อุทาหรณ์..จากเถ้าแก่อสังหาริมทรัพย์ เหลือเงิน 2,000 บาท มาเริ่มต้นธุรกิจใหม่

อุทาหรณ์..จากเถ้าแก่อสังหาริมทรัพย์  เหลือเงิน 2,000 บาท มาเริ่มต้นธุรกิจใหม่(ยืม ID คนอื่นมาโพสต์นะ)

           เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้  ไม่มี Happy Ending เพราะชีวิตยังไม่จบ และธุรกิจก็ยังไม่หยุดโต  แม้จะโตช้าๆ  แต่อยากเล่าอุทาหรณ์ให้คนที่กำลังจะเริ่มเส้นทางนายตัวเองฟังว่ามันไม่ได้สวยหรูเหมือนในหนังในละคร  ทั้งยากลำบาก  เหนื่อย และไม่มีอะไรการันตีความสำเร็จ  จากวิกฤติปี 40 ผ่านมา 22 ปีแล้วเพิ่งจะเริ่มโตและดีขึ้นบ้าง  ขอบคุณลูกค้าทุกคนจริงๆที่สนับสนุนมาจนทุกวันนี้  ความสำเร็จไม่ใช่จะสร้างได้ในวันเดียวจริงๆ  และนี่คือมุมมองส่วนบุคคล  หวังว่าจะไม่มีดราม่าเกิดขึ้นเพราะคนเราล้วนมีมุมมองทัศนคติที่ต่างกันจากเรื่องราวของแต่ละคนที่ผ่านเส้นทางมาไม่เหมือนกัน

          เริ่มต้นจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 จากเถ้าแก่อสังหาริมทรัพย์สู่เจ้าของร้านซักรีดเล็กๆย่านลาดพร้าว-วังหิน  ด้วยเงินทุนเริ่มต้นเพียง 2,000 บาท การเริ่มต้นธุรกิจใหม่ตอนอายุ 40 กว่าปีไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย  เพราะเรื่องของความรู้ในธุรกิจใหม่ที่ต้องเรียนรู้ใหม่หมด  วางระบบการทำงานใหม่  และที่สำคัญต้องทำใจรับให้ได้ว่าเราตกลงมาสู่จุดต่ำสุดแล้วจริงๆ  เราต้องยอมรับให้ได้และเดินหน้าต่อไปเท่านั้น  เพราะยังมีปากท้องที่ต้องเลี้ยงดู  อะไรที่เป็นเงินต้องทำหมด  จะไปสมัครเป็นลูกจ้างเขาก็ไม่มีใครรับแล้วด้วยอายุที่สูง  กับดักวัยกลางคนจริงๆ
          จุดเริ่มต้นนั้นไม่ง่าย  เนื่องจากมีเงินทุนไม่มาก  เริ่มต้นจากกะละมังเพียงใบเดียว กับเตารีดมือหนักๆ  ไม่มีเครื่องซักผ้าหรือเตารีดไอน้ำแพงๆ  เปิดร้านครั้งแรกในห้องใต้คอนโดเล็กๆแถวโรงเรียนบุญฤดี เป็นคอนโดสูง 8 ชั้นที่มีการออกแบบประหลาดๆ คือลิฟท์จะอยู่ระหว่างชั้น  เช่น ออกลิฟท์มาต้องเดินขึ้นบันไดไปชั้น 3 แต่ถ้าเดินลงบันไดจะไปชั้น 2 ชีวิตตอนนั้นทั้งครอบครัวลำบากมาก  สงสารทุกๆคน  จากที่เคยมีรถขับวันนี้โดนไฟแนนซ์มายึดรถ  และลูกต้องนั่งรถเมล์ไปโรงเรียนเอง  ชีวิตการกินช่วงแรกๆ KFC คือหรูแล้ว  ตอนจนแรกๆยังมีแว๊บไปกินบ้างแต่สักพักค่อยๆจาง  อดมื้อกินมื้อ  ไปร้านข้าวมันไก่ต้องสั่งข้าวมันไก่ได้แค่ 1 จน  ที่เหลือคือสั่งข้าวเปล่ามาแบ่งกันกิน  ราดน้ำจิ้มเอา  พวกเราอาศัยอยู่ในห้องเล็กๆ ห้องรูหนู 20 ตารางเมตร กับ 4 ชีวิตที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่จอดรถได้หลายคันและมีคนรับใช้  ติดต่อค้าขายดีลนึงได้ 4-5 แสน หรือบางครั้งเป็นล้าน ชีวิตพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าจริงๆ  
            กลับมาเรื่องของร้าน  การตลาดในช่วงแรกจะให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการจึงต้องทำให้คนในพื้นที่ละแวกใกล้เคียงรู้จักก่อน  เริ่มต้นด้วยการถ่ายเอกสารใบราคา(โบร์ชัวร์)ที่ไม่ได้หรูหราอะไร ขี่มอเตอร์ไซค์พร้อมลูกชายและลูกสาวอีก 2 คน ไล่แจกใบปลิวทั่วทุกหมู่บ้านและแวกใกล้เคียง  วิ่งขึ้นวิ่งลงรถ  ส่วนสติ๊กเกอร์หน้าร้าน  หาซื้อสติ๊กเกอร์จากร้านจำหน่ายเครื่องเขียนทั่วไป  และปริ้นแม่แบบ Font จากในคอมพิวเตอร์มาตัดกันเอง(ทุกวันนี้สติ๊กเกอร์นั้นก็ยังอยู่) ถึงจะไม่รวยเหมือนเดิม  แต่บ้านไม่เคยจนในเรื่องของเสียงหัวเราะ  ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากที่พาให้ผ่านเรื่องราวที่ยากลำบากไปได้ในแต่ละวัน
          ชีวินมันต้องสู้...เมื่อทำธุรกิจไปได้สักระยะเริ่มเป็นที่รู้จักของคนหมู่มาก  ผลงานเริ่มนิ่ง  ระบบต่างๆที่วางไว้เริ่มดีขึ้น  รู้จักผ้าประเภทต่างๆ วิเคราะห์ แยกแยะเพื่อป้องกันผ้าเสีย  หรือผ้าหลง  ก็เริ่มมีญาติพี่น้องแนะนำงานให้เป็นกองถ่ายละครแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก  เริ่มรับงานและบริการรับส่งเนื่องจากกองถ่ายละครต้องการใช้ผ้าค่อนข้างด่วน  และไม่สามารถส่งล่วงหน้าได้  ทางร้านจึงบริการอย่างดีมาเป็นเวลานับ 10 ปี มีเพียงช่วงเวลาที่ปิดกองเท่านั้นจึงได้พักหายใจหายคอ
         การขยายสาขา  เมื่อเริ่มเก็บเงินได้จึงตัดสินใจขยายสาขา  เคยเปิดสาขามากสุดถึง 4 สาขา  แต่ด้วยข้อจำกัดทางด้านเงินทุนและความเข้าใจในการบริหารงาน  จึงทำให้สาขาที่เปิดใหม่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร  แต่ก็ได้เรียนรู้บทเรียนต่างๆและนำมาปรับใช้  จนปัจจุบันยุบสาขาต่างๆรวมกันเหลือเพียง 1 สาขา  เพื่อควบคุมคุณภาพการผลิตให้ดีที่สุด  เจ้าของลงมือทำเองซะส่วนใหญ่  เราใส่ใจคุณภาพทั้งผ้าซักธรรมดาและซักแห้ง  ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้น  การทำโฆษณาออนไลน์เริ่มเห็นผลและเป็นที่รู้จักให้กลุ่มลูกค้าวงกว้างขึ้นจนถึงทุกวันนี้  แต่ธุรกิจก็โตอย่างช้าๆ  ในปีนี้สัญญาครบ 10 ปี ค่าเช่าเพิ่มขึ้นอีก 5,000 บาทต่อเดือน   ปัจจุบันพิษของโลก Digital ทำให้งานละครที่เคยมีก็หายไปด้วย  งบประมาณในการผลิตสื่อไม่ได้สูงเหมือนแต่ก่อน  จะมาส่งผ้าซักร้านแพงๆไม่ได้แล้ว  และงานละครก็ค่อยๆหายไปเพราะบริษัททำละครปรับตัวลงเพื่อความอยู่รอด แต่ชีวิตก็ต้องสู้ต่อไป  โดยหวังว่าสักวันหนึ่งชีวิตจะกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง


สุดท้ายนี้เกมส์ชีวิตก็เดินทางมาถึงตอนจบแล้ว  ทุกวันนี้ร้านก็มียอดขายที่พอจะเลี้ยงชีพได้  
เจ้าของอายุ 60 แล้วแต่ยังต้องใช้แรงเข้าแลก  ไม่สามารถเกษียณได้เหมือนราชการหรือ พนง.เอกชน  แถมมาเจอฝุ่นพิษอีก  จะหยุดก็ไม่ได้

อยากแชร์ให้ชนรุ่นหลังฟัง วิกฤติเศรษฐกิจก็อาจเกิดขึ้นได้อีก  อย่าประมาท ชะล่าใจ หรือโลกสวย อินดี้
อสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มส่งสัญญาณแล้ว  มีคนสอนให้เอาเงินแบงค์ลงทุน เส้นทางนายตัวเองหรืออื่นๆมากมาย  มันมีความเสี่ยงอยู่ถ้าไม่แข็งจริงอย่าไป
อย่าลืมว่าคนที่สำเร็จมีเพียง 1 ใน 10 คุณคิดว่าคุณจะเป็น 1 คน หรือ 9 คน มองจุดแข็งของตัวเอง หรือไม่ก็สร้างจุดแข็งก่อนจะออกมาบิน

ผมเห็นธุรกิจ Start up ของเด็กรุ่นใหม่มาเปิดใกล้ๆร้านและเจ๊งไปจำนวนมาก  จึงอยากเตือนไว้ใครที่จะเบนเข็มโดยไม่เตรียมทางหนีทีไล่
สุดท้ายพออายุเยอะๆแล้ว  ประสบการณ์ก็ไม่มี  จะหางานก็ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไรถ้าไม่ใช้แรงงานเข้าแลก

ถ้าอสังหาริมทรัพย์ฟองสบู่แตก  และคุณมีหนี้สินที่ไม่รู้จะแก้ยังไง  ดอกทบต้น...
ต้องมีสติและยิ้มเข้าไว้  คนเราเกิดมาตัวเปล่า จากไปก็ตัวเปล่า  ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

ทุกวันนี้ธุรกิจเราก็ดำเนินมาได้เรื่อยๆ
ถึงแม้จะไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตสุขสบายได้เหมือนเมื่อก่อน  แต่เราก็ต้องอยู่ให้ได้  
น่าเสียดายที่เห็นหลายคนต้องจบชีวิตลงในตอนนั้นและไม่อยากให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นอีก

ไว้โอกาสหน้าจะมาเล่าเรื่องก่อนที่จะล้มตอนปี 40 ให้ฟัง...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่