7 ความลึกลับปรากฏการณ์ของมหาสมุทร

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ



     
การบรรจบกันของทะเลบอลติกและทะเลเหนือ

     ปรากฏการณ์ทางมหาสมุทรนี้เป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันอย่างมาก จุดบรรจบของภาคเหนือและทะเลบอลติกเกิดขึ้นในเดนมาร์ก อย่างไรก็ตามเนื่องจากอัตราความหนาแน่นที่แตกต่างกันของน้ำทะเลน้ำทะเลยังคงแยกจากกันแม้จะมีการบรรจบกัน ว่ากันว่าปรากฏการณ์มหาสมุทรนี้ พบการกล่าวถึงในอัลกุรอานอันศักดิ์สิทธิ์

     ทะเล Skagen ซึ่งอยู่เหนือสุดของประเทศเดนมาร์ค เป็นจุดที่น้ำทะเลจากมหาสมุทรแบลทิค (Baltic) และน้ำทะเลจากมหาสมุทรทะเลเหนือมาบรรจบกัน แต่ไม่สามารถที่จะรวมกันได้เพราะ ความหนาแน่น (density) ของน้ำทะเลจากสองมหาสมุทรต่างกัน ทำให้เกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติขึ้น อย่างน่ามหัศจรรย์
    


Underwater Crop Circle


      Underwater Crop Circle หรือ วงกลมพืชใต้น้ำ เมื่อไม่นานมานี้นักประดาน้ำ ได้ค้นพบประติมากรรมลึกลับใต้ท้องทะเล แถว อามามิ โอชิม่า ประเทศ ญี่ปุ่น ลัษณะคล้ายกับ Crop Circles ที่เกิดตามท้องทุ่งนาทั่วโลก

รูปทรงแบบเรขาคณิตบนพื้นทรายที่สวยงามเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 ฟุต เป็นอะไรที่ไม่เคพบเห็นมาก่อน นักประดาน้ำ จึงตั้งให้มันว่า  “mystery circle” หรือวงกลมลึกลับ
แต่เมื่อเฝ้าสังเกตุดูพบว่า สิ่งนี้ไม่ได้เกิดเองจากธรรมชาติ และไม่ได้เกิดจากผีมือ มนุษย์ต่างดาว
แต่เกิดจากฝีมือปลาปักเป้าขนาดจิ๋ว ผู้สร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมชั้นเลิศ  เพื่อสร้างรังวางไข่นั้นเอง..



Green Flash


    เป็นปรากฏการณ์แสงอุตุนิยมวิทยาว่าบางครั้งเกิดขึ้นหลังจากพระอาทิตย์ตกดินหรือขวาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเมื่อเงื่อนไขถูกต้องจะมีจุดสีเขียวชัดเจนอยู่เหนือขอบด้านบนของดิสก์ของดวงอาทิตย์ ลักษณะสีเขียวมักใช้เวลาไม่เกินหนึ่งหรือสองวินาที แสงสีเขียวแทบจะไม่เหมือนกับแสงสีเขียวที่ถ่ายจากจุดพระอาทิตย์ตก (หรือพระอาทิตย์ขึ้น)

แสงสีเขียวเกิดขึ้นเนื่องจากชั้นบรรยากาศของโลกสามารถทำให้แสงจากดวงอาทิตย์แยกออกเป็นสีต่างๆ แสงสีเขียวเป็นกลุ่มของปรากฏการณ์ที่คล้ายกันซึ่งเกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกันเล็กน้อยและดังนั้นบางประเภทของแสงสีเขียวทั่วไปมากกว่าคนอื่น ๆ

กะพริบเป็นสีเขียวจะเพิ่มขึ้นโดยภาพลวงตาซึ่งเพิ่มการหักเหของแสง แสงสีเขียวมีแนวโน้มที่จะเห็นได้ในอากาศที่ปลอดโปร่งและชัดเจนเมื่อแสงจากดวงอาทิตย์ขึ้นมาถึงผู้สังเกตการณ์โดยไม่กระจัดกระจาย อาจคาดว่าจะเห็นแฟลชสีฟ้าเนื่องจากแสงสีฟ้าหักเหได้เกือบทั้งหมดและองค์ประกอบสีน้ำเงินของแสงของดวงอาทิตย์จึงเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะหายไปใต้เส้นขอบฟ้า แต่สีฟ้านั้นกระจัดกระจายออกไปจากเส้นสายตา และแสงที่เหลือจะปรากฏเป็นสีเขียว [5]
ด้วยการขยายเล็กน้อยขอบสีเขียวที่ด้านบนของดิสก์โซลาร์อาจมองเห็นได้ในช่วงพระอาทิตย์ตกในวันที่อากาศแจ่มใสที่สุดแม้ว่าเอฟเฟกต์แฟลชหรือเรย์ต้องอาศัยชั้นบรรยากาศที่แข็งแกร่งและภาพลวงตาซึ่งทำหน้าที่ขยายสีเขียวจากเศษส่วน วินาทีถึงสองสามวินาที



ทะเลโฟม


     เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เรียกว่า ทะเลโฟม (Sea foam) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของฟองคลื่นทะเล ที่เกิดจากความผิดปกติในน้ำทะเล โดยเฉพาะเมื่อมีสารอินทรีย์ที่ละลายน้ำ (Dissolved Organic Matter) ซึ่งได้แก่ โปรตีน ลิกนิน และ ลิพิด มากกว่าปกติ ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สารอินทรีย์เหล่านี้มีจำนวนมาก เกิดจากการแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วของสาหร่ายในแหล่งน้ำ (Algae Bloom)

     โดยทั่วไปแล้ว การเกิดทะเลโฟมเป็นตัวบ่งชี้ระบบนิเวศน์ของทะเลได้เป็นอย่างดี แต่หากเกิด Algae Bloom อย่างรวดเร็วโดยเฉพาะบริเวณใกล้ชายฝั่ง อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมได้



ความผิดปกติของทะเลบอลติก

ในปี 2011 ปรากฏที่เรียกว่า "ความผิดปกติของทะเลบอลติก" ถูกค้นพบโดยผู้เชี่ยวชาญและนักสำรวจ วัตถุที่คล้ายกับมิลเลนเนียมลอลคอนตำนานยานอวกาศสตาร์วอร์ส กลุ่มนักวิจัยใต้น้ำที่เรียกว่า "Ocean X Team" ใน 2011 ดำน้ำลึกประมาณ 91 เมตร นำทีมโดยกัปตันปีเตอร์ลินด์เบิร์กและเดนนิส สำรวจค้นพบด้วยความช่วยเหลือของคลื่นโซนาร์
   กระทั่งลูกเรือพบว่าวัตถุดังกล่าวเริ่มรายงานความผิดพลาดทางอิเล็กทรอนิกส์ในบริเวณใกล้เคียง
   "อุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดของเรามีการรวน เช่น โทรศัพท์ดาวเทียมหยุดทำงาน เมื่อเราอยู่เหนือวัตถุ" สเตฟาน Hogerborn นักดำน้ำส่วนหนึ่งของทีมโอเชียนเอ็กซ์กล่าว "จากนั้นเมื่อเราย้ายห่างจากวัตถุออกไปประมาณ 200 เมตร หลังจากอุปกรณ์ก็เริ่มต้นทำงานอีกครั้ง แต่เมื่อเรากลับมาเหนือวัตถุก็เป็นเหมือนเดิม "
ข้อสรุปต่อไปนี้เกี่ยวกับวัตถุลึกลับทะเลบอลติกจากการวิจัยเชิงสำรวจ:
•    นักวิจัยสรุปความเป็นไปได้ของภูมิศาสตร์ที่รุ่งเรืองในอดีตที่จมอยู่ใต้น้ำท่วมและไม่ถูกรบกวนจนกว่านักสำรวจจะพบกับมัน
•    ข้อสรุปอีกข้อหนึ่งเกี่ยวกับวัตถุขีปนาวุธของเยอรมันที่ตกลงสู่ส่วนลึกของทะเลบอลติกในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง เหตุผลนี้ได้รับความน่าเชื่ถือมากที่สุด นักวิทยาศาสตร์นักวิจัยและแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสงครามให้การสนับสนุนข้อสรุปนี้



Brinicle

       “Brinicle” หรือ นิ้วแห่งความตาย (Finger of Death) เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการจมลงของน้ำบนน้ำแข็งที่มีความเข้มข้นของเกลือและความเย็นที่สูงกว่า ไหลผ่านน้ำทะเลที่อยู่ใต้แผ่นน้ำแข็ง จึงทำให้ระหว่างที่น้ำจากด้านบนที่ไหลลงมาเปลี่ยนน้ำทะเลรอบๆ ให้แข็งตัวไปด้วย จนเกิดเป็นโครงสร้างคล้ายท่อน้ำแข็งงอกลงไปด้านล่าง

แม้จะสวยงามและหาชมยาก แต่น้ำเกลือที่ก่อตัวนี้กลับเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับสิ่งชีวิตเบื้องล่าง และอยู่ในเส้นทางการไหลของนิ้วน้ำแข็งนี้ เพราะมันสามารถแช่แข็งสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในเส้นทางได้แทบจะในทันทีที่สัมผัส กับความเย็นของน้ำแข็ง

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้ยากมาก เนื่องจากต้องอาศัยทั้งความต่อเนื่องจากการไหลของน้ำเกลือจากแผ่นน้ำแข็งด้านบน และความสงบนิ่งของกระแสน้ำใต้น้ำแข็ง เพราะหากเกิดกระแสน้ำไหลตลอดเวลา แท่งน้ำแข็งจะไม่สามารถก่อตัวได้ครับ



Milky_sea


      ทะเลสีเงิน (milky sea, white water) เป็นปรากฏการณ์แปลกที่นักเดินเรือพบเห็นเป็นเวลาหลายศตวรรษ มันเป็นปรากฏการณ์ที่พื้นผิวมหาสมุทรเรืองแสงสีขาวนวลอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าต้นกำเนิดแสงยังไม่มีการตรวจสอบ แต่คำอธิบายที่เป็นไปได้คือ เกิดจากการเจริญของแบคทีเรียเรืองแสงจำนวนมาก (bloom) หรืออาจจะเป็นสาหร่ายไดโนแฟล็กเจลเลต (dinoflagellate) ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ (red tides) คลื่นเรืองแสง (flashing waves) และประกายแสง (sparkling wake) เนื่องจากการเรืองแสงของสาหร่ายไดโนแฟล็กเจลเลตเช่นนี้ไม่ตรงกับการเรืองแสงที่เกิดในปรากฏการณ์ทะเลสีเงิน ดังนั้น ความเป็นไปได้มากที่สุดคือ แบคทีเรียเรืองแสง ซึ่งมันจะเรืองแสงออกมาอย่างต่อเนื่องภายใต้สภาวะที่เหมาะสม และต้องมีแบคทีเรียจำนวนมาก (10 เซลล์/มิลลิลิตร) เพื่อที่จะสะสมสารเคมีที่ชักนำให้เกิดปฏิกิริยาสร้างแสงขึ้น

ใน (ปี 2005) สามารถถ่ายภาพปรากฏการณ์ และการเรืองแสงนี้จากดาวเทียมได้เป็นครั้งแรก ภาพที่เห็นได้มาจากสตีฟ มิลเลอร์ (Steve Miller) แห่งศูนย์ทดลองงานวิจัยของทหารเรือ มันเป็นภาพที่ประกอบไปด้วยพื้นที่ที่แตกต่างกันบนโลก (กลางวันและกลางคืน) ที่มีเมฆประปรายและการเรืองแสงที่ดาวเทียมจับภาพได้ (ภาพล่าง) ภาพปรากฏการณ์ทะเลสีเงินถูกทำให้มีสีเหมือนธรรมชาติ เมื่อตัวตรวจจับแสงต่ำสามารถรับแสงในย่านสีเทาได้เท่านั้น
ปรากฏการณ์ทางทะเล milky sea ได้รับการบันทึกว่ามีมานานกว่าสี่ศตวรรษแล้ว

ที่มา https://www.dek-d.com/board/view/1179548/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่