ทำความรู้จัก การุณยฆาต การจากไปอย่างไม่ทรมาน เมื่อถึงจุดที่การรักษาไปต่อไม่ได้

รู้จัก การุณยฆาต การตัดสินใจจบชีวิตตัวเองให้หลุดพ้นความทรมาน เมื่อโรคที่เป็นอยู่ ไม่สามารถรักษาให้หาย ต้องเลือกระหว่างอยู่ต่อหรือจากไป กับข้อถกเถียงเรื่องศีลธรรม หลายประเทศยังไม่ยอมรับ
จากข่าวที่ หนุ่มไทยป่วยด้วยโรคเนื้องอกในสมอง รักษามาหลายครั้งก็ไม่ดีขึ้น ทำให้ไม่สามารถเล่น ฮาร์ป ได้อีก จึงตัดสินใจขายเครื่องดนตรีสุดรัก เข้ารับการการุณยฆาตที่สวิตเซอร์แลนด์ นั้น (อ่านข่าว : หนุ่มไทยขายเครื่องดนตรีสุดรัก เข้ารับการการุณยฆาต จบเส้นทางชีวิตด้วยศักดิ์ศรี)

เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 2 มีนาคม 2562 เพจเฟซบุ๊ก Drama-addict ระบุใจความว่า การุณยฆาตมีรากศัพท์มาจากคำว่า euthanasia ความหมายโดยรวมคือ ความตายที่ดี หรือความตายที่สงบ โดยเป้าหมายคือการทำให้ผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัส หรืออยู่ในสภาพที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ สามารถตัดสินใจจากไปอย่างสงบอย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

การการุณยฆาต ต่างจากการฆ่าตัวตาย คือ การฆ่าตัวตายนั้น บ่อยครั้งเกิดจากอาการป่วยโรคซึมเศร้าแบบรุนแรง ทำให้สารสื่อประสาทในสมองแปรปรวนจนคิดฆ่าตัวตายทั้งที่ความจริงไม่ได้อยากตาย ส่วนการการุณยฆาต เป็นการตัดสินใจของคนไข้อย่างมีสติ ต้องมีการประเมินอาการของคนไข้จากทั้งแพทย์และจิตแพทย์ ว่าไม่มีทางรักษา หรือ ไม่ควรยื้อคนไข้ให้รับความทุกข์ทรมานให้ยาวนานไปกว่านี้อีกต่อไป

ปัจจุบัน การการุณยฆาต มี 2 แบบ คือ Active Euthanasia คือ การเตรียมเครื่องมือฉีดยาให้คนไข้จากไปอย่างสงบด้วยตัวเอง หรืออาจจะมีคนช่วยเหลือ ซึ่งยังไม่เป็นที่ถูกกฎหมายในหลายประเทศ กับอีกแบบคือ Passive Euthanasia คือ การหยุดรักษาตามความต้องการของญาติหรือผู้ป่วยเอง และปล่อยให้คนไข้ค่อย ๆ จากไป

ประเด็นเรื่อง การุณยฆาต เป็นที่ถกเถียงในสังคมมาอย่างต่อเนื่อง โดยในยุคปัจุบัน มีการผลักดันประเด็นนี้ให้ถูกกฎหมายในหลายประเทศ รวมถึงในบางรัฐของสหรัฐอเมริกา เช่น รัฐวอชิงตัน โอเรกอน โคโรลาโด ฮาวาย เวอร์มอนท์ และวอชิงตัน ดีซี โดยมีเหตุผลสนับสนุนการุณยฆาต คือ ทุกคนต้องมีทางเลือกที่จะตัดสินใจชะตากรรมในชีวิตของตัวเอง, การช่วยเหลือด้วยการ การุณยฆาต เป็นการช่วยให้ผู้ป่วยพนักหลุดพ้นจากทุกข์ได้ เป็นต้น นอกจากนี้หนึ่งใน 5 เหตุผลหลักของผู้ที่เลือกทำ การุณยฆาต คือการไม่อยากอยู่อย่างสูญเสียศักดิ์ศรี และกลัวที่จะต้องภาระของผู้อื่น

ทว่า การกระทำการุณยฆาตนั้น ยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม จริยธรรม โดยเว็บไซต์บีบีซี ได้เผยแง่มุมที่น่าสนใจของประเด็นนี้ ด้วยการตั้งคำถามว่า เป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ ที่จะช่วยจบชีวิตของผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ต้องทรมานหนักจากความเจ็บปวด, ในสถานการณ์ใด ที่เราควรกระทำการการุณยฆาต และมีความแตกต่างกันในด้านศีลธรรมหรือไม่ ระหว่างการลงมือช่วยให้ตาย กับปล่อยให้คนไข้ค่อย ๆ ตายไปเอง ?

โดยบางแนวคิดที่ไม่เห็นด้วยกับการ การุณยฆาต แม้จะถูกกฎหมายในบางประเทศ เพราะมองว่าเป็นความทารุณ และการการุณยฆาต อาจใช้เป็นข้ออ้างในการจงใจฆาตกรรมได้ ขณะที่ ขณะที่ในอีกแง่มุมก็อาจจะมองว่าเป็นการฆ่าโดยเมตตาเพื่อให้อีกฝ่ายหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ และบางครั้งอาจถือเป็นการบรรเทาความเจ็บปวดให้กับผู้ป่วยได้เช่นกัน

ปัจจุบันประเทศที่อนุญาตให้ การุณยฆาต ถูกกฎหมาย กระกอบด้วย แคนาดา, สหรัฐฯ (ในบางรัฐ), โคลอมเบีย, เนเธอร์แลนด์, เบลเยียม, ลักแซมเบิร์ก, สวิตเซอร์แลนด์, ออสเตรเลีย (ในบางรัฐ) และญี่ปุ่น

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก เฟซบุ๊ก Drama-addict, BBC, Wikipedia
KAPOOK
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 38
ความเห็นจากผมที่มีประสบการณ์ตรงกับการุณยฆาต ที่ใช้กับพ่อและแม่ผมเอง

ท่านแรกคือพ่อผม พ่อน็อคจากความเครียดที่แม่ของผมล้มป่วย พ่อนอนหลับแบบไม่ตื่นเลย 1 เดือนเต็ม ผมเรียกข้างหูทุกวัน จนวันนึงพ่อตื่น และสามารถกลับบ้านได้ แต่อยู่ในสภาพป่วยนอนติดเตียง กลับมาดูแลที่บ้าน ได้อีก 2 เดือนกว่า พ่อก็น็อคอีก ไปนอนที่ รพ ในสภาพ เจ้าชายนิทรา และเปลี่ยนหมอเจ้าของไข้หลายท่านมาก กระทั่งถึงคุณหมอท่านล่าสุด เรียกผมไปบอกว่า คุณพ่อจะไม่ฟื้นและจะเป็นเจ้าชายนิทราไปตลอด ถ้าดูแลดี พ่อจะอยู่ต่อได้อีกเป็นปีๆ ซึ่งผมโอเค แต่คุณหมอมีคำถามส่งท้ายการสนทนาคือ จะหยุดการรักษาคุณพ่อมั้ย (passive euthanasia) ผมตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าคุณหมอจะถาม ต่อมาคือ นั่นเป็นคำถามที่ยากและยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ที่ผมต้องให้คำตอบ ในวันรุ่งขึ้น

คุณหมอเห็นสีหน้าผม ก็รู้ทันทีว่า ผมตอบไม่ได้ และต้องการความช่วยเหลือ คุณหมอ เลยพูดต่อว่า พ่อของหมอเองก็เป็นเจ้าชายนิทรา และหมอก็ตัดสินใจ หยุดการรักษาท่าน ลูกอย่าคิดว่านั่นเป็นการอกตัญญู หรือลูกฆ่าพ่อ ลูกลองคิดแทนคุณพ่อดูว่าถ้าท่านสามารถพูดกับเราได้ ท่านอยากอยู่ในสภาพนี้มั้ย

วันรุ่งขึ้น ผมได้คำตอบ และไปบอกคุณหมอ ให้หยุดการรักษา และพ่อผมเหลือเเวลาอีกเท่าไหร่ คำตอบคือ ประมาณ ไม่เกิน 10 วัน แต่พ่อผมมีลมหายใจอยู่อีก 3 เดือน ถึงเสีย

5 ปีต่อมา แม่ผมอาการทรุด ต้องเข้าออก รพ หลายครั้ง แต่ละครั้งอาการแม่จะทรุดลงเรื่อยๆ จนการเข้า รพ ครั้งล่าสุด แม่ก็เป็นเจ้าหญิงนิทรา และหมอเจ้าของไข้ก็เปลี่ยนเยอะมาก และคำถามอันแสนยากเย็นและทรมานสำหรับลูกก็มาถึงผมอีกครั้ง จากหมอคุณหมอท่านนึง แต่ครั้งนี้หมอไม่แนะนำอะไรทั้งสิ้น ผมไม่ยอมให้คำตอบเพราะผมไม่พร้อม ขณะเดียวกันอาการแม่ก็ทรุดลงเร็วมาก มีทั้งเครื่ิองช่วยหายใจ เครื่องกระตุ้นการเต้นหัวใจ สายน้ำเกลือ สายยา โยงเต็มเตียง ผมเห็นอย่างนั้น ผมจึงได้คำตอบในใจและไปแจ้งคุณพยาบาล และได้บันทึกลงในแฟ้มของแม่ วันรุ่งขึ้นมีอาจารย์หมอาองคน มาเดินตรวจ อ่านเจอเจตนารมณ์ของผม เลยสาธยายขั้นตอนการรักษาต่างๆ และใช้น้ำเสียงที่ดังมาก ถามผมว่า ทำไม่จะหยุดการรักษาล่ะ คุณแม่ยังลืมอยู่นะ ถ้ารักษาดีดี สามารถเอากลับไปดูแลต่อที่บ้านได้นะ ซึ่งขั้นตอนการรักษาคร่าวๆคือ
-เจาะคอ
-ใช้เครื่องช่วยใจไปตลอด ถ้ากลับบ้านได้ ราคาเครื่ิองละ 8 แสนกว่าบาท
-ฝังเครื่ิองกระตุ้นหัวใจ เพราะหัวใจห้องนึงไม่ทำงานแล้ว
-ต้องฟอกไต

ซึ่งในขณะนั้น แม่มีอาการ ติดเชื้อดื้อยา ต้องใช้ยาฆ่าเชื้ิอชนิดแรง ซึ่งผลที่ได้หากเชื้ิอหมด คือไตวาย ต้องฟอกไต, อาการชัก, อาการแพ้ยากันชัก, อาการไตวาย มาจากยาฆ่าเชื้ิอ แลัอาการติดเชื้อยังอยู่

ผมถามอาจารย์หมอคนนั้นกลับสองประโยคว่า แล้วคุณภาพชีวิตของแม่จะเป็นยังไง และศักดิ์ศรีความเป็นคนของแม่ล่ะ ถ้าปล่อยให้หมอรุมยำแม่ทุกอย่างที่บอกมา

หมอตกใจ และตอบคำเดียว อันนี้หมอไม่ทราบ ญาติตัดสินใจเองละกัน

ผมยืนกรานการตัดสินใจเดิม และแม่ก็หมดลมหายใจใน 6 วันต่อมา

ผมอยากจะบอกว่า สำหรับผม มีข้อเดียวที่นำมาใช้ตัดสิน อนาคตการรักษา หากเจ็บป่วยแบบหมดทางรักษา คือ คุณภาพของชีวิต ในขณะรักษาและหลังการรักษา

ไม่ว่าคนที่ต้องตัดสินใจเป็นผู้ป่วยเอง หรือ ลูก, คู่ชีวิต, พี่น้อง อย่าเอาไปรวมกับคำว่า เป็นบาป, เป็นลูกอกตัญญู เพราะการแสดงความรัก ความกตัญญู เราต้องทำตอนที่คนป่วยยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่เขายังแข็งแรง รับรู้ได้ อย่ากอด, อย่าบอกรัก, อย่าซื้อของดีดี อร่อยๆให้เขา, และอย่าขอโทษ ต่อหน้า ศพ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่