ต่อเนื่องจาก Part 1
https://ppantip.com/topic/38494018
ทุกคนต่างมีสิ่งที่ตัวเองกลัว
บางครั้งสิ่งที่เรากลัวมากที่สุด ก็คือสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด แต่เรากลัว...
เรากลัวว่าเราจะไม่ได้มันมา
เรากลัวที่จะล้มเหลว
เราเลยสร้าง comfort zone แล้วเลือกที่จะนั่งอยู่ในนั้นและปลอบใจตัวเองว่า...
มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันยากเกินไป
ทอม กับ ซัมเมอร์ ก็เช่นกัน
สิ่งที่ทอมกลัว คือการออกจาก comfort zone ไปตามหาความฝันเพื่อเป็นสถาปนิก
ทอมเป็นนักฝัน แต่มักทำได้แค่ฝัน
เขามีความฝันที่จะออกแบบเมืองไว้หลายอย่าง
เขามีความสามารถ แต่เขาไม่กล้าพอ เขาไม่มั่นใจว่าจะทำได้
และมันต้องแลกกับการออกจากงานเดิม
งานสบายๆ งานที่เขาไม่ต้องทำอะไรมากก็ทำได้โดดเด่นอยู่แล้ว
แต่เขาก็ไม่มีความสุขกับมัน
และทุกครั้งที่เขาว่าง เขาจะต้องกลับมาวาดรูป ออกแบบตึก ออกแบบเมือง
นั่นแหละคือสิ่งที่เขารักจริงๆ นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่า Passion
ซัมเมอร์คือคนที่เห็นสิ่งนี้ในตัวทอม เธอเชื่อว่าเขาทำได้
เธอพยายามโน้มน้าวให้ทอมลุกขึ้นมาทำตามความฝันของเขาอยู่เป็นระยะๆ
ชีวิตมีค่าเกินกว่าจะมาเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ใช่
แต่ทอมก็ดื้อรั้น ปฏิเสธเรื่องนี้มาโดยตลอดเวลาที่พวกเขาคบหากัน
นอกจากเรื่องของความรัก ทอมเองก็เป็นตัวแทนเรื่องนี้ให้กับพวกเราหลายคน
หลายครั้งเราเลือกที่จะอยู่ใน comfort zone แทนที่จะเสี่ยงออกไปไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการ
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่มันมักหมายถึงเวลาและโอกาสดีๆ ที่เราเสียไป
ส่วนซัมเมอร์ ก็คือความสัมพันธ์ อย่างที่กล่าวไว้ในตอนที่แล้ว
ในต้นเรื่องผู้เล่าเรื่องจึงได้บอกว่า ในโลกนี้มีสิ่งที่ซัมเมอร์รักอยู่ 2 อย่าง
1. ผมดำยาวของเธอ และ 2. การที่เธอสามารถตัดผมทิ้งได้โดยไม่รู้สึกอะไร
เพราะไม่ช้า ผมก็กลับมายาวได้เหมือนเดิม
ถ้าพูดให้เป็นนามธรรมมากขึ้นก็คือ ความผูกพัน ความมั่นคงต่อความรู้สึก
ในเรื่องของความรัก มุมมองของจขกท. นะ
จขกท. ว่า ซัมเมอร์เข้าใจความรักได้ลึกซึ้งมากกว่าทอม
ทอมเคยบอกว่า เขาอยากตื่นเช้าขึ้นมาแล้วจะไม่รู้สึกเป็นอย่างอื่น
เขาต้องการความรัก ความสัมพันธ์ที่มั่นคงตลอดไป
แน่นอนว่า ไม่มีความรู้สึกหรือความสัมพันธ์ใดที่จะเหมือนเดิมได้ตลอดไป
จึงเป็นสาเหตุให้ซัมเมอร์ตอบกลับไปว่า
เธอให้เขาไม่ได้
ไม่ใช่เพราะเธอโลเล แต่เธอเข้าใจมันเป็นอย่างดี
แต่จขกท.ยอมรับว่า จขกท.เองก็ไม่ชอบที่ซัมเมอร์เอาปมในวัยเด็กมาตัดสินว่า
ทุกความสัมพันธ์จะต้องล้มเหลวแบบพ่อแม่ของเธอ
กำแพงที่เธอสร้างเพื่อกักขังตัวเองไว้ มันก็ทำร้ายทุกคนที่เข้าหาเธอเหมือนกัน
ถ้าใครยังจำฉากที่ซัมเมอร์เล่าฝันประหลาดให้ทอมฟังได้
ที่เธอฝันว่า เธอได้โบยบิน ได้เป็นอิสระดั่งที่ใจต้องการ
แต่กลับพบว่าตัวเองโดดเดี่ยว
เป็นฉากที่ทำให้วิเคราะห์ตัวละครได้ดีมาก
เพราะเป็นฉากที่ซัมเมอร์ลดกำแพงลงมาให้ทอม เธอสะท้อนความเปล่าเปลี่ยวในหัวใจของเธอ
เธอคิดว่าความสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัดทำให้เธอเป็นอิสระ
เธอคิดว่าเธอจะมีความสุข
สุดท้ายเธอพบว่า เธออาจจะไม่ต้องเจ็บปวดจริง
แต่เธอกลับรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะเธอเองก็ไม่เหลือใคร
ซึ่งนั่นอาจจะเจ็บปวดไม่ต่างจากการเลิกรา
เธอแถมให้ด้วยว่า เรื่องนี้เธอไม่เคยบอกให้ใครคนอื่นฟังเลยนะ ทอมเป็นคนแรก
แทนที่ทอมจะเห็นใจ หรือพยายามเข้าไปถึงจิตใจของซัมเมอร์มากขึ้นอีก
ทอมกลับบอกว่า
งั้นเขาก็พิเศษกว่าคนอื่น
จ้ะ พ่อคุณ
ความฝันประหลาดนี้ของซัมเมอร์นี่แหละ ที่ไปคล้องจองกับหนังที่เธออินจนน้ำตาแตกในโรงหนัง
หนังเรื่องนั้นคือ The Graduate
เรื่องเดียวกับที่คนบรรยายพูดถึงตั้งแต่ตอนแรกว่า ทอมตีความเรื่องนี้ผิด
สิ่งที่ทอมตีความผิดคือ ตอนจบของเรื่องที่พระนางได้หนีไปด้วยกันและเป็นอิสระ ทอมคิดว่ามันแฮปปี้เอนดิ้ง
แต่ไม่ใช่ หนังเรื่องนั้นจบไม่สวย
พวกเขาคิดว่าหนีปัญหาได้ เปล่าเลย พวกเขาแค่หนีไปเจอกับอีกปัญหานึง
ความรู้สึกนั้นซัมเมอร์เข้าใจดี ปัญหาของความสัมพันธ์ที่เธอกลัว
เธอถึงได้ร้องไห้ นึกทบทวนความสัมพันธ์ของเขาและเธอที่แย่ลงเรื่อยๆ
จนตัดสินใจเลิกกับทอม
หลังเลิกรากันไป ทั้งคู่ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่(?)
ทอมเริ่มต้นด้วยความเละเทะมาก แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้ลาออกจากงานที่เป็น comfort zone ของเขามาโดยตลอด
เมื่อคุณไม่เหลืออะไรให้พะวงแล้ว นั่นแหละคุณถึงจะมีแรงผลักดันให้กล้าที่จะทำในสิ่งที่ต้องการ
“When you got nothing, you got nothing to lose”
คนละเรื่องเลยนั่นมัน Titanic !!!
ส่วนซัมเมอร์ที่ไม่เชื่อเรื่องโชคชะตาหรือเนื้อคู่ ก็ได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่มาเปลี่ยนความคิดเธอไป
แล้วเธอก็ตระหนักได้ว่า ทอมพูดถูกเรื่องความรัก
ในฉากนี้ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเยินของคนนึงเทียบกับความเบิกบานของอีกคน
แต่สะท้อนถึงความเหมือนกันของทั้งคู่
พวกเขาได้หันหน้าเผชิญกับความกลัวของตัวเอง
พวกเขากล้าที่จะเริ่มต้น เพื่อเปลี่ยนแปลง เพื่อสิ่งที่ต้องการ
จุดเริ่มต้นของทอม คือ การลาออกจากงาน แล้วไปทำตามความฝันของตัวเอง ที่เขาเคยไม่กล้า
จุดเริ่มต้นของซัมเมอร์ คือ การแต่งงาน ที่เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์แบบผูกมัด ที่เธอเคยกลัว
เป็นฉากที่จขกท. ชอบมากเพราะเขานำเสนอได้ดีจริงๆ
นับว่าเรื่องนี้เป็นหนังอินดี้ที่ดูง่าย แต่ก็ซ่อนเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้เราคิดตามไปด้วยเหมือนกัน
——————————————————————————————————————-
บางทีสิ่งที่เราต้องการที่สุดมันก็อยู่ตรงหน้า
อยู่ที่ว่าเราจะกล้าวิ่งออกมาเพื่อมันหรือเปล่า
——————————————————————————————————————-
ขอแถมอีกนิดนึง สำหรับหลายคนที่สงสัยว่า ซัมเมอร์เคยรักทอมบ้างไหม
จากที่จขกท. กลับไปตั้งใจดูอีกรอบนะ
ฉากที่ชัดเจนที่สุดคือ ฉากที่ทั้งสองคนได้กลับมาเจอกันที่สวนสาธารณะ (บ่งบอกว่าทอมเองก็มีอิทธิพลกับซัมเมอร์นะ)
ทอมถามว่า มีคนอื่นอยู่แล้วทำไมในงานหมั้นของมิลลี่เธอถึงมาเต้นรำกับเขาล่ะ (ให้ความหวังกันนี่หว่า)
ซัมเมอร์เงียบไปพักนึง แล้วตอบว่า เพราะเธออยากเต้นรำกับเขา
แล้วต่อมา เธอก็กุมมือเขา พร้อมกับแหวนเพชรเม็ดเป้งๆ บนนิ้วนางซ้าย
จากสายตาและท่าทีของซัมเมอร์บ่งบอกว่า
She love(s/ed) him.
เพียงแต่ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่มันไปกันไม่ได้หรอก
เพราะพวกเขาแค่ไม่ใช่คนๆ นั้นของกันและกัน
——————————————————————————————————————-
(500) Days of Summer จึงไม่ใช่ “ แค่ ” หนังรักจริงๆ
Blockdit: พาเพลิน
https://www.blockdit.com/articles/5c56c9809b7a32212cedd33c
Part 2 มองคนละมุมใน (500) Days of Summer : เผชิญหน้ากับความกลัว
ทุกคนต่างมีสิ่งที่ตัวเองกลัว
บางครั้งสิ่งที่เรากลัวมากที่สุด ก็คือสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด แต่เรากลัว...
เรากลัวว่าเราจะไม่ได้มันมา
เรากลัวที่จะล้มเหลว
เราเลยสร้าง comfort zone แล้วเลือกที่จะนั่งอยู่ในนั้นและปลอบใจตัวเองว่า...
มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันยากเกินไป
ทอม กับ ซัมเมอร์ ก็เช่นกัน
สิ่งที่ทอมกลัว คือการออกจาก comfort zone ไปตามหาความฝันเพื่อเป็นสถาปนิก
ทอมเป็นนักฝัน แต่มักทำได้แค่ฝัน
เขามีความฝันที่จะออกแบบเมืองไว้หลายอย่าง
เขามีความสามารถ แต่เขาไม่กล้าพอ เขาไม่มั่นใจว่าจะทำได้
และมันต้องแลกกับการออกจากงานเดิม
งานสบายๆ งานที่เขาไม่ต้องทำอะไรมากก็ทำได้โดดเด่นอยู่แล้ว
แต่เขาก็ไม่มีความสุขกับมัน
และทุกครั้งที่เขาว่าง เขาจะต้องกลับมาวาดรูป ออกแบบตึก ออกแบบเมือง
นั่นแหละคือสิ่งที่เขารักจริงๆ นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่า Passion
ซัมเมอร์คือคนที่เห็นสิ่งนี้ในตัวทอม เธอเชื่อว่าเขาทำได้
เธอพยายามโน้มน้าวให้ทอมลุกขึ้นมาทำตามความฝันของเขาอยู่เป็นระยะๆ
ชีวิตมีค่าเกินกว่าจะมาเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ใช่
แต่ทอมก็ดื้อรั้น ปฏิเสธเรื่องนี้มาโดยตลอดเวลาที่พวกเขาคบหากัน
นอกจากเรื่องของความรัก ทอมเองก็เป็นตัวแทนเรื่องนี้ให้กับพวกเราหลายคน
หลายครั้งเราเลือกที่จะอยู่ใน comfort zone แทนที่จะเสี่ยงออกไปไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการ
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่มันมักหมายถึงเวลาและโอกาสดีๆ ที่เราเสียไป
ส่วนซัมเมอร์ ก็คือความสัมพันธ์ อย่างที่กล่าวไว้ในตอนที่แล้ว
ในต้นเรื่องผู้เล่าเรื่องจึงได้บอกว่า ในโลกนี้มีสิ่งที่ซัมเมอร์รักอยู่ 2 อย่าง
1. ผมดำยาวของเธอ และ 2. การที่เธอสามารถตัดผมทิ้งได้โดยไม่รู้สึกอะไร
เพราะไม่ช้า ผมก็กลับมายาวได้เหมือนเดิม
ถ้าพูดให้เป็นนามธรรมมากขึ้นก็คือ ความผูกพัน ความมั่นคงต่อความรู้สึก
ในเรื่องของความรัก มุมมองของจขกท. นะ
จขกท. ว่า ซัมเมอร์เข้าใจความรักได้ลึกซึ้งมากกว่าทอม
ทอมเคยบอกว่า เขาอยากตื่นเช้าขึ้นมาแล้วจะไม่รู้สึกเป็นอย่างอื่น
เขาต้องการความรัก ความสัมพันธ์ที่มั่นคงตลอดไป
แน่นอนว่า ไม่มีความรู้สึกหรือความสัมพันธ์ใดที่จะเหมือนเดิมได้ตลอดไป
จึงเป็นสาเหตุให้ซัมเมอร์ตอบกลับไปว่า
เธอให้เขาไม่ได้
ไม่ใช่เพราะเธอโลเล แต่เธอเข้าใจมันเป็นอย่างดี
แต่จขกท.ยอมรับว่า จขกท.เองก็ไม่ชอบที่ซัมเมอร์เอาปมในวัยเด็กมาตัดสินว่า
ทุกความสัมพันธ์จะต้องล้มเหลวแบบพ่อแม่ของเธอ
กำแพงที่เธอสร้างเพื่อกักขังตัวเองไว้ มันก็ทำร้ายทุกคนที่เข้าหาเธอเหมือนกัน
ถ้าใครยังจำฉากที่ซัมเมอร์เล่าฝันประหลาดให้ทอมฟังได้
ที่เธอฝันว่า เธอได้โบยบิน ได้เป็นอิสระดั่งที่ใจต้องการ
แต่กลับพบว่าตัวเองโดดเดี่ยว
เป็นฉากที่ทำให้วิเคราะห์ตัวละครได้ดีมาก
เพราะเป็นฉากที่ซัมเมอร์ลดกำแพงลงมาให้ทอม เธอสะท้อนความเปล่าเปลี่ยวในหัวใจของเธอ
เธอคิดว่าความสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัดทำให้เธอเป็นอิสระ
เธอคิดว่าเธอจะมีความสุข
สุดท้ายเธอพบว่า เธออาจจะไม่ต้องเจ็บปวดจริง
แต่เธอกลับรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะเธอเองก็ไม่เหลือใคร
ซึ่งนั่นอาจจะเจ็บปวดไม่ต่างจากการเลิกรา
เธอแถมให้ด้วยว่า เรื่องนี้เธอไม่เคยบอกให้ใครคนอื่นฟังเลยนะ ทอมเป็นคนแรก
แทนที่ทอมจะเห็นใจ หรือพยายามเข้าไปถึงจิตใจของซัมเมอร์มากขึ้นอีก
ทอมกลับบอกว่า
งั้นเขาก็พิเศษกว่าคนอื่น
จ้ะ พ่อคุณ
ความฝันประหลาดนี้ของซัมเมอร์นี่แหละ ที่ไปคล้องจองกับหนังที่เธออินจนน้ำตาแตกในโรงหนัง
หนังเรื่องนั้นคือ The Graduate
เรื่องเดียวกับที่คนบรรยายพูดถึงตั้งแต่ตอนแรกว่า ทอมตีความเรื่องนี้ผิด
สิ่งที่ทอมตีความผิดคือ ตอนจบของเรื่องที่พระนางได้หนีไปด้วยกันและเป็นอิสระ ทอมคิดว่ามันแฮปปี้เอนดิ้ง
แต่ไม่ใช่ หนังเรื่องนั้นจบไม่สวย
พวกเขาคิดว่าหนีปัญหาได้ เปล่าเลย พวกเขาแค่หนีไปเจอกับอีกปัญหานึง
ความรู้สึกนั้นซัมเมอร์เข้าใจดี ปัญหาของความสัมพันธ์ที่เธอกลัว
เธอถึงได้ร้องไห้ นึกทบทวนความสัมพันธ์ของเขาและเธอที่แย่ลงเรื่อยๆ
จนตัดสินใจเลิกกับทอม
หลังเลิกรากันไป ทั้งคู่ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่(?)
ทอมเริ่มต้นด้วยความเละเทะมาก แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้ลาออกจากงานที่เป็น comfort zone ของเขามาโดยตลอด
เมื่อคุณไม่เหลืออะไรให้พะวงแล้ว นั่นแหละคุณถึงจะมีแรงผลักดันให้กล้าที่จะทำในสิ่งที่ต้องการ
“When you got nothing, you got nothing to lose”
คนละเรื่องเลยนั่นมัน Titanic !!!
ส่วนซัมเมอร์ที่ไม่เชื่อเรื่องโชคชะตาหรือเนื้อคู่ ก็ได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่มาเปลี่ยนความคิดเธอไป
แล้วเธอก็ตระหนักได้ว่า ทอมพูดถูกเรื่องความรัก
ในฉากนี้ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเยินของคนนึงเทียบกับความเบิกบานของอีกคน
แต่สะท้อนถึงความเหมือนกันของทั้งคู่
พวกเขาได้หันหน้าเผชิญกับความกลัวของตัวเอง
พวกเขากล้าที่จะเริ่มต้น เพื่อเปลี่ยนแปลง เพื่อสิ่งที่ต้องการ
จุดเริ่มต้นของทอม คือ การลาออกจากงาน แล้วไปทำตามความฝันของตัวเอง ที่เขาเคยไม่กล้า
จุดเริ่มต้นของซัมเมอร์ คือ การแต่งงาน ที่เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์แบบผูกมัด ที่เธอเคยกลัว
เป็นฉากที่จขกท. ชอบมากเพราะเขานำเสนอได้ดีจริงๆ
นับว่าเรื่องนี้เป็นหนังอินดี้ที่ดูง่าย แต่ก็ซ่อนเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้เราคิดตามไปด้วยเหมือนกัน
——————————————————————————————————————-
บางทีสิ่งที่เราต้องการที่สุดมันก็อยู่ตรงหน้า
อยู่ที่ว่าเราจะกล้าวิ่งออกมาเพื่อมันหรือเปล่า
——————————————————————————————————————-
ขอแถมอีกนิดนึง สำหรับหลายคนที่สงสัยว่า ซัมเมอร์เคยรักทอมบ้างไหม
จากที่จขกท. กลับไปตั้งใจดูอีกรอบนะ
ฉากที่ชัดเจนที่สุดคือ ฉากที่ทั้งสองคนได้กลับมาเจอกันที่สวนสาธารณะ (บ่งบอกว่าทอมเองก็มีอิทธิพลกับซัมเมอร์นะ)
ทอมถามว่า มีคนอื่นอยู่แล้วทำไมในงานหมั้นของมิลลี่เธอถึงมาเต้นรำกับเขาล่ะ (ให้ความหวังกันนี่หว่า)
ซัมเมอร์เงียบไปพักนึง แล้วตอบว่า เพราะเธออยากเต้นรำกับเขา
แล้วต่อมา เธอก็กุมมือเขา พร้อมกับแหวนเพชรเม็ดเป้งๆ บนนิ้วนางซ้าย
จากสายตาและท่าทีของซัมเมอร์บ่งบอกว่า
She love(s/ed) him.
เพียงแต่ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่มันไปกันไม่ได้หรอก
เพราะพวกเขาแค่ไม่ใช่คนๆ นั้นของกันและกัน
——————————————————————————————————————-
(500) Days of Summer จึงไม่ใช่ “ แค่ ” หนังรักจริงๆ
Blockdit: พาเพลิน
https://www.blockdit.com/articles/5c56c9809b7a32212cedd33c