ห้วงคะนึง…
...ผมลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด...
...มืดเสียจนผมไม่แน่ใจว่าผมได้ลืมตาขึ้นมาจริงหรือไม่ ผิวกายและลมหายใจสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นและชื้นแฉะรอบๆ บริเวณ...
...สายตาที่ลืมอยู่ในขณะนี้มองตรงไปด้านหน้าโดยที่ไม่อาจจับจ้องสิ่งใดได้...
ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่ผมนอนอยู่อย่างนั้น...ผมค่อยๆ ใช้มือและแขนอันปวดเมื่อยยันร่างกายที่อ่อนล้าเพื่อที่จะลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ท่ามกลางสมองมึนงง
...ที่นี่ที่ไหน...
รอบๆ ตัวในระยะที่สายตามองเห็น ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็ล้วนมีแต่ความมืดมิดที่ไม่อาจแยกแยะทิศทางได้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ไม่แสดงการไหวติงใดๆ แม้แต่น้อย
...ไม่มีเสียงเดิน...ไม่มีเสียงตกกระทบ...ไม่มีเสียงสิ่งใดๆ เคลื่อนไหว...ไม่มีเสียงลมพัด...
และ...ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจของสิ่งอื่นใด
ผมยืนนิ่งอย่างสับสน...ทำอะไรไม่ถูก
...ผมควรจะเริ่มทำอะไร...จากตรงไหน...
ตอนนี้...แม้แต่ที่ๆ ยืนอยู่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าคืออะไรด้วยซ้ำ
...ผมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...
ผมรวบรวมสติและตัดสินใจเดินสะเปะสะปะไปในความมืดโดยมีมือทั้งสองข้างปัดแกว่งคลำทางอยู่ด้านหน้าอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้
ความมืดมิดอันเวิ้งว้างที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดรอบๆ ตัวยังคงโอบคลุมผม ไม่ว่าจะก้าวไปทางใดก็ไม่อาจหลุดพ้นจากมัน
...ทุกย่างก้าวไม่อาจรับรู้ได้ว่าจะย่ำลงสู่พื้นเมื่อใด...
ผมพยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อะไรที่ทำให้ผมมาอยู่ในที่แห่งนี้ ที่ซึ่งผมเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าคือที่ใด
...ที่ๆ แม้แต่แสงก็ไม่อาจส่องถึงได้แห่งนี้...
...เกิดอะไรขึ้นกับผม...อะไร...ที่ทำให้ผมมาอยู่ที่นี่...ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น...
...ก่อนหน้านี้...
อาการปวดหัวเกิดขึ้นในทันทีที่ผมพยายามจะนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น
...ผมยังคงเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมายและเป้าหมาย...
...จุดหมาย...เป้าหมาย...อย่างนั้นรึ...
สองคำนี้...ดูเหมือนจะเป็นคำที่ผมไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย...ทำไม...ผมรู้สึกว่ามันช่างห่างไกลกับสิ่งที่ผมเป็นอยู่อย่างมาก
..................
ผมคิดว่าเป็นระยะทางพอสมควรแล้วที่ผมเริ่มเดินออกมาจากจุดเริ่มต้น
...ไม่มีทางออก...
อาการรับรู้หลังจากผ่านการเดินเท้ามาระยะเวลาหนึ่งบอกผมอย่างนั้น และนั่นส่งผลให้จังหวะก้าวของผมช้าลงเป็นลำดับ
...ผมต้องนึกให้ออกว่าเกิดอะไรขึ้น...นั่นอาจจะเป็นทางเดียวที่จะไขทุกอย่างให้กระจ่างและเป็นกุญแจไปสู่ทางออกจากสถานที่อันมืดมิดและเงียบเชียบแห่งนี้...
พลังความคิดถูกนำมาใช้แทนพลังกาย...เส้นเลือดบริเวณขมับบีบรัดและคลายเป็นจังหวะตามการพยายามใช้ความคิด
...อะไร...
จังหวะก้าวเท้าช้าลงอีก
..................
เหมือนทำนบกั้นน้ำแตก...นานเท่าใดก็ไม่อาจรู้ได้ที่พลังความคิดถูกใช้ออกไป...ภาพแห่งความทรงจำภาพแล้วภาพเล่าค่อยๆ ไหลพรั่งพรูออกจากสมอง
...ความล้มเหลวในชีวิต...
...ความผิดหวังนับครั้งไม่ถ้วน...
...ความท้อแท้ที่กัดกินหัวใจ...
...การลาจากอันแสนเศร้า...
...ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก...
...การดำเนินชีวิตอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย...
...เป้าหมายในชีวิตอันเลือนรางจนไม่อาจมองเห็นเป็นรูปร่างได้...
...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
จังหวะก้าวช้าลงเรื่อยๆ สวนทางกับความทรงจำที่หลั่งไหลออกมา
แรงกดดันมหาศาลถาโถมเข้าสู่จิตใจอันอ่อนล้าและไหล่ทั้งสองข้างจนหนักหน่วง
ผมไม่อาจจะก้าวเท้าหรือแม้แต่จะพยุงร่างกายให้ยืนอยู่ได้อีกต่อไป
...ร่างกายทรุดลง...ก้มหน้า...น้ำตาไหล...
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้ผมไม่อาจดำรงอยู่ได้อีกต่อไป
สถานที่มืดมิด หนาวเหน็บ และไร้ซึ่งแสงสว่างแห่งนี้ แท้จริงคือโลกภายในจิตใจของผม
...โลกที่ปิดกั้นผมจากความบอบช้ำภายนอกมาตลอด...
...ผมเป็นผู้แพ้ในโลกแห่งความเป็นจริง...
ด้านหน้าของผมบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นทุ่งกว้างที่เขียวขจี ดวงอาทิตย์กลมโตลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าใสกระจ่างคอยส่องแสงทองสดใสลงมาอาบท้องทุ่งทั่วทั้งบริเวณ ลมเอื่อยเย็นสบายพัดพาดอกหญ้าลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ที่ปลายทุ่งตัดกับขอบฟ้ามีไม้ยืนต้นตระหง่านทอดร่มเงาคอยผู้ที่จะมาหลบพักกายและใจ
ผมยันกายขึ้นยืนอีกครั้ง...และ...มองกลับไปยังความมืดมิดด้านหลัง...
ตึกรามบ้านช่อง อาคารสูงตระหง่าน การจราจรคับคั่ง ความเร่งรีบสับสน การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผลักดันให้ผมจมลงสู่ความมืดมิด...
ผมหันกลับไปยังแสงสว่างอันอบอุ่นในทุ่งกว้าง...และ...เริ่มก้าวเดินอย่างช้าๆ ด้วยใจสงบและเป็นสุข
ที่แห่งนี้เป็นที่ๆ ผมจะมีความสุขตลอดไป...โลกที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ภายนอก...ไม่มีการแก่งแย่งใดๆ...โลกที่เป็นนิรันดร์
...โลกในห้วงคะนึงของผม...
ณ เตียงนอนในโรงพยาบาล คนไข้คนหนึ่งดวงตาเหม่อลอยไม่จับจ้องหรือแสดงอาการรับรู้ต่อสิ่งเร้ารอบกายใดๆ...อีกต่อไป
ห้วงคะนึง (Original 10-12-2007)
...ผมลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด...
...มืดเสียจนผมไม่แน่ใจว่าผมได้ลืมตาขึ้นมาจริงหรือไม่ ผิวกายและลมหายใจสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นและชื้นแฉะรอบๆ บริเวณ...
...สายตาที่ลืมอยู่ในขณะนี้มองตรงไปด้านหน้าโดยที่ไม่อาจจับจ้องสิ่งใดได้...
ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่ผมนอนอยู่อย่างนั้น...ผมค่อยๆ ใช้มือและแขนอันปวดเมื่อยยันร่างกายที่อ่อนล้าเพื่อที่จะลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ท่ามกลางสมองมึนงง
...ที่นี่ที่ไหน...
รอบๆ ตัวในระยะที่สายตามองเห็น ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็ล้วนมีแต่ความมืดมิดที่ไม่อาจแยกแยะทิศทางได้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ไม่แสดงการไหวติงใดๆ แม้แต่น้อย
...ไม่มีเสียงเดิน...ไม่มีเสียงตกกระทบ...ไม่มีเสียงสิ่งใดๆ เคลื่อนไหว...ไม่มีเสียงลมพัด...
และ...ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจของสิ่งอื่นใด
ผมยืนนิ่งอย่างสับสน...ทำอะไรไม่ถูก
...ผมควรจะเริ่มทำอะไร...จากตรงไหน...
ตอนนี้...แม้แต่ที่ๆ ยืนอยู่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าคืออะไรด้วยซ้ำ
...ผมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...
ผมรวบรวมสติและตัดสินใจเดินสะเปะสะปะไปในความมืดโดยมีมือทั้งสองข้างปัดแกว่งคลำทางอยู่ด้านหน้าอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้
ความมืดมิดอันเวิ้งว้างที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดรอบๆ ตัวยังคงโอบคลุมผม ไม่ว่าจะก้าวไปทางใดก็ไม่อาจหลุดพ้นจากมัน
...ทุกย่างก้าวไม่อาจรับรู้ได้ว่าจะย่ำลงสู่พื้นเมื่อใด...
ผมพยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อะไรที่ทำให้ผมมาอยู่ในที่แห่งนี้ ที่ซึ่งผมเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าคือที่ใด
...ที่ๆ แม้แต่แสงก็ไม่อาจส่องถึงได้แห่งนี้...
...เกิดอะไรขึ้นกับผม...อะไร...ที่ทำให้ผมมาอยู่ที่นี่...ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น...
...ก่อนหน้านี้...
อาการปวดหัวเกิดขึ้นในทันทีที่ผมพยายามจะนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น
...ผมยังคงเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมายและเป้าหมาย...
...จุดหมาย...เป้าหมาย...อย่างนั้นรึ...
สองคำนี้...ดูเหมือนจะเป็นคำที่ผมไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย...ทำไม...ผมรู้สึกว่ามันช่างห่างไกลกับสิ่งที่ผมเป็นอยู่อย่างมาก
..................
ผมคิดว่าเป็นระยะทางพอสมควรแล้วที่ผมเริ่มเดินออกมาจากจุดเริ่มต้น
...ไม่มีทางออก...
อาการรับรู้หลังจากผ่านการเดินเท้ามาระยะเวลาหนึ่งบอกผมอย่างนั้น และนั่นส่งผลให้จังหวะก้าวของผมช้าลงเป็นลำดับ
...ผมต้องนึกให้ออกว่าเกิดอะไรขึ้น...นั่นอาจจะเป็นทางเดียวที่จะไขทุกอย่างให้กระจ่างและเป็นกุญแจไปสู่ทางออกจากสถานที่อันมืดมิดและเงียบเชียบแห่งนี้...
พลังความคิดถูกนำมาใช้แทนพลังกาย...เส้นเลือดบริเวณขมับบีบรัดและคลายเป็นจังหวะตามการพยายามใช้ความคิด
...อะไร...
จังหวะก้าวเท้าช้าลงอีก
..................
เหมือนทำนบกั้นน้ำแตก...นานเท่าใดก็ไม่อาจรู้ได้ที่พลังความคิดถูกใช้ออกไป...ภาพแห่งความทรงจำภาพแล้วภาพเล่าค่อยๆ ไหลพรั่งพรูออกจากสมอง
...ความล้มเหลวในชีวิต...
...ความผิดหวังนับครั้งไม่ถ้วน...
...ความท้อแท้ที่กัดกินหัวใจ...
...การลาจากอันแสนเศร้า...
...ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก...
...การดำเนินชีวิตอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย...
...เป้าหมายในชีวิตอันเลือนรางจนไม่อาจมองเห็นเป็นรูปร่างได้...
...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
จังหวะก้าวช้าลงเรื่อยๆ สวนทางกับความทรงจำที่หลั่งไหลออกมา
แรงกดดันมหาศาลถาโถมเข้าสู่จิตใจอันอ่อนล้าและไหล่ทั้งสองข้างจนหนักหน่วง
ผมไม่อาจจะก้าวเท้าหรือแม้แต่จะพยุงร่างกายให้ยืนอยู่ได้อีกต่อไป
...ร่างกายทรุดลง...ก้มหน้า...น้ำตาไหล...
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้ผมไม่อาจดำรงอยู่ได้อีกต่อไป
สถานที่มืดมิด หนาวเหน็บ และไร้ซึ่งแสงสว่างแห่งนี้ แท้จริงคือโลกภายในจิตใจของผม
...โลกที่ปิดกั้นผมจากความบอบช้ำภายนอกมาตลอด...
...ผมเป็นผู้แพ้ในโลกแห่งความเป็นจริง...
ด้านหน้าของผมบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นทุ่งกว้างที่เขียวขจี ดวงอาทิตย์กลมโตลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าใสกระจ่างคอยส่องแสงทองสดใสลงมาอาบท้องทุ่งทั่วทั้งบริเวณ ลมเอื่อยเย็นสบายพัดพาดอกหญ้าลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ที่ปลายทุ่งตัดกับขอบฟ้ามีไม้ยืนต้นตระหง่านทอดร่มเงาคอยผู้ที่จะมาหลบพักกายและใจ
ผมยันกายขึ้นยืนอีกครั้ง...และ...มองกลับไปยังความมืดมิดด้านหลัง...
ตึกรามบ้านช่อง อาคารสูงตระหง่าน การจราจรคับคั่ง ความเร่งรีบสับสน การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผลักดันให้ผมจมลงสู่ความมืดมิด...
ผมหันกลับไปยังแสงสว่างอันอบอุ่นในทุ่งกว้าง...และ...เริ่มก้าวเดินอย่างช้าๆ ด้วยใจสงบและเป็นสุข
ที่แห่งนี้เป็นที่ๆ ผมจะมีความสุขตลอดไป...โลกที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ภายนอก...ไม่มีการแก่งแย่งใดๆ...โลกที่เป็นนิรันดร์
...โลกในห้วงคะนึงของผม...
ณ เตียงนอนในโรงพยาบาล คนไข้คนหนึ่งดวงตาเหม่อลอยไม่จับจ้องหรือแสดงอาการรับรู้ต่อสิ่งเร้ารอบกายใดๆ...อีกต่อไป