ทั่วโลกรู้จัก🇹🇭🇹🇭
ทุกล็อตขายหมดเกลี้ยงไม่มีสินค้าค้างสต๊อก
‘ยาดมหงส์ไทย’ ไม่เคยพอขาย!แม้ผลิตได้ 4 ล้านชิ้น/เดือน เผยสูตรโต ใช้เงินสดทำธุรกิจเท่านั้น
.
ไม่มีคู่แข่ง ไม่เอาเปรียบพนักงาน ดัน “ยาดมหงส์ไทย” โตกระฉูดทะลุร้อยล้าน ปีนี้วางแผนสร้างโรงงานเพิ่ม รับดีมานด์ต่างประเทศล้น แง้มสูตรสำเร็จไม่ตั้งเป้ากดดันคนทำงาน-ห้ามให้ร้ายแบรนด์คู่แข่ง หน้าที่หลักคือโฟกัสตัวเองเท่านั้น
.
น้อยคนนักจะไม่รู้จัก “ยาดมหงส์ไทย” ยาดมที่มาพร้อมรูปทรงกระปุกสีเขียวฉลากสีเหลืองสะดุดตา ทั้งยังสร้างการจดจำจากการเป็นผลิตภัณฑ์ “ยาดมหมัก” เจ้าแรกๆ ในไทย ไม่ปรากฏแน่ชัดว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ยาดมหงส์ไทยเข้าไปนั่งในใจคนไทยจนเกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก ทว่า “ธีระพงศ์ ระบือธรรม” ผู้ก่อตั้งยาดมหงส์ไทยบอกกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ช่วงที่เริ่มผลิตไม่ทันเกิดขึ้นระหว่างวิกฤติแพร่ระบาดใหญ่จากไวรัสโควิด-19
.
ขณะที่สังคมหยุดชะงัก การลงทุนในภาคธุรกิจชะลอตัวลงเพราะสถานการณ์ที่เปราะบาง “หงส์ไทย” เลือกเดินสวนทางกับความเชื่อ ณ เวลานั้น ความสำเร็จที่ทุกคนเห็นในปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากการทำงานอย่างหนักและไม่เคยหยุดนิ่ง กระทั่งทุกอย่างผลิดอกออกผลในปี 2566 บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด มีรายได้รวม “350 ล้านบาท” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บริษัททะยานสู่หลักร้อยล้านได้สำเร็จ
.
แต่ถึงอย่างนั้น “ธีระพงศ์” ก็บอกกับเราว่า หากย้อนดูเฉพาะตัวเลขกำไรสุทธิเพียงอย่างเดียว จะพบว่า ไม่ได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากตนตั้งใจทำสูตรยาดมให้หอมนาน เมื่อกลิ่นยังคงสภาพเดิมผู้บริโภคก็ไม่จำเป็นต้องซื้อบ่อยๆ แม้กำไรจะน้อยแต่สิ่งที่ได้มาทดแทนกัน คือคนใช้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ ทำให้เกิดความผูกพันระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากจะสร้างขึ้นได้ภายในชั่วข้ามคืน
.
จนถึงปัจจุบันเจ้าของยาดมหงส์ไทยบอกว่า สินค้าผลิตทุกวันแบบไม่มีวันหยุด ตัวที่ขายดีที่สุดยังเป็น “ยาดมผสมสมุนไพร สูตร 2” หรือยาดมกระปุกเขียว ทุกวันนี้ผลิตสินค้ามากถึง “4 ล้านชิ้นต่อเดือน” แต่เชื่อหรือไม่ว่า เยอะขนาดนี้ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทุกล็อตขายหมดเกลี้ยงไม่มีสินค้าค้างสต๊อก พูดให้เห็นภาพชัดกว่านั้น คือผลิตวันนี้ พรุ่งนี้ของหมดแล้ว “ธีระพงศ์” แง้มว่า ทั้งหมดเป็นการผลิตเพื่อขายในประเทศเท่านั้น ส่งออกไปต่างประเทศยังไม่ต้องพูดถึงเพราะแค่วางขายในไทยก็ไม่เพียงพอแล้ว
.
เมื่อถามถึงเป้าหมายในปีนี้ หลังจากปีที่ผ่านมาทำรายได้ทะลุหลักไมล์ร้อยล้านบาทสำเร็จ เขาระบุว่า ตนเองไม่เคยคิดว่า บริษัทต้องอยู่อันดับเท่าไหร่ในตลาด โตกี่เปอร์เซ็นต์ ทำรายได้สูงกว่าปีก่อนๆ มากน้อยแค่ไหน ไม่เคยตั้งเป้าเรื่องตัวเลขกับพนักงานสักครั้ง การพูดเปรียบเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ จะยิ่งทำให้พนักงานรับสารที่ไม่ดีเข้ามา มีมุมมองที่เปลี่ยนไปกับแบรนด์อื่นๆ สำคัญ คือโฟกัสที่ตัวเองเป็นหลัก
.
หากขายไม่ได้ให้เดินออกมา เพื่อให้คนอื่นๆ แปะมือรับช่วงต่อ และถ้าพนักงานคนไหนพูดทิ้งทวนกับลูกค้าว่า “ยาดมหงส์ไทย” ดีกว่า หอมกว่า เป็นเจ้าตลาด ของแท้ ฯลฯ โทษของพนักงานที่จะได้รับ คือ “ไล่ออก” สิ่งเหล่านี้ทำให้วงการไม่น่าอยู่ มองว่า แบรนด์ต้องเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดมีสภาพแวดล้อมที่ดี ส่วนเรื่องตั้งเป้ายอดขายไม่เคยคิดตั้งเป้าเช่นกัน เพราะระหว่างทางทุกคนเห็นพร้อมกันอยู่แล้ว ถ้าพนักงานเพิ่มขึ้นก็แปลว่าผลิตได้มากขึ้น ถ้าเงินเดือนเยอะขึ้นก็แปลว่ารายได้เพิ่มขึ้น
.
“เราไม่มีการตั้งเป้ากับคนทำงาน เป้าของเรา คือวัฏจักรการทำงานของเรา มันเห็นของมันอยู่แล้ว ถ้าไปพูดเยอะๆ พนักงานจะฝังความรู้สึกว่า บริษัทนู้นทำแบบนั้นแบบนี้ อันนี้ไม่เวิร์ก เราไม่เคยอบรมพนักงานด้วยการพูดถึงบริษัทอื่น ไม่เคยเลย ขายไม่ได้ก็เก็บข้อมูลเพิ่มมาพัฒนาของเรา คุณเปิดบริษัทมาทำอะไร เปิดมาเพื่อแก้บริษัทอื่นหรือแก้ปัญหาตัวเอง ให้วันนี้ไม่สำเร็จอีกหน่อยก็สำเร็จ แต่ถ้าเราไปโฟกัสเรื่อยเปื่อย ก๊อปบ้าง เปรียบเทียบบ้าง ผมบอกได้เลยว่า เสียเวลา เพราะที่สุดแล้วคุณไม่ได้แก้ที่ตัวเอง”
.
อ่านต่อ:
https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1160602?anm=
‘ยาดมหงส์ไทย’ ไม่เคยพอขาย! แม้ผลิตได้ 4 ล้านชิ้น/เดือน
ทุกล็อตขายหมดเกลี้ยงไม่มีสินค้าค้างสต๊อก
‘ยาดมหงส์ไทย’ ไม่เคยพอขาย!แม้ผลิตได้ 4 ล้านชิ้น/เดือน เผยสูตรโต ใช้เงินสดทำธุรกิจเท่านั้น
.
ไม่มีคู่แข่ง ไม่เอาเปรียบพนักงาน ดัน “ยาดมหงส์ไทย” โตกระฉูดทะลุร้อยล้าน ปีนี้วางแผนสร้างโรงงานเพิ่ม รับดีมานด์ต่างประเทศล้น แง้มสูตรสำเร็จไม่ตั้งเป้ากดดันคนทำงาน-ห้ามให้ร้ายแบรนด์คู่แข่ง หน้าที่หลักคือโฟกัสตัวเองเท่านั้น
.
น้อยคนนักจะไม่รู้จัก “ยาดมหงส์ไทย” ยาดมที่มาพร้อมรูปทรงกระปุกสีเขียวฉลากสีเหลืองสะดุดตา ทั้งยังสร้างการจดจำจากการเป็นผลิตภัณฑ์ “ยาดมหมัก” เจ้าแรกๆ ในไทย ไม่ปรากฏแน่ชัดว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ยาดมหงส์ไทยเข้าไปนั่งในใจคนไทยจนเกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก ทว่า “ธีระพงศ์ ระบือธรรม” ผู้ก่อตั้งยาดมหงส์ไทยบอกกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ช่วงที่เริ่มผลิตไม่ทันเกิดขึ้นระหว่างวิกฤติแพร่ระบาดใหญ่จากไวรัสโควิด-19
.
ขณะที่สังคมหยุดชะงัก การลงทุนในภาคธุรกิจชะลอตัวลงเพราะสถานการณ์ที่เปราะบาง “หงส์ไทย” เลือกเดินสวนทางกับความเชื่อ ณ เวลานั้น ความสำเร็จที่ทุกคนเห็นในปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากการทำงานอย่างหนักและไม่เคยหยุดนิ่ง กระทั่งทุกอย่างผลิดอกออกผลในปี 2566 บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด มีรายได้รวม “350 ล้านบาท” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บริษัททะยานสู่หลักร้อยล้านได้สำเร็จ
.
แต่ถึงอย่างนั้น “ธีระพงศ์” ก็บอกกับเราว่า หากย้อนดูเฉพาะตัวเลขกำไรสุทธิเพียงอย่างเดียว จะพบว่า ไม่ได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากตนตั้งใจทำสูตรยาดมให้หอมนาน เมื่อกลิ่นยังคงสภาพเดิมผู้บริโภคก็ไม่จำเป็นต้องซื้อบ่อยๆ แม้กำไรจะน้อยแต่สิ่งที่ได้มาทดแทนกัน คือคนใช้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ ทำให้เกิดความผูกพันระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากจะสร้างขึ้นได้ภายในชั่วข้ามคืน
.
จนถึงปัจจุบันเจ้าของยาดมหงส์ไทยบอกว่า สินค้าผลิตทุกวันแบบไม่มีวันหยุด ตัวที่ขายดีที่สุดยังเป็น “ยาดมผสมสมุนไพร สูตร 2” หรือยาดมกระปุกเขียว ทุกวันนี้ผลิตสินค้ามากถึง “4 ล้านชิ้นต่อเดือน” แต่เชื่อหรือไม่ว่า เยอะขนาดนี้ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทุกล็อตขายหมดเกลี้ยงไม่มีสินค้าค้างสต๊อก พูดให้เห็นภาพชัดกว่านั้น คือผลิตวันนี้ พรุ่งนี้ของหมดแล้ว “ธีระพงศ์” แง้มว่า ทั้งหมดเป็นการผลิตเพื่อขายในประเทศเท่านั้น ส่งออกไปต่างประเทศยังไม่ต้องพูดถึงเพราะแค่วางขายในไทยก็ไม่เพียงพอแล้ว
.
เมื่อถามถึงเป้าหมายในปีนี้ หลังจากปีที่ผ่านมาทำรายได้ทะลุหลักไมล์ร้อยล้านบาทสำเร็จ เขาระบุว่า ตนเองไม่เคยคิดว่า บริษัทต้องอยู่อันดับเท่าไหร่ในตลาด โตกี่เปอร์เซ็นต์ ทำรายได้สูงกว่าปีก่อนๆ มากน้อยแค่ไหน ไม่เคยตั้งเป้าเรื่องตัวเลขกับพนักงานสักครั้ง การพูดเปรียบเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ จะยิ่งทำให้พนักงานรับสารที่ไม่ดีเข้ามา มีมุมมองที่เปลี่ยนไปกับแบรนด์อื่นๆ สำคัญ คือโฟกัสที่ตัวเองเป็นหลัก
.
หากขายไม่ได้ให้เดินออกมา เพื่อให้คนอื่นๆ แปะมือรับช่วงต่อ และถ้าพนักงานคนไหนพูดทิ้งทวนกับลูกค้าว่า “ยาดมหงส์ไทย” ดีกว่า หอมกว่า เป็นเจ้าตลาด ของแท้ ฯลฯ โทษของพนักงานที่จะได้รับ คือ “ไล่ออก” สิ่งเหล่านี้ทำให้วงการไม่น่าอยู่ มองว่า แบรนด์ต้องเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดมีสภาพแวดล้อมที่ดี ส่วนเรื่องตั้งเป้ายอดขายไม่เคยคิดตั้งเป้าเช่นกัน เพราะระหว่างทางทุกคนเห็นพร้อมกันอยู่แล้ว ถ้าพนักงานเพิ่มขึ้นก็แปลว่าผลิตได้มากขึ้น ถ้าเงินเดือนเยอะขึ้นก็แปลว่ารายได้เพิ่มขึ้น
.
“เราไม่มีการตั้งเป้ากับคนทำงาน เป้าของเรา คือวัฏจักรการทำงานของเรา มันเห็นของมันอยู่แล้ว ถ้าไปพูดเยอะๆ พนักงานจะฝังความรู้สึกว่า บริษัทนู้นทำแบบนั้นแบบนี้ อันนี้ไม่เวิร์ก เราไม่เคยอบรมพนักงานด้วยการพูดถึงบริษัทอื่น ไม่เคยเลย ขายไม่ได้ก็เก็บข้อมูลเพิ่มมาพัฒนาของเรา คุณเปิดบริษัทมาทำอะไร เปิดมาเพื่อแก้บริษัทอื่นหรือแก้ปัญหาตัวเอง ให้วันนี้ไม่สำเร็จอีกหน่อยก็สำเร็จ แต่ถ้าเราไปโฟกัสเรื่อยเปื่อย ก๊อปบ้าง เปรียบเทียบบ้าง ผมบอกได้เลยว่า เสียเวลา เพราะที่สุดแล้วคุณไม่ได้แก้ที่ตัวเอง”
.
อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1160602?anm=