....." ควันธูปเพิ่มเสี่ยง ‘มะเร็งปอด’ วิจัยพบกลุ่มเสี่ยงในวัด มีสารก่อมะเร็งสูงกว่าปกติ ".....
ที่มา :
https://www.hfocus.org/content/2019/02/16816
( Thu, 2019-02-07 -- hfocus )
_______________________________________________________________________________________________
ควันธูปเพิ่มเสี่ยง ‘มะเร็งปอด’ วิจัยพบกลุ่มเสี่ยงในวัด มีสารก่อมะเร็งสูงกว่าปกติ
Thu, 2019-02-07 12:27 -- hfocus
นักวิชาการ มธ. เตือนจุดควันธูปก่อฝุ่นขนาด PM10 หวั่นสูดดมระยะยาวเกิดโรค “มะเร็งปอด” ผลกระทบแรงไม่แตกต่าง
ควันรถยนต์หรือควันบุหรี่ ผลวิจัยตรวจพบกลุ่มเสี่ยงในวัด มีสารก่อมะเร็งสูงกว่าปกติ แนะ 4 วิธีลดผลกระทบ เน้นจุดธูป
ในที่อากาศถ่ายเทสะดวกและใช้ผ้าปิดจมูกทุกครั้ง
แม้ว่าสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) เริ่มคลี่คลายลง แต่ความกังวลถึงความเสี่ยงจากการ
สูดดมฝุ่นพิษรอบๆ ตัว เช่นกรณี “ควันธูป” ในช่วงเทศกาลหรือสถานที่สำคัญต่างๆ อาจซ้ำเติมสุขภาวะประชาชนให้ย่ำแย่ยิ่งขึ้น
ผศ.ดร.อารุญ เกตุสาคร รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การเผาไหม้ของ
ควันธูปจะทำให้เกิดอนุภาคฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) เมื่อทุกสูดดมเข้าไป ควันจะลงสู่ระบบทางเดินหายใจ
เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาสุขภาพในอนาคตได้ ประกอบกับในธูปพบสารก่อมะเร็งมากถึง 3 ชนิด ได้แก่ เบนซีน บิวทาไดอีน
และเบนโซเอไพรีน ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Polycyclic Aromatic Hydrocarbons (PAHs) ที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ผู้ได้รับสัมผัส
เป็นเวลานานจึงเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้าย โดยเฉพาะโรคมะเร็งปอดได้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุเป็นระยะเวลาที่ชัดเจนว่าต้องได้รับสัมผัสเป็นระยะเวลานานเท่าใด แต่จากการวิจัย
โดยทั่วไปต้องมีระยะเวลานานติดต่อกันเป็น 10 ปี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยประกอบด้วย เช่น พันธุกรรมหรือระบบการระบาย
อากาศในสถานที่จุดธูป ถ้าระบบถ่ายเทไม่ดี ก็ย่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
“การจุดธูปจะทำให้เกิดควันและมลพิษในอากาศ ซึ่งสารที่อยู่ในควันธูปนั้นป็นพิษต่อสารพันธุกรรมและสามารถนำไปสู่การ
เกิดมะเร็งในมนุษย์ เช่นเดียวกับที่พบในพวกควันท่อไอเสียรถยนต์ ควันบุหรี่ หรือควันจากกิจกรรมในอาคาร เช่น การใช้
เชื้อเพลิงจุดอาหาร ยากันยุง”
สำหรับสถานที่เสี่ยงได้รับควันธูปจำนวนมาก เช่น วัด การศึกษาวิจัยพบว่าคนทำงานในวัดมีสารก่อมะเร็งในเลือดสูงกว่า
ทั่วไป 4 เท่า แต่ไม่ใช่ทุกสถานที่ๆ จุดธูปเป็นประจำ จะเกิดผลลัพท์ดังกล่าว ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ
ความเร็วลม ความชื้นสัมพัทธ์ การระบายอากาศ ล้วนส่งผลกระทบต่อการรับสัมผัสเพิ่มสูงขึ้น
ผศ.ดร.อารุญ กล่าวอีกว่า ยังมีอาชีพเสี่ยงอื่นๆ อีก เช่น ตำรวจจราจร เด็กนักเรียนในเมืองใหญ่ๆ ที่ต้องเดินทางไปเรียน
ด้วยตนเอง ในกรุงเทพมหานคร และกลุ่มที่มีความเปราะบางทางสุขภาพ เช่น เด็ก คนชรา และผู้ที่จุดธูปเพื่อสักการะ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในบ้านโดยไม่มีอากาศถ่ายเท เป็นต้น
สำหรับคำแนะนำดูแลตนเอง 4 ประการ สำหรับผู้ที่ต้องอยู่ในบริเวณที่มีการจุดธูป ได้แก่
1. รณรงค์ให้ลดการจุดธูปหรือจุดธูปบริเวณที่โล่ง ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หรือใช้ธูปขนาดสั้นเพื่อให้เกิดควันระยะสั้น
หรือใช้ธูปไฟฟ้า
2. ถ้าหลีกเลี่ยงการจุดธูปไม่ได้ ให้จัดให้มีการระบายอากาศในทิศทางเดียว (One Directional Air Flow) และให้อยู่
เหนือทิศทางลม เพื่อลดการรับสัมผัสสาร
3. ควรสวมหน้ากากป้องกันฝุ่นละออง หรือใช้ผ้าชุบน้ำพอหมาด ๆ ปิดปากปิดจมูก
4.ภายหลังการสัมผัสควันธูปควรล้างมือ ล้างหน้า ล้างตา ให้สะอาด
“กลุ่มเสี่ยงต่ออันตรายจากควันธูปและต้องดูแล ได้แก่ เด็ก คนชรา และบุคคลที่ป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น
โรคถุงลมโป่งพอง หรือหลอดลมอักเสบเรื้อรัง เพราะบุคคลเหล่านี้ มีกลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
ไม่เหมือนปกติ ทำให้มีโอกาสเกิดอาการผิดปกติได้มากกว่าในกลุ่มคนที่มีสุขภาพดี” ผศ.ดร.อารุญกล่าวทิ้งท้าย
" ควันธูปเพิ่มเสี่ยง ‘มะเร็งปอด’ วิจัยพบกลุ่มเสี่ยงในวัด มีสารก่อมะเร็งสูงกว่าปกติ "
ที่มา : https://www.hfocus.org/content/2019/02/16816
( Thu, 2019-02-07 -- hfocus )
_______________________________________________________________________________________________
ควันธูปเพิ่มเสี่ยง ‘มะเร็งปอด’ วิจัยพบกลุ่มเสี่ยงในวัด มีสารก่อมะเร็งสูงกว่าปกติ
Thu, 2019-02-07 12:27 -- hfocus
นักวิชาการ มธ. เตือนจุดควันธูปก่อฝุ่นขนาด PM10 หวั่นสูดดมระยะยาวเกิดโรค “มะเร็งปอด” ผลกระทบแรงไม่แตกต่าง
ควันรถยนต์หรือควันบุหรี่ ผลวิจัยตรวจพบกลุ่มเสี่ยงในวัด มีสารก่อมะเร็งสูงกว่าปกติ แนะ 4 วิธีลดผลกระทบ เน้นจุดธูป
ในที่อากาศถ่ายเทสะดวกและใช้ผ้าปิดจมูกทุกครั้ง
แม้ว่าสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) เริ่มคลี่คลายลง แต่ความกังวลถึงความเสี่ยงจากการ
สูดดมฝุ่นพิษรอบๆ ตัว เช่นกรณี “ควันธูป” ในช่วงเทศกาลหรือสถานที่สำคัญต่างๆ อาจซ้ำเติมสุขภาวะประชาชนให้ย่ำแย่ยิ่งขึ้น
ผศ.ดร.อารุญ เกตุสาคร รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การเผาไหม้ของ
ควันธูปจะทำให้เกิดอนุภาคฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) เมื่อทุกสูดดมเข้าไป ควันจะลงสู่ระบบทางเดินหายใจ
เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาสุขภาพในอนาคตได้ ประกอบกับในธูปพบสารก่อมะเร็งมากถึง 3 ชนิด ได้แก่ เบนซีน บิวทาไดอีน
และเบนโซเอไพรีน ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Polycyclic Aromatic Hydrocarbons (PAHs) ที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ผู้ได้รับสัมผัส
เป็นเวลานานจึงเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้าย โดยเฉพาะโรคมะเร็งปอดได้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุเป็นระยะเวลาที่ชัดเจนว่าต้องได้รับสัมผัสเป็นระยะเวลานานเท่าใด แต่จากการวิจัย
โดยทั่วไปต้องมีระยะเวลานานติดต่อกันเป็น 10 ปี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยประกอบด้วย เช่น พันธุกรรมหรือระบบการระบาย
อากาศในสถานที่จุดธูป ถ้าระบบถ่ายเทไม่ดี ก็ย่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
“การจุดธูปจะทำให้เกิดควันและมลพิษในอากาศ ซึ่งสารที่อยู่ในควันธูปนั้นป็นพิษต่อสารพันธุกรรมและสามารถนำไปสู่การ
เกิดมะเร็งในมนุษย์ เช่นเดียวกับที่พบในพวกควันท่อไอเสียรถยนต์ ควันบุหรี่ หรือควันจากกิจกรรมในอาคาร เช่น การใช้
เชื้อเพลิงจุดอาหาร ยากันยุง”
สำหรับสถานที่เสี่ยงได้รับควันธูปจำนวนมาก เช่น วัด การศึกษาวิจัยพบว่าคนทำงานในวัดมีสารก่อมะเร็งในเลือดสูงกว่า
ทั่วไป 4 เท่า แต่ไม่ใช่ทุกสถานที่ๆ จุดธูปเป็นประจำ จะเกิดผลลัพท์ดังกล่าว ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ
ความเร็วลม ความชื้นสัมพัทธ์ การระบายอากาศ ล้วนส่งผลกระทบต่อการรับสัมผัสเพิ่มสูงขึ้น
ผศ.ดร.อารุญ กล่าวอีกว่า ยังมีอาชีพเสี่ยงอื่นๆ อีก เช่น ตำรวจจราจร เด็กนักเรียนในเมืองใหญ่ๆ ที่ต้องเดินทางไปเรียน
ด้วยตนเอง ในกรุงเทพมหานคร และกลุ่มที่มีความเปราะบางทางสุขภาพ เช่น เด็ก คนชรา และผู้ที่จุดธูปเพื่อสักการะ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในบ้านโดยไม่มีอากาศถ่ายเท เป็นต้น
สำหรับคำแนะนำดูแลตนเอง 4 ประการ สำหรับผู้ที่ต้องอยู่ในบริเวณที่มีการจุดธูป ได้แก่
1. รณรงค์ให้ลดการจุดธูปหรือจุดธูปบริเวณที่โล่ง ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หรือใช้ธูปขนาดสั้นเพื่อให้เกิดควันระยะสั้น
หรือใช้ธูปไฟฟ้า
2. ถ้าหลีกเลี่ยงการจุดธูปไม่ได้ ให้จัดให้มีการระบายอากาศในทิศทางเดียว (One Directional Air Flow) และให้อยู่
เหนือทิศทางลม เพื่อลดการรับสัมผัสสาร
3. ควรสวมหน้ากากป้องกันฝุ่นละออง หรือใช้ผ้าชุบน้ำพอหมาด ๆ ปิดปากปิดจมูก
4.ภายหลังการสัมผัสควันธูปควรล้างมือ ล้างหน้า ล้างตา ให้สะอาด
“กลุ่มเสี่ยงต่ออันตรายจากควันธูปและต้องดูแล ได้แก่ เด็ก คนชรา และบุคคลที่ป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น
โรคถุงลมโป่งพอง หรือหลอดลมอักเสบเรื้อรัง เพราะบุคคลเหล่านี้ มีกลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
ไม่เหมือนปกติ ทำให้มีโอกาสเกิดอาการผิดปกติได้มากกว่าในกลุ่มคนที่มีสุขภาพดี” ผศ.ดร.อารุญกล่าวทิ้งท้าย