'มานพ'พ่อ'ศิธา ทิวารี'ไม่มาฟังคำสั่งอัยการคดีฟอกเงินกรุงไทย เตรียมประสานดีเอสไอตามตัว-ขอออกหมายจับ
ประยุทธ เพชรคุณ
30 ม.ค.62 - ที่สำนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 นัดส่งฟ้องนายมานพ ทิวารี บิดาของ น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ในข้อกล่าวหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินรับโอนเงินที่ได้จากการอนุมัติสินเชื่อระหว่าง ธ.กรุงไทยฯ กับกลุ่มกฤษดามหานครโดยมิชอบ ภายหลังจากที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 ได้มีความเห็นให้สั่งฟ้องคดีไปก่อนหน้านี้
โดยในเวลา 17.00 น. นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ในวันนี้ซึ่งเป็นวันนัดฟังคำสั่งและส่งตัวฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ปรากฏว่านายมานพ ผู้ต้องหายังไม่ได้เดินทางมาพบพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 โดยส่งผู้รับมอบอำนาจมาขอเลื่อนการฟังคำสั่งคดีและส่งตัวฟ้องไปก่อน ระบุเหตุเนื่องจากขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด จึงขอให้รอฟังคำสั่งของอัยการสูงสุดก่อน ซึ่งทางคณะทำงานอัยการคดีพิเศษพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ต้องหาอ้างเหตุการขอเลื่อนคดีมาหลายครั้งแล้ว ผู้บังคับบัญชายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงความเห็นและคำสั่ง ทำให้ไม่มีเหตุต้องรอ จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนการฟังคำสั่งออกไป หลังจากนี้ทางอัยการสำนักงานคดีพิเศษจะมีหนังสือไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ไปดำเนินการติดตามตัวผู้ต้องหามาให้อัยการส่งฟ้อง หากยังไม่ได้ตัวมา ให้ดำเนินการขออนุญาตศาลออกหมายจับตัวผู้ต้องหามาให้อัยการส่งฟ้องศาลต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีร่วมกันฟอกเงินกรุงไทย ดังกล่าว ก่อนหน้านี้คณะทำงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้มีความเห็นสั่งฟ้องนายมานพ พร้อมกับนางกาญจนาภา หงษ์เหิน (เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) และนายวันชัย หงษ์เหิน (สามีของนางกาญจนาภา) ซึ่งนางกาญจนาภาและนายวันชัย หลบหนีไม่มาตามนัดส่งตัวฟ้องของอัยการไปก่อนหน้านี้ พนักงานอัยการคดีพิเศษก็ได้มีการประสานไปยังดีเอสไอ เพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับแล้วเช่นกัน
ในส่วนของนายมานพนั้น ก่อนหน้านี้เคยได้ขอเลื่อนการฟังคำสั่งของอัยการไปแล้ว 2 ครั้ง และยังได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้บริหารสำนักงานอัยการสูงสุด แต่คณะทำงานอัยการพิจารณาแล้วก็มีความเห็นยืนยันสั่งให้ฟ้อง โดยอัยการกำหนดนัดให้นายมานพมาพบอัยการในวันนี้
คดีสมคบฟอกเงินที่เกี่ยวกับการโอนและรับโอนเงินซึ่งเกี่ยวข้องการทุจริตปล่อยกู้ของ ธ.กรุงไทยฯ กับเครือข่ายธุรกิจกฤษดามหานครนั้น ก่อนหน้านี้อัยการได้ยื่นฟ้องไปแล้ว 2 สำนวน สำนวนแรกส่วนของผู้โอน คือกลุ่มธุรกิจกฤษดามหานคร ซึ่งได้ยื่นฟ้องนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อายุ 79 ปี ผู้บริหารกฤษดามหานคร กับพวกรวม 6 คนต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2561 เป็นคดีหมายเลขดำ อท.214/2561 ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ฯ มาตรา 4, 5, 9, 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 จากกรณีระหว่างวันที่ 11 ก.ย. 2546 – ธ.ค. 2547 มีการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อของ ธ.กรุงไทยฯ ผู้เสียหายให้กับ บมจ.กฤษดามหานครและบริษัทในเครือโดยมิชอบแล้ว จำเลยกับพวกอีกหลายคนสมคบกันฟอกเงินที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ จำนวน 10,400,000,000 บาท (หนึ่งหมื่นสี่ร้อยล้านบาท) นั้น ซึ่งปัจจุบันกลุ่มนายวิชัย ผู้บริหารกฤษดามหานคร ก็ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำฯ
สำนวนที่ 2 กลุ่มรับโอนเงิน ที่ยื่นฟ้องนายพานทองแท้หรือโอ๊ค ชินวัตร บุตรชายคนโต อายุ 38 ปีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5, 9, 60 ฐานสมคบฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินรับโอนเช็ค 10 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2561 ซึ่งศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อท.245/2561 และได้นัดตรวจเอกสารหลักฐานต่อเนื่องในเดือน ม.ค. 2562 – เม.ย. 2562 โดยจะนัดตรวจหลักฐานทั้งหมดให้เสร็จสิ้นในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ขณะที่นายพานทองแท้ได้ประกันตัวไปด้วยหลักทรัพย์เงินสด 1 ล้านบาท ซึ่งศาลกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
https://www.thaipost.net/main/detail/27900
ตั้งแต่สนใจการเมืองมา..ก็ได้แต่รับทราบว่าบรรดาคนที่มีคดีไม่มาตามนัด แล้วก็หนี
โดยเฉพาะ นักการเมือง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง แฟมิลี่ของนักการเมือง
คดีนี้ไม่มาตามนัดอีกแล้ว ใจคอไม่ดีเลยค่ะ
กลัวเกิดเหตุซ้ำซากเหมือนคดีอื่นๆ ได้แต่ถอนใจยาวๆค่ะ
เฮ้อออออ!! เจ็บคอ
ดูโฮย่า ดาวร้อยดวงดีกว่า สบายใจค่ะ...
📏📏📏📏มาลาริน/ซ้ำซาก..'มานพ'พ่อ'ศิธา ทิวารี'ไม่มาฟังคำสั่งอัยการคดีฟอกเงินกรุงไทย เตรียมมอบดีเอสไอตามตัว-ขอออกหมายจับ
'มานพ'พ่อ'ศิธา ทิวารี'ไม่มาฟังคำสั่งอัยการคดีฟอกเงินกรุงไทย เตรียมประสานดีเอสไอตามตัว-ขอออกหมายจับ
ประยุทธ เพชรคุณ
30 ม.ค.62 - ที่สำนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 นัดส่งฟ้องนายมานพ ทิวารี บิดาของ น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ในข้อกล่าวหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินรับโอนเงินที่ได้จากการอนุมัติสินเชื่อระหว่าง ธ.กรุงไทยฯ กับกลุ่มกฤษดามหานครโดยมิชอบ ภายหลังจากที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 ได้มีความเห็นให้สั่งฟ้องคดีไปก่อนหน้านี้
โดยในเวลา 17.00 น. นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ในวันนี้ซึ่งเป็นวันนัดฟังคำสั่งและส่งตัวฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ปรากฏว่านายมานพ ผู้ต้องหายังไม่ได้เดินทางมาพบพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 โดยส่งผู้รับมอบอำนาจมาขอเลื่อนการฟังคำสั่งคดีและส่งตัวฟ้องไปก่อน ระบุเหตุเนื่องจากขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด จึงขอให้รอฟังคำสั่งของอัยการสูงสุดก่อน ซึ่งทางคณะทำงานอัยการคดีพิเศษพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ต้องหาอ้างเหตุการขอเลื่อนคดีมาหลายครั้งแล้ว ผู้บังคับบัญชายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงความเห็นและคำสั่ง ทำให้ไม่มีเหตุต้องรอ จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนการฟังคำสั่งออกไป หลังจากนี้ทางอัยการสำนักงานคดีพิเศษจะมีหนังสือไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ไปดำเนินการติดตามตัวผู้ต้องหามาให้อัยการส่งฟ้อง หากยังไม่ได้ตัวมา ให้ดำเนินการขออนุญาตศาลออกหมายจับตัวผู้ต้องหามาให้อัยการส่งฟ้องศาลต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีร่วมกันฟอกเงินกรุงไทย ดังกล่าว ก่อนหน้านี้คณะทำงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้มีความเห็นสั่งฟ้องนายมานพ พร้อมกับนางกาญจนาภา หงษ์เหิน (เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) และนายวันชัย หงษ์เหิน (สามีของนางกาญจนาภา) ซึ่งนางกาญจนาภาและนายวันชัย หลบหนีไม่มาตามนัดส่งตัวฟ้องของอัยการไปก่อนหน้านี้ พนักงานอัยการคดีพิเศษก็ได้มีการประสานไปยังดีเอสไอ เพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับแล้วเช่นกัน
ในส่วนของนายมานพนั้น ก่อนหน้านี้เคยได้ขอเลื่อนการฟังคำสั่งของอัยการไปแล้ว 2 ครั้ง และยังได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้บริหารสำนักงานอัยการสูงสุด แต่คณะทำงานอัยการพิจารณาแล้วก็มีความเห็นยืนยันสั่งให้ฟ้อง โดยอัยการกำหนดนัดให้นายมานพมาพบอัยการในวันนี้
คดีสมคบฟอกเงินที่เกี่ยวกับการโอนและรับโอนเงินซึ่งเกี่ยวข้องการทุจริตปล่อยกู้ของ ธ.กรุงไทยฯ กับเครือข่ายธุรกิจกฤษดามหานครนั้น ก่อนหน้านี้อัยการได้ยื่นฟ้องไปแล้ว 2 สำนวน สำนวนแรกส่วนของผู้โอน คือกลุ่มธุรกิจกฤษดามหานคร ซึ่งได้ยื่นฟ้องนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อายุ 79 ปี ผู้บริหารกฤษดามหานคร กับพวกรวม 6 คนต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2561 เป็นคดีหมายเลขดำ อท.214/2561 ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ฯ มาตรา 4, 5, 9, 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 จากกรณีระหว่างวันที่ 11 ก.ย. 2546 – ธ.ค. 2547 มีการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อของ ธ.กรุงไทยฯ ผู้เสียหายให้กับ บมจ.กฤษดามหานครและบริษัทในเครือโดยมิชอบแล้ว จำเลยกับพวกอีกหลายคนสมคบกันฟอกเงินที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ จำนวน 10,400,000,000 บาท (หนึ่งหมื่นสี่ร้อยล้านบาท) นั้น ซึ่งปัจจุบันกลุ่มนายวิชัย ผู้บริหารกฤษดามหานคร ก็ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำฯ
สำนวนที่ 2 กลุ่มรับโอนเงิน ที่ยื่นฟ้องนายพานทองแท้หรือโอ๊ค ชินวัตร บุตรชายคนโต อายุ 38 ปีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5, 9, 60 ฐานสมคบฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินรับโอนเช็ค 10 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2561 ซึ่งศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อท.245/2561 และได้นัดตรวจเอกสารหลักฐานต่อเนื่องในเดือน ม.ค. 2562 – เม.ย. 2562 โดยจะนัดตรวจหลักฐานทั้งหมดให้เสร็จสิ้นในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ขณะที่นายพานทองแท้ได้ประกันตัวไปด้วยหลักทรัพย์เงินสด 1 ล้านบาท ซึ่งศาลกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
https://www.thaipost.net/main/detail/27900
ตั้งแต่สนใจการเมืองมา..ก็ได้แต่รับทราบว่าบรรดาคนที่มีคดีไม่มาตามนัด แล้วก็หนี
โดยเฉพาะ นักการเมือง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง แฟมิลี่ของนักการเมือง
คดีนี้ไม่มาตามนัดอีกแล้ว ใจคอไม่ดีเลยค่ะ
กลัวเกิดเหตุซ้ำซากเหมือนคดีอื่นๆ ได้แต่ถอนใจยาวๆค่ะ
เฮ้อออออ!! เจ็บคอ
ดูโฮย่า ดาวร้อยดวงดีกว่า สบายใจค่ะ...