รถไฟเชื่อม 3 สนามบินควรเจรจาต่อหลังเลือกตั้ง


เห็นสถานการณ์การเจรจาไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบินแล้ว แอบคิดเล่น ๆ ว่า ไม่รู้ว่าประเทศไทยต้องคำสาปอะไร ทำไมทำรถไฟความเร็วสูงไม่ถึงฝั่งซะที

ทั้งที่โครงการรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย มีการศึกษาความเป็นไปได้มาตั้งแต่ช่วงปี 2537 แต่ก็เจอวิกฤติต้มยำกุ้ง ทำให้ต้องหยุดชะงักไปก่อน

ต่อมามีการรื้อโครงการมาสานต่อ ทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ก็ต้องเบรคหัวทิ่มกันไปทั้งคู่ ด้วยสถานการณ์ทางการเมือง

จนมาถึงสมัยนายกฯ ลุงตู่ ที่ปลุกชีพโครงการนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งดูจะเป็นรูปธรรมมากที่สุด โดยโครงการถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเฉียงเหนือ ดูท่าจะมีความคืบหน้า แม้จะช้าเอามาก ๆ

ส่วนสายตะวันออกที่จะพาไปสู่โครงการแห่งความหวังทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างอีอีซี เมื่อมาถึงขั้นตอนการเจรจา ก็มีอันให้ติดช่วงเวลาสำคัญ คือการเลือกตั้ง

ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ทุกภาคส่วนต่างกำลังจับจ้องทางการเมืองว่าจะเลือกใครดี ใครจะได้มาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐบาล นโยบายใหม่จะเป็นอย่างไร ประเทศจะไปทางไหน ฯลฯ

หากเป็นรัฐบาลลุงตู่เหมือนเดิม ก็พอจะมั่นใจได้ว่าโครงการที่วางไว้ในตอนนี้จะได้ไปต่อ แต่หากไม่ใช่ ก็ต้องดูอีกว่าจะเป็นใครเข้ามา จะเอาโครงการอะไรไว้ หรือจะเอาโครงการอะไรออก

ดังนั้น การตัดสินใจดำเนินโครงการต่าง ๆ ในตอนนี้ ก็ไม่น่าจะเวิร์ค และไม่ควรทำ อย่างการเจรจาในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ ใช้งบลงทุนมาก โอกาสคืนทุนยากและช้า ก็ควรจะเลื่อนออกไปก่อน จนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่ เพื่อรอดูว่านโยบายใหม่จะเป็นอย่างไร เพราะหากตัดสินใจอะไรตอนนี้ เกิดรัฐบาลใหม่เข้ามาเปลี่ยนใจ ไม่ทำต่อ ยุบโครงการ ผลเสียหายที่ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นตามมา ซึ่งเรามีตัวอย่างแล้วเช่นจากโครงการโฮปเวลล์ ที่ต้องเห็นเสาตอเรียงรายเป็นอนุสรณ์อยู่จนบัดนี้ คงไม่มีใครอยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาสำคัญอย่างนี้ ควรจะให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้พักเบรค ไปใช้สมาธิอยู่กับการเลือกตั้ง และรอรัฐบาลใหม่จะดีกว่า เลื่อนไทม์ไลน์ออกไปอีกไม่กี่เดือน ถ้าได้ทำต่อ ก็ไม่มีผลต่างกันมากมาย แต่ถ้าไม่ได้ทำต่อ จะได้ไม่ต้องรับผลเสียหายมากนัก

-------------------------------
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่