แบบนี้เรียกว่าเจอผีไหมคะ? หรือแค่ประสาทหลอนวิตกจริตไปเอง?

สวัสดีค่ะ ดิฉันสงสัยมานานกับสิ่งที่ตัวเองเคยเจอและยังคงเจอมาตลอดนถึงทุกวันนี้ ว่าตกลงแบบนี้เรียกว่า “เจอผี” ไหม? หรือว่าแค่วิตกจริตไปเอง ประสาทหลอนไปเอง มันก็เป็นแค่เรื่องธรรมดาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ปกติทั่วไป? จึงอยากขอความเห็นจากผู้ที่เข้ามาลองอ่านดู ประกอบกับเนื่องจากรูปแบบที่ดิฉันเจอมีหลายแบบ และมีบ้างที่แตกต่างจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ผีที่เคยได้อ่านมา จึงถือว่าเอาประสบการณ์ของตัวเองมาแบ่งปันด้วยเช่นกัน เพื่อลดความสับสน จึงจะทยอยเล่าเป็นกรณีๆ ไปโดยมีตัวเลขกำกับนะคะ บางกรณีอาจจะกินเวลานานหลายปีหน่อย

1. เสียงลูกสนุกเกอร์ตกพื้นแล้วกลิ้ง

ตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมปลาย ห้องนอนของดิฉันที่บ้านซึ่งเดิมทีดิฉัน พี่สาวคนรอง และพี่สาวคนที่ 4 นอนกัน 3 คน หลังจากพี่สาวคนรองแต่งงานไป และพี่สาวคนที่ 4 ย้ายไปเรียนที่วิทยาลัยต่างเมือง กลับมาบ้านนานๆ ครั้ง ดิฉันก็ได้ครองห้องคนเดียวเป็นส่วนใหญ่ และเริ่มได้ยินเสียงลูกสนุกเกอร์ตกพื้นแล้วกระดอน ต๊อก...ต๊อก...ต๊อก ตามด้วยกลิ้งจนหยุดอยู่บ่อยๆ เสียงนี้ดังมาจากเพดานห้อง

บ้านหลังนี้ดิฉันอยู่มาตั้งแต่เกิด ห้องนอนของดิฉันอยู่ในส่วนของบ้านที่สร้างด้วยปูน มี 3 ชั้น ห้องนอนของดิฉันอยู่ชั้น 2 ชั้น 3 มี 2 ห้องนอน คือห้องของพี่ชายคนโตกับพี่สะใภ้ และห้องหลานชายทั้ง 3 คน ห้องของดิฉันอยู่ใต้ห้องของหลานชาย เมื่อได้ยินเสียงนี้ ก็จะคิดว่าพวกหลานชายคงเล่นอะไรกันในห้อง เพราะเสียงที่ได้ยินจะดังช่วงหัวค่ำที่หลานๆ อยู่ในห้อง แต่ความจริง ด้วยความที่ดิฉันขึ้นไปเล่นที่ห้องหลานบ่อย จึงรู้ดีว่า ในห้องหลานไม่มีของเล่นเป็นลูกบอลไม้ขนาดลูกสนุกเกอร์แบบนี้หรอก แต่เพราะเสียงนี้ไม่ได้น่ากลัว บวกกับอยู่ในบ้านตัวเอง และได้ยินทุกวันจนชักจะชิน กับตัวเองก็เรียนสายวิทย์ในตอนนั้น เชื่อสนิทใจว่าผีไม่มีจริงหรอกเพราะไม่เคยเห็นจะๆ กับตาสักที จึงเฉยๆ กับเสียงนี้

ต่อมาดิฉันสอบติดมหาวิทยาลัยรัฐต่างจังหวัด ปีแรกอยู่หอพักหญิงหอในซึ่งมี 4 ชั้น ดิฉันอยู่ชั้น 4 ในห้องมีสมาชิก 3 คน อีก 2 คนคือพี่ปี 2 กับปี 3 ดิฉันก็ได้ยินเสียงลูกสนุกเกอร์นี้อีกแล้ว ดังมาจากเพดานตามเคย เพียงแต่หนนี้ บนเพดานคือหลังคา ไม่ได้มีห้องของใครอีก และเสียงนี้จะดังเฉพาะเวลาที่พี่เมทอีก 2 คนไม่อยู่ห้อง แต่เพราะได้ยินเสียงนี้มาหลายปีจนชิน จึงไม่ได้กลัวอะไร

ตอนปี 1 เทอม 2 ในหอพักที่ดิฉันอยู่ ชั้น 2 มีเพื่อนปี 1 คณธเดียวกันแต่คนละเอกป่วยและไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ได้ยินว่าตั้งแต่วันที่เธอป่วย หมาหอนที่ลานหอทุกวันนานเจ็ดวัน และมีคนเห็นเธอในชุดนอนที่วมตอนตายยืนอยู่ตรงลานหอมองมาที่หอ พี่เมทปี 3 ของดิฉันก็กลัวจนขอลงมานอนเบียดกับดิฉันอยู่หนึ่งคืน แต่ดิฉันหลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่เคยได้ยินเสียงหมาหอนสักวัน -_-

ขึ้นปี 2 ดิฉันย้ายออกไปอยู่หอนอนกับเพื่อนจากโรงเรียนเก่า พักอยู่ชั้น 2 ที่กั้นห้องด้วยไม้อัดบางๆ จำไม่ได้ว่าได้ยินเสียงลูกสนุกเกอร์นี่ไหม แต่เพื่อนปีเดียวกันที่เช่าห้องอยู่ตรงข้ามกันเล่าให้ฟังว่า เย็นวันหนึ่งเธอแวะกลับมาที่ห้อง แล้วได้ยินเสียงพิมพ์คอมอยู่ในห้องดิฉัน จงเข้าใจว่าดิฉันกลับมาแล้วจึงร้องทัก แต่เงียบ ไม่มีเสียงตอบ พอเธอดูรองเท้า ที่หน้าห้อง ก็รู้ว่าดิฉันกับรูมเมทยังไม่กลับมาจากเรียน เธอจึงรีบเผ่นหนีออกจากหออย่างรวดเร็ว และมาเล่าให้ดิฉันฟังทีหลัง ดิฉันฟังแล้วก็ อืม เหรอ เพราะตัวเราเองไม่ได้เจอกับตัว เลยเฉยๆ ล่ะนะ

ขึ้นปี 3 ดิฉันย้ายไปพักอยู่หอสร้างใหม่เอี่ยม เป็นหอแรกที่ติดแอร์ แต่ดิฉันเลือกห้องไม่มีแอร์ มีแค่พัดลมติดเพดานชั้น 1 เพราะมองว่าพื้นเป็นหินอ่อน + มีพัดลมเพดานจ่อเหนือเตียงก็เย็นสบายพอแล้ว และแน่นอนว่าดิฉันเข้าอยู่ห้องนี้เป็นคนแรก แถมเข้าไปอยู่ตั้งแต่เขายังไม่เดินไฟ วันแรกที่ไปนอนนี่ต้องจุดเทียน

ชีวิตมหาวิทยาลัยปี 3 เป็นปีแรกที่โดนเรื่องประหลาดสารพัดรุมกระหน่ำใส่จนเหวอ แต่ตอนนี้จะยกเฉพาะเรื่องเสียงลูกสนุกเกอร์เพียงอย่างเดียว คือมีเสียงลูกสนุกเกอร์ดังมาจากเพดานอีกแล้ว แต่เพราะฟังจนชินแล้ว จึงเฉยๆ ไม่ได้สนใจจะตามหาที่มาของเสียงเลย

ต่อมาตอนปิดเทอมใหญ่ของปี 3 ดิฉันขึ้นไปทำธุระที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ปลายเดือนมีนา และอาศัยนอนห้องเช่าของพี่สาวคนที่สี่ (ขเรียกพี่ ม.) ซึ่งพี่สาวเช่าร่วมกับเพื่อนข้างบ้านที่คบกันสนิทมาตั้งแต่เด็กคนโต ชื่อพี่ ญ เป็นอพาร์ตเมนต์หลายชั้นมีลิฟต์ จำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นอยู่ชั้นไหน

ดิฉันนอนเตียงปิกนิกตามในภาพ เตียงวางถัดจากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มากๆ ของพี่ ม. ส่วนพี่ ม. กับพี่ ญ. นอนเตียงใหญ่

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่