแทบขาด
น้องบอกไม่ต้องห่วงเดี๋ยวไปเองแต่ตอนนี้ฝนตกไปไม่ได้ เราก็ใจไม่ดีกลัวมาก
กลัวน้องเป็นโรคตามที่เปิดอ่านอาการกันมาแต่ต้น ไปโทรหาน้องอีกน้องบอกหนูเหนื่อยเหมือนจะขาดใจเดินขึ้นบันไดกว่าจะถึงห้องเป็นชั่วโมงไม่ไหวต้องนั่งพักระหว่างขึ้นบันไดตลอด
เราเตรียมตัวแล้วจะไปหาน้อง น้องก็ห้ามเพราะห่วงเราฝนก็ตก น้องบอก "หนูขอนอนพักพรุ่งนี้ค่อยไป" แต่เราใจไม่ดีเลย เราพูดกับน้องว่า "ถ้าไม่ไปหาหมอพี่จะไปหาจะพาไปเอง" น้องน่าจะปวดหัวหนักมากจริงๆถึงขั้นพูดกับเราว่า "พี่อยากให้หนูตายหรอจะให้ไปตอนนี้หนูไปไม่ไหวจริงๆ" น้องพูดด้วยร้องไห้ไปด้วย เราก็เลยให้น้องนอนพักไปก่อน ในใจยังไง ยังไงต้องไปหาให้ได้
คือเราร้องไห้เป็นห่วงน้องไม่รู้จะทำยังไงอยากพาไปน้องก็รั้นหัวชนฝา
เลยได้โทรไปหาเพื่อนสนิทสมัยมหาลัยชื่อไอซ์ เล่าให้ไอซ์ฟังจะทำยังไงดี
ไอซ์บอกว่าต้องพาไป ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วเสียใจทีหลังทำอะไรไม่ได้
เราก็คิดแบบไอซ์อยู่แล้วแต่จะมีวิธีการยังไงนี่แหละ จึงส่งข้อความไปหารุ่นพี่
ที่เป็นหมอ เป็นรุ่นพี่ม.ปลายเล่าอาการให้ฟัง ตอนนั้นยังเล่าอาการผิดๆ
พูดไม่ถูก เราถามพี่ว่า "พรุ่งนี้ค่อยไปได้ไหมหรือต้องไปเลย" พี่ตอบว่า "ให้ไปเลย"
ด้านล่างนะเป็นรูปจ้ำขึ้นและรอยซ้ำนะคะ
#เดี๋ยวมาต่อนะคะ จะทยอยเขียนค่ะ
"คุณค่าแห่งชีวิต วิกฤตแห่งความรัก" (มะเร็งเม็ดเลือดขาว แบบเฉียบพลัน)
ในวันที่ฟ้าผ่าลงมากลางใจของเรา ไม่ว่าจะเหตุการณ์หรือสถานการณ์อะไรก็ตาม
ย่อมทำให้เราเจ็บปวดเสียใจอย่างที่สุด เรียกว่า "ใจแทบสลายเลยก็ว่าได้" และวันนั้นก็มาถึง
ดิฉันและครอบครัวก็เกิดสถานะการณ์นั้นขึ้น ขอเรียกเหตุการณ์นี้ว่า "คุณค่าแห่งชีวิต วิกฤตแห่งความรัก"
สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านทุกท่าน ดิฉันชื่อวรวรรณ จะขอแชร์เรื่องราวเหตุการณ์ของครอบครัวเรา
จุดประสงค์เพื่อ
1. ส่งมอบกำลังใจสำหรับคนไข้ที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวและคนไข้ที่เป็นโรคร้ายแรงทุกท่าน
2. เป็นแนวทางสำหรับครอบครัวคนไข้และทุกๆท่าน เพื่อเตรียมพร้อมกับเหตุการณ์ในชีวิตที่คาดไม่ถึง
3. บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา และการฝ่าวิกฤตในครั้งนี้สำหรับเรื่องราว
4. ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเหลือครอบครัวเราตั้งแต่ต้นทางระหว่างทางปลายทาง
5. เป็นประโยชน์ในด้านต่างๆ ในทางแห่งอนาคตสำหรับใครบางคน
เริ่มต้นประมาณเดือนสิงหาคม 2561
น้องสาวมีอาการอ่อนเพลียเหนื่อยง่ายปวดหัวบ่อยเหมือนเป็นไข้ด้วยค่ะ
แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าเครียดเพิ่งจะเรียนจบหางานเราก็ซื้อยาให้กิน
อาการปวดหัวก็ทุเลาเป็นๆหายสลับกัน
จากนั้นก็เริ่มมีอาการประจำเดือนมาผิดปกติ คือมาหลายวันและมาเยอะมาก
จึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หมอวินิจฉัยว่าเกี่ยวกับฮอร์โมนผิดปกติ
ก็ให้ยามากินค่ะ คราวนี้ประจำเดือนมามากกว่าเดิมอีก น้องนอนเลือดก็ไหล
มาเต็มที่นอนเหมือนเลือดจะหมดตัว น้องก็เพลียๆ แต่ที่ด้วยเป็นเด็กที่อึดมาก
ก็สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ ยังไปสมัครงานสัมภาษณ์งาน เที่ยวกับเพื่อน
แต่เวลากลับห้องมาน้องจะบอกหนูเพลียเหนื่อยตลอด
เราจะพาน้องไปหาหมอน้องก็ไม่ยอมไปเพราะคิดว่าตัวเองเป็นไข้ปกติ
และหมอก็หามาแล้วเรื่องประจำเดือนมาผิดปกติเดี๋ยวคงจะหายไป
น้องเริ่มมีจ้ำรอยช้ำขึ้นตามขาเป็นรอยคล้ายเดินไปชนไปเตะของแข็งเช่นประตู
รอยนั้นก็ขึ้นมาเอง เราก็คิดว่าน้องนอนทับแขนตัวเองหรือเปล่าเลือดไม่เดิน
แต่ก็แปลกรอยนั้นก็หายไป และขึ้นมากอีกตามแขนก็เริ่มมีบ้างแล้วและก็หาย
ด้วยที่เราและน้องจะเดินชนนั่นนี่กันบ่อยเป็นรอยตามความชิน
น้องและเราระหว่างนี้ก็เปิด Google ค่ะ ว่าอาการคล้ายๆแบบนี้
คือมีโอกาสเป็นอะไรได้บ้างหรือผิดปกติอะไร อยากพาน้องไปหาหมอมาก
แต่น้องก็ดื้อยังไม่ยอมไปด้วยที่ตั้งแต่เด็กพวกเราไม่ค่อยป่วยหนักกัน
จากที่อ่านๆ Google รู้สึกเริ่มละมีแนวโน้มมะเร็งเม็ดเลือดขาวเลยค่ะ
แต่ๆ เราสองพี่น้องก็ยังคิดว่าไม่ใช่ เพราะรอยจ้ำน้องมันจางหาย
ไม่ได้เป็นจ้ำๆแล้วไม่จางตามที่อ่านมาและเข้าใจว่ามันจะช้ำอยู่อย่างนั้น
น้องยังไปหาเพื่อนไปสัมภาษณ์งานอย่างต่อเนื่องจนน้องได้รับเลือก
ให้เป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งที่เป็นในส่วนทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
น้องไปตรวจสุขภาพก่อนทำงาน เลือด เกล็ดเลือด และอื่นๆ
ที่โรงพยาบาลชื่อทำสวยทั้งตัว ผลออกมาไม่มีอะไรผิดปกติ
ทั้งๆที่เกล็ดเลือดน้องต่ำมากจนอันตราย จริงๆเราดูผลไม่เป็น
รู้หลังจากรักษาตัวนี่แหละถึงเข้าใจ หมอเขียนสุขภาพปกติ
(ด้วยที่หมอกลัวคนไข้ไม่ได้งานหรือเปล่า หรือมองข้ามไปไม่ทราบ)
ถ้าอยากช่วยเรื่องงานก็แจ้งความผิดปกติคนไข้ไว้ก็ได้นะคะ
เราสองพี่น้องจึงสบายใจขึ้นเพราะถือว่าได้ตรวจสุขภาพแล้ว
แม้จะมีความผิดปกติอยู่ มาเดือนกันยาน้องก็ยังไม่หายปวดหัว
นอนพักยาวๆ ตื่นมากินข้าวใช้ชีวิตเหมือนเดิม จะขอเรานอนตลอด
ครั้งนึ้เริ่มมีเลือดออกมาทางเหงือกน้อง เราก็มาคิดว่าจะขาดวิตามินซี
ก็ซื้อให้น้องกินเลือดก็ยังออกอยู่ดี น้องมีไปหาเพื่อนนอนหอเพื่อน
วันนึงน้องมึนหัวหน้ามืดจะเป็นลมจึงไปหาหมอแต่ตรงกับวันเสาร์
จะไม่มีหมออยู่ มีเฉพาะหมอเวรเท่านั้น ตอนนั้นหมอก็ยังไม่มา
จึงกะจะเปลี่ยนโรงพยาบาลใหม่ แต่คิดว่าส่วนใหญ่หมอไม่อยู่วันเสาร์
ขี่มอเตอร์ไซค์เจอคลินิคเลยคิดจะหาหมอที่คลินิคแล้วกัน
และเลือกคลินิคขลังๆข้างนอกดูเกรงขาม แต่เห็นตำแหน่งแพทย์
ชวนให้เลือกคลินิคนี้ค่ะ พอไปหมอสังเกตอาการบอกขอเจาะเลือดเลย
และหมอก็รีบเอาผลเลือดเข้าแลป และให้ยามากิน พอดึกๆผลเลือดออก
หมอโทรกลับมาหาน้อง แจ้งว่าเป็นเกล็ดเลือดต่ำน้องก็ไปหาหมออีกครั้ง
ได้ยามากิน 1 อาทิตย์ หมอให้สังเกตอาการ อาการน้องดีขึ้นมากตัวน้องเอง
เลือดที่ไหลเป็นประจำเดือนเยอะๆก็ไม่มาแล้ว ตัวก็ไม่มีจ้ำเลือด
เราและครอบครัวก็สบายใจกันไป พอครบประมาณอาทิตย์พอดี
น้องเริ่มมีอาการเดิมคือปวดหัวเริ่มหนักขึ้น เวียนหัว จ้ำเริ่มขึ้นตามตัวอีกแล้วค่ะ
เราจะพาน้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลใหญ่เป็นกิจจะลักษณะแต่น้องก็ไม่ยอม
บอกจะไปหาหมอคนเดิม น้องยังใช้ชีวิตปกติดูแลตัวเองได้
วันที่ 28 ก.ย.61 เราไปภูเก็ตน้องไปนอนหอเพื่อน เราก็โทรหาน้องติดตามน้องตลอดเป็นการเดินทางที่รู้สึกไม่สบายใจมาก และวันอาทิตย์ที่ 30 ก.ย. 61
เราก็กลับมากรุงเทพ น้องก็ยังอยู่หอเพื่อนบอกเราว่าหนูปวดหัวมากพี่
พรุ่งนี้หนูไม่ไปทำงานได้ไหมหนูเหมือนจะไม่ไหวจริงๆ เราบอกว่าไปโรงพยาลเถอะ
น้องถามเราว่าหนูจะตกงานไหม หนูเพิ่งได้งาน พรุ่งนี้หนูต้องทำสัญญา
เป็นวันแรกของหนูด้วย เราเลยบอกว่าถ้าไม่ไหวคือไม่ไหวเอาชีวิตเราก่อน
ส่วนเขาจะเชื่อไหมก็อีกเรื่อง หายแล้วค่อยว่ากันใหม่
คุยไปคุยมาน้องเองทบทวน คิดอยากไปเซนต์สัญญาบอกว่าวันแรกด้วย
พี่ๆเขาเตรียมงานเซททุกอย่างแล้ว หนูหยุดไม่ได้แล้วเขาก็รีบขอตัวไปนอนก่อน
เช้าวันจันทร์ 1 ต.ค.61 จำขึ้นใจตลอดชีวิต
พอตอนเช้าเรารีบโทรหาน้องว่าไหวไหมเป็นไงบ้าง น้องบอกมึนๆหัว หนูกลัวเป็นลมเราเลยบอกว่าไปถึงบอกพี่ HR ไว้ก่อนเลยหนูไม่ค่อยสบายเผื่อเกิดไรขึ้น เขาจะได้เข้ามาช่วยดูเรา ไปถึงเราก็พยายามถามอาการเป็นระยะโดยส่งไลน์หา
น้องบอกหนูเวียนๆปวดหัวตามัวๆ แต่ทนได้จนน้องถึงเวลาเลิกงานตอนเย็น
น้องไม่ไหวแล้ว เดินแล้วตาพล่ามัวมองไม่ค่อยเห็นทาง
เรากะว่าเลิกงานจะรีบไปหาน้อง แต่น้องบอกไม่ต้องมา
เดี๋ยวแฟนเขาไปรับเราก็อุ่นใจ ตอนนั้นก็เปิดอ่าน Google ใหญ่
เรื่องเกล็อดเลือดต่ำคืออะไร หลังเลิกงานก็รีบซื้อของมาทำกิน
ที่เป็นประโยชน์สำหรับน้องตามที่อ่านในเว็บ
น้องเดินไปนั่งรอแฟนตรงพุ่มไม้พอแฟนเขาไปเห็นแบบซีดสภาพแย่มาก
เขาเลยพากันไปหาหมอที่คลินิคเดิม พอไปถึงหมอ..........
หมอเห็นสภาพน้องแล้วพูดว่า "ผมรักษาคุณไม่ได้แล้วให้คุณไปโรงพยาบาล"
พอฟังเป็นใครก็ตกใจ น้องรีบโทรหาเรา ไม่ได้โทรหาพ่อแม่เพราะกลัวเขาห่วง
ฝนก็ตกตอนนั้นแถวที่น้องอยู่ แฟนน้องเลยตัดสินใจพาน้องไปห้องเขา
เพราะฝนตกยิ่งไม่สบายเลยไม่ได้ไปโรงพยาบาลกัน
เรากะวนกะวายใจมากจะนั่งรถไปหาน้องห่วงน้องใจแทบขาด
น้องบอกไม่ต้องห่วงเดี๋ยวไปเองแต่ตอนนี้ฝนตกไปไม่ได้ เราก็ใจไม่ดีกลัวมาก
กลัวน้องเป็นโรคตามที่เปิดอ่านอาการกันมาแต่ต้น ไปโทรหาน้องอีกน้องบอกหนูเหนื่อยเหมือนจะขาดใจเดินขึ้นบันไดกว่าจะถึงห้องเป็นชั่วโมงไม่ไหวต้องนั่งพักระหว่างขึ้นบันไดตลอด
เราเตรียมตัวแล้วจะไปหาน้อง น้องก็ห้ามเพราะห่วงเราฝนก็ตก น้องบอก "หนูขอนอนพักพรุ่งนี้ค่อยไป" แต่เราใจไม่ดีเลย เราพูดกับน้องว่า "ถ้าไม่ไปหาหมอพี่จะไปหาจะพาไปเอง" น้องน่าจะปวดหัวหนักมากจริงๆถึงขั้นพูดกับเราว่า "พี่อยากให้หนูตายหรอจะให้ไปตอนนี้หนูไปไม่ไหวจริงๆ" น้องพูดด้วยร้องไห้ไปด้วย เราก็เลยให้น้องนอนพักไปก่อน ในใจยังไง ยังไงต้องไปหาให้ได้
คือเราร้องไห้เป็นห่วงน้องไม่รู้จะทำยังไงอยากพาไปน้องก็รั้นหัวชนฝา
เลยได้โทรไปหาเพื่อนสนิทสมัยมหาลัยชื่อไอซ์ เล่าให้ไอซ์ฟังจะทำยังไงดี
ไอซ์บอกว่าต้องพาไป ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วเสียใจทีหลังทำอะไรไม่ได้
เราก็คิดแบบไอซ์อยู่แล้วแต่จะมีวิธีการยังไงนี่แหละ จึงส่งข้อความไปหารุ่นพี่
ที่เป็นหมอ เป็นรุ่นพี่ม.ปลายเล่าอาการให้ฟัง ตอนนั้นยังเล่าอาการผิดๆ
พูดไม่ถูก เราถามพี่ว่า "พรุ่งนี้ค่อยไปได้ไหมหรือต้องไปเลย" พี่ตอบว่า "ให้ไปเลย"
ด้านล่างนะเป็นรูปจ้ำขึ้นและรอยซ้ำนะคะ
#เดี๋ยวมาต่อนะคะ จะทยอยเขียนค่ะ