มีหนาว

ความรู้สึกที่อยากไปเมืองนอก เริ่มต้นตอนอายุ14  ผมได้เจอฝรั่งอเมริกันซึ่งเป็นอาสาสมัคร “พีช คอร์ป”(Peace Corp)ชื่อ แลร์รี่ ชายหนุ่มวัย 24 แลร์รี่ใจดี ช่วยสอนภาษาอังกฤษ สอนทำ บราวนี่ อบขนมปัง ชงกาแฟสด  ตอนนั้นเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่เพราะได้เจอฝรั่งตัวเป็นๆ สมัยก่อนที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต

เพื่อนของแลร์รี่ที่อเมริกา จะส่งพัสดุเป็นแม็กกาซีนมาให้ มีทั้งGun&Ammo,Newsweek  Car&Driver และ Playboy!!! ตอนนั้นเปิดแม็กกาซีนแล้วเห็นภาพปลากรอบ เอ้ย!ประกอบน่าสนใจ(หมายถึงสามเล่มแรก จริงจิ๊งง)

ทำให้มีความรู้สึกอยากอ่านภาษาอังกฤษ อาศัยเปิด ดิกฯ แทบทุกคำผสมเวิร์ปทูเดาไปด้วย นั้นเลยทำให้ผมชอบและอยากอ่านภาษาอังกฤษตั้งแต่ตอนเด็กๆ
เวลาผ่านไป

ผมจบมหาลัยฯ ทำงานได้ไม่กี่ปี ก็โดนเลย์ออฟตอนวิกฤต ต้มยำกุ้ง แถมยังโดนแฟนบอกเลิก รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง เหมือนตัวเองเป็นloserพยายามส่งใบสมัครงานแทบทุกวัน ตอนนั้นให้ทำที่ไหนก็เอา หรือลดตำแหน่งลงมาก็ยอม พอมีเวลามากขึ้น เลยเริ่มมองย้อนมาที่ตัวเอง ส่วนหนึ่งคือเราใช้ชีวิตแบบประมาท ไม่เคยวางแผนอนาคต ไม่เคยคิดเก็บเงิน หยุดพัฒนาตัวเอง เลยตั้งปณิธาณว่าจะไม่ยอมให้ เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอีก เป้าหมายคือต้องทำให้ตัวเองเป็น “ไท”

คือมีอะไรเป็นของตัวเอง ศึกษาทางด้านการเงิน รู้จักลงทุน วางแผนเกษียณ และจะดำเนินชีวิตแบบเชิงรุก เพราะที่ผ่านมาใช้ชีวิตแบบเชิงรับ โดยให้โชคชะตา สิ่งแวดล้อม หรือคนรอบข้างเป็นตัวกำหนด

ผ่านไปสองเดือนผมได้งานใหม่เงินเดือนมากว่าเดิมสองเท่า ผมทำงานหนักขึ้น อาสาทำโอที ทำงาน6วันต่ออาทิตย์ หลังเลิกงานบางวัน และในวันหยุด ก็ไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่ม เป้าหมายคือจะ”ไปเมืองนอก”  ตอนนั้นเล็งไว้ที่ อเมริกา ออสเตรเลีย หรือ อังกฤษ คิดว่าจะไปลงเรียนภาษา แล้วทำงานไปด้วย อาศัยค่อยๆต่อวีซ่าไป


ผ่านไปสองปีผมมีเงินเก็บประมาณห้าแสนบาท อารมณ์อยากไปนอกเริ่มหายไป เพราะสนุกกับงาน และได้เลื่อนขั้น แถมมีคนพูดให้ฟังว่าไปนอกแล้วเรียนภาษาด้วยทำงานไปด้วยมันไม่คุ้ม อายุเริ่มมากขึ้นเลยคิดอยากมีบ้าน เลยไปวางดาวน์บ้านแถวรามอินทราเกือบแสน วันดีคืนดีพี่ชายที่เป็นนักดนตรีบอกว่า จะเปิดผับเลยมายืมเงินผมไปสามแสน ไอ้เราเห็นเขาเล่นดนตรี แล้วมีความสุข อนาคตอาจเป็นศิลปิน ผมเลยให้ไป อีกหกเดือนต่อมาเจ๊ง เรื่องไปนอกเลยกลาย

เป็นเรื่องที่ห่างไกลออกไปอีก ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
ในขณะที่อีกซีกโลก ประเทศที่เหน็บหนาวเกินบรรยาย “แคนาดา” กำลังมีปัญหาเรื่องคนแก่รุ่น Baby Boomer เข้าสู่วัยเกษียณ รัฐบาลดูท่าจะไม่มีเงินพอที่จะจ่าย เลยออกนโยบายรับคนเข้าประเทศ สองแสนคน เพื่อมาทำงานและจ่ายภาษี  ผมได้ยินข่าวเลยติดต่อเอเจนซี่เพื่อทดสอบดู ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์ และ

เขียนเรียงความภาษาอังกฤษ ดูประวัติการทำงาน ดูสายอาชีพว่าเป็นที่ต้องการหรือไม่ ผลออกมาผมอยู่ในเกณฑ์ที่ไปได้ โดยเขาเรียกค่าทำเอกสาร และติวเพื่อสัมภาษณ์ เป็นเงินแสนสอง ผมกลับมาบ้าน นอนไม่หลับ คิดว่าจะเอายังไงดี ใจนึงกลัวเพราะไม่รู้จักใคร  จะหางานได้หรือเปล่า ถึงได้งานก็คงเป็น

แรงงานกรรมกร ไหนจะเรื่องภาษา แล้วต้องทิ้งโอกาสที่เมืองไทย บ้านก็ดาวน์ไปแล้ว หลักๆตอนนั้นไม่มีเงินไปโชว์(ยุคนั้นต้อง ต้องมีเงินในบัญชีอย่างน้อยหกแสนบาท)

อีกใจหนึ่งก็เสียดาย เพราะโอกาสอย่างนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ อีกทั้งอายุในตอนนั้น โดยสภาพร่างกาย ถ้าจำเป็นต้องขายแรงงานก็สามารถทำได้
คำถามที่เป็นตัวชี้ขาดคือ ถ้าไม่ลงมือทำตอนนี้ อีก10ปี 20ปี จะเสียดายไหม?จะมานั่งโทษตัวเองแล้วอยากย้อนเวลากลับไปหรือเปล่า?

เท่านั้นแหละครับ ผมรูดบัตรเครดิตจ่ายงวดแรกให้ เอเจนซี่ ระหว่างนั้น เริ่มยืมเงินจากสินเชื่ิอส่วนบุคคล  อิออน จีอี ...ฯลฯ  แต่ยังห่างไกลกับค่าที่ต้องจ่ายนายหน้าบวกเงินที่ต้องเอาโชว์ไว้ในบัญชี ผม กับพ่อวิ่งยืมเงินญาติและคนรู้จัก โดยส่วนใหญ่จะโดนปฏิเสธ  มันเป็นอะไรที่ลำบากใจ เพราะผมเป็นคนหน้าบาง ไม่ชอบขอความช่วยเหลือ หรือ ต้องง้อใคร ทุกครั้งที่จะเจอ(ว่าที่)เจ้าหนี้ ผมก็จะบอกว่า เงินไม่ได้เอาไปใช้อะไร แค่เอาไปเดินบัญชี ต้องอธิบายเขาว่า

ผมจะโอนคืนทันทีเมื่อไปถึงแคนาดา แต่ผมเข้าใจนะ สำหรับคนที่ไม่ให้ยืม ว่าการไม่ได้เงินคืนเป็นอย่างไร การยืมเงินคนอื่นเป็นเรื่องที่ผมไม่อยากเจออีกเลยในชีวิต และครั้งนั้นก็เป็นครั้งสุดท้าย


หลังยื่นเอกสารได้ไม่นาน ผมโดนเรียกสัมภาษณ์ที่สถานทูต เจอเจ้าหน้าที่ผู้หญิงวัยกลางคน(ฝรั่ง) ท่าทางใจ เธอถามถึงความพร้อม และเงินที่ผมจะเอาไป แล้วถามว่าในกรณีที่ไม่ได้งานในสายวิชาชีพจะทำอย่างไร ผมแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่า ผมต้องเอาตัวรอดให้ได้ นี้คือการทุบหม้อข้าว ถ้าเป็นรถผมถอดเกียร์ถอยหลังออกแล้ว สำหรับผมคือเดินหน้าอย่างเดียว ผ่านไปชั่วโมงกว่าเจ้าหน้าที่ ที่สัมภาษณ์ยื่นเอกสารให้ผมไปตรวจร่างกาย สรุปคือผมผ่านสัมภาษณ์

หลังตรวจร่างกายเสร็จผมก็ได้ วีซ่า ที่ส่งมาทางไปรษณีย์ ผมยื่นใบลาออกจากที่ทำงาน คราวนี้คือการซื้อตั๋วเครื่องบิน ด้วยว่าผมพักแถวตลาดคลองเตย(ใกล้ที่ทำงาน) มีคนแนะนำให้ซื้อตั๋วแถวซอยคาวบอย พอไปเจอเจ้เจ้าของร้าน ผมบอกแกว่าขอซื้อตั๋วขาเดียว เอาที่ราคาถูกที่สุด ผมได้สายการบินกรีก(ไม่เคยได้ยินมาก่อน)

เจ้ซักผมใหญ่เลยว่าได้วีซ่ามายังไง ดูแกสนใจมาก ว่าแล้วแกก็เอาแคทตาล๊อก ข้างในมีรูปถ่ายสาวบาร์ มีสัดส่วน เบอร์โทร และรายละเอียดอื่นๆ ผมถามเจ้ว่าเอามาให้ผมดูทำไม หรือแกดูว่าหน้าผมหื่น หรือเป็นโปรโมชั่นซื้อตั๋วแถมน้องๆ เจ้บอกว่าถ้าไปถึงแล้วติดต่อมานะ เพราะสาวๆเหล่านี้ต้องการหาสามีฝรั่ง เจ้จะแบ่งเปอร์เซ็นให้ ผมแกล้งรับปากไป เจ้จะทำแคทตาล็อกอีกชุดให้ผมไปด้วย(สมัยนั้นเวปไซท์ยังไม่แพร่หลาย) ผมบอกไม่เป็นไร ในใจคิดว่าถ้าขืนพกไปด้วยคงไม่ได้ผ่าน ตม. แถมโดนข้อหาค้ามนุษย์ด้วย

วันเดินทาง เป็นการขึ้นเครื่องบินครั้งแรก แถมเป็นการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกที่ต้องไปต่างประเทศด้วย ตอนยื่นพาสปอต เจ้าหน้าที่สายการบินดูแล้วดูอีก ว่ามันมีวีซ่าอย่างที่ผมถือด้วยหรือ ผมเลยอธิบายว่าได้มันมาอย่างไร ต้องเตรียมอะไรบ้าง เจ้าหน้าที่ ช่องที่ผมไปยื่น เธอเรียกเพื่อนช่องข้างๆมาดูด้วยสามสี่คน แล้วหล่อนบอกผมว่าจะย้ายที่นั่งหรืออะไรสักอย่างให้

เวลานั้นผมไม่ได้สนใจเพราะตื้นเต้นที่จะได้นั่งเครื่องบิน ตื้นเต้นที่จะได้ไปต่างประเทศ ตื้นเต้นว่าไปถึงแล้วชีวิตจะเป็นยังไงต่อ(งานนี้มีหนาว..อุณหภูมิติดลบด้วยเดือนที่ไปถึง)

พอผมจะเข้าประตูผู้โดยสารขาออก เจ้าหน้าเปิดเล่มพาสปอตแล้วส่องวีซ่าผม ถามผมว่า “จะไปเที่ยว หรือไปเรียน?” ผมตอบ”ไปทำงานครับ” “แล้วมีจดหมายจากกรมแรงงานหรือยัง?” ผมนึกในใจ เห้ย!ต้องมีด้วยเหรอ ว่าแล้วผมโดนไล่ไปอีกมุมนึงของอาคาร ซึ่งเป็นออฟฟิสกรมแรงงาน “ผมมาขอจดหมายรับรอง” ผมบอก  “แล้วจะไปทำงานอะไร?” เจ้าหน้าที่ถาม

ผมคิดสักพัก “คงไปล้างจาน หรือโกยหิมะมั่งครับ” เจ้าหน้าที่เริ่มมีสีหน้าเครียด ก่อนพูดว่า “แล้วมีจดหมายจากนายจ้างหรือป่าว?”
“ไม่มีครับ ไปถึงก่อนค่อยหานายจ้าง” ผมพูดเหมือนไปกวนTeenแก แต่จริงๆผมตอบตามประสาซื่อของผม เท่านั้นแหละครับผมโดนแลกเชอร์เป็นชุด “คุณรู้หรือเปล่า คุณทำชื่อเสียงประเทศชาติเสียหาย การหลบหนีเข้าเมือง มันส่งผลต่อ *#$%^.....”

ยาวครับโดนไปหลายดอก จนผมต้องบอกว่า มันเป็นวีซ่าเปิด เอกสารอันนี้ออกโดยรัฐบาลแคนาดา เสมือนว่าตอนนี้ผมเป็นพลเมืองของประเทศเขาแล้ว(แค่ไปเหยียบแผ่นดินเพื่อยืนยันสิทธิ์) อธิบายอยู่ยาว เวลาตอนนั้นก็ราวๆเที่ยงคืน ว่าจะโทรไปสถานทูตก็คงไม่มีใครรับสาย เวลาเครื่องจะออกก็ใกล้เข้ามาทุกที สุดท้ายพี่แกคืนเอกสาร และปล่อยผมออกมา


ตอนขึ้นเครื่องเห็นมีแต่ฝรั่ง ผมเองได้ที่นั่งติดกับสามีภรรยาคนไทย พอเห็นที่นั่งปรับเอนได้ เลยเผลอพูดออกไปว่า ไม่เหมือนที่ใครๆบอกว่าที่นั่งชั้น”อีโคโนมิค”จะแคบและเอนไม่ค่อยได้ พี่คนไทยเลยถามผมว่าซื้อตั๋วชั้นอีโคฯเหรอ?ผมว่าใช่ แกบอกว่านี้มันชั้น บิซิเนสนะ แหม!!สาวๆย้ายที่นั่งให้ผม (นึกขอบคุณในใจ)

ผมคุยกับพี่คนไทยแกบอกว่าแกทำงานสายการบินไทย เป็นผู้จัดการโซนยุโรปแต่ที่นั่งสายการบินกรีก เพราะต้องการศึกษาคู่แข่งทั้งเรื่อง บริการ อาหาร ฯลฯ
พี่แกถามว่าเครื่องที่จะไปต่อเป็นสายการบินอะไร?ออกตอนกี่โมง?ผมคิดในใจมีต่อเครื่องด้วยหรือ นึกว่านั่งรวดเดียวถึง เหมือนรถทัวร์ กรุงเทพฯ-นครศรีฯ

อีเจ้ขายตั๋วไม่เห็นบอกเลย นั้นเพราะเจ้มัวแต่เชียร์ น้องอ้อย น้องจอยอยู่ พี่คนไทยเลยอธิบายการไปยื่นต่อขอใบทรานสิท ต้องเข้าช่องไหน ทำอะไรต่อ โชคดีมากครับที่เจอพี่คนไทย

ผ่านไป19 ปีถ้าพี่ได้อ่านเรื่องนี้ ไอ้บ้านนอกคนนี้ ขอกราบขอบคุณพี่ทั้งสองงามๆอีกครั้ง รวมถึงสาวๆที่จัดให้ผมนั่งชั้นธุรกิจด้วยครับ
กระทู้นี้ ขอเป็นกำลังใจให้สำหรับคนที่อยากมาผจญภัย และใช้ชีวิตอยู่ต่างแดน อย่าไปโฟกัสมากกับสิ่งที่เราไม่มี หรือไม่พร้อม ค่อยๆทำไป ขอให้พยายามให้ถึงที่สุดเท่าที่ทำได้

“Always take massive imperfect action towards your goals because the time will never be just right.”   -Derric Yuh Ndim

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่