สวัสดีครับ ผมเผอิญไปเจอข่าวนี้มาใน internet จึงอยากเอา re-post แล้วสอบถามความเห็นจากทุกท่านว่า มีความคิดเห็นกันอย่างไรว่า
ประเทศไทยเรายังมองว่า รถยนต์ไฟฟ้าปลุกไม่ขึ้นกันน่ะครับ
(อ้างอิงจากข่าว :
https://www.thairath.co.th/content/1285084)
ส่วนต่างประเทศนั้น ผมได้เขียนกระทู้ทิ้งเอาไว้หลายกระทู้แล้ว
แต่ของคนไทยนั้นผมยังไม่เห็นใครโพสกระทู้เกี่ยวกับข่าวการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าแบบจริงจังเหมือนจีนเลยครับ
(ถ้าใครมีข่าวเหล่านั้น ช่วยเอามาโพสในกระทู้นี้ด้วย เพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่ผมและผู้อ่านท่านอื่นครับ)
ผมเลยเอาข่าวจากเว็บไทยรัฐมา re-post อีกครั้งเพื่อสอบถามความคิดเห็นของคนไทยในพันธ์ทิพย์น่ะครับ
ข่าวนี้เป็นข่าวเมื่อ เดือนพฤษภาคม ปี 2561 จากเว็บไซต์ ไทยรัฐ
อ้างอิง :
https://www.thairath.co.th/content/1285084
โดยมีเนื้อหาใจความดังนี้ครับ
"วันเสาร์สบายๆวันนี้ไปคุยเรื่อง “รถยนต์ไฟฟ้า” กันอีกสักวันดีไหมครับ ไปดูว่าไปกันถึงไหนแล้ว หลังจากที่ นายอีลอน มัสก์ เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อ Tesla ลุกขึ้นมาปลุกรถยนต์ไฟฟ้าจนกลายเป็น “ฝันหวาน” ของชาวโลกว่าจะเป็น “รถยนต์แห่งอนาคต” แต่วันนี้กลายเป็น “ฝันค้าง” ไปเสียแล้ว เพราะยอดขายฝืดมาก ประชาชนทั่วโลกไม่นิยม แม้รัฐบาลทุกประเทศจะช่วยกันอุ้ม ลดแลกแจกแถมภาษีสารพัด แต่ก็ขายไม่ออก เช่น ญี่ปุ่น ปี 2016 ขายได้เพียง 20,000 คัน จากยอดขายรถทั้งประเทศกว่า 5 ล้านคัน
หลายประเทศใน ยุโรป ที่ประกาศล่วงหน้าว่า จะเลิกผลิตรถยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิลในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแทน ยังไม่รู้จะทำได้จริงหรือไม่
ปี 2017 รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกขายได้เพียง 1.2 ล้านคัน เป็นยอดขายในจีนเสียครึ่งหนึ่ง 605,500 คัน เพราะรัฐบาล ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง สั่งให้บริษัทรถยนต์ทุกแห่งที่รัฐบาลถือหุ้น ต้องเร่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกขาย รัฐบาลจีนตั้งเป้าจะขายรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 2,680,000 คัน ในปี 2030 อีก 12 ปีข้างหน้า และตั้งเป้าจะผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้าให้ได้ 50 กิกะวัตต์ ภายในปี 2020 เพื่อผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าแทนที่รถยนต์น้ำมัน ลดมลภาวะอากาศเป็นพิษที่เลวร้ายในประเทศจีน
แม้แต่รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกันยี่ห้อ เทสลา ที่มีคนชอบมากที่สุด ดังที่สุด ปี 2017 ที่ผ่านมา ก็ขายได้เพียง 101,312 คัน เท่านั้น ไม่ได้มากมายอย่างที่คิด
ทีนี้มาดูรถยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทยบ้าง รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ฝันหวานจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทย ประกาศให้การส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าชุดใหญ่ ทั้ง ชิ้นส่วน อุปกรณ์ และ โรงงานผลิตแบตเตอรี่ โดย ยกเว้นภาษีแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ตั้งแต่ต้นปี 2560 บัดนี้เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งปีแล้ว ข่าวจากบีโอไอ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนบอกว่า ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดมาขอรับการส่งเสริมการลงทุนเลย แสดงว่าไม่มีบริษัทรถยนต์ยี่ห้อไหนในโลกสนใจจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทย
คุณศิริรุจ จุลกะรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เหลือเวลาอีก 7 เดือนก็จะหมดอายุโครงการแล้ว แต่มีผู้ประกอบการไปขอรับการส่งเสริมการลงทุนใน แพ็กเกจยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) จำนวน 8 ราย ทั้ง 8 ราย ล้วนเป็น โครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม หรือ Hybrid Electric Vehicle (HEV) และ โครงการผลิตรถยนต์แบบผสมเสียบปลั๊ก หรือ Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) มากกว่า ไม่มีโครงการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เลย
3 บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ที่ขายดีที่สุดในเมืองไทย โตโยต้า ฮอนด้า อีซูซุ ก็ไม่มีใครสนใจหรือมีแผนจะลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าในเร็วๆนี้ แต่เน้นการทำตลาด รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด
คุณศิริรุจ ได้คาดการณ์ว่า บริษัทรถยนต์ทั้ง 8 ราย ถ้าจะไปยื่นขอลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่เพียวๆ (EV) ในอนาคต คงต้องใช้เวลาอีก 7 ปี เพราะการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด HEV ต้องใช้เวลา 5 ปีจึงจะคุ้มทุน ถ้าจะลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มในอนาคตต้องใช้เวลาในการเตรียมโครงการอีก 2 ปี สรุปก็คือ ถ้าบริษัทผลิตรถยนต์ในเมืองไทยจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างที่รัฐบาลต้องการส่งเสริมต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 9 ปี นับจากปีนี้ 2561 เป็นต้นไป คือปี 2570 โน่น
แปลไทยเป็นไทยก็คือ รถยนต์ไฟฟ้าจะไม่มีโอกาสเกิดในเมืองไทยอย่างน้อยอีก 10 ปี ถ้าจะมีก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ในต่างประเทศก็ขายไม่ออก ไม่ว่า ญี่ปุ่น จีน สหรัฐฯ ยุโรป ใครที่คิดลงทุนติดตั้ง สถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า มีหวังขาดทุนแน่นอน
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ผมคิดว่า รัฐบาลควรเปลี่ยนนโยบายที่ผิดพลาดให้เป็นโอกาสใหม่ของประเทศ โดยหันมา ส่งเสริมการลงทุนผลิตแบตเตอรี่เก็บไฟฟ้าในอาคารบ้านเรือนแทน เพราะกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ
มากกว่า เรื่องรถยนต์ไฟฟ้าอีก 7 ปีค่อยมาคิดกันใหม่."
comment ได้เต็มที่เลยครับ
เพราะทุก ๆ comment ที่ท่านเขียนลงมานั้นจะเป็นตัวชี้วัดอนาคตของไทยว่า จะเดินไปทางไหนแหละครับ
อย่างน้อยเชื่อว่า ผู้ผลิตบางท่านก็ต้องเข้ามาดูบ้างแหละครับ
รถยนต์ไฟฟ้าปลุกไม่ขึ้น คนทั่วโลก (ยัง) ไม่นิยม (จริงหรือ?)
ประเทศไทยเรายังมองว่า รถยนต์ไฟฟ้าปลุกไม่ขึ้นกันน่ะครับ
(อ้างอิงจากข่าว : https://www.thairath.co.th/content/1285084)
ส่วนต่างประเทศนั้น ผมได้เขียนกระทู้ทิ้งเอาไว้หลายกระทู้แล้ว
แต่ของคนไทยนั้นผมยังไม่เห็นใครโพสกระทู้เกี่ยวกับข่าวการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าแบบจริงจังเหมือนจีนเลยครับ
(ถ้าใครมีข่าวเหล่านั้น ช่วยเอามาโพสในกระทู้นี้ด้วย เพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่ผมและผู้อ่านท่านอื่นครับ)
ผมเลยเอาข่าวจากเว็บไทยรัฐมา re-post อีกครั้งเพื่อสอบถามความคิดเห็นของคนไทยในพันธ์ทิพย์น่ะครับ
ข่าวนี้เป็นข่าวเมื่อ เดือนพฤษภาคม ปี 2561 จากเว็บไซต์ ไทยรัฐ
อ้างอิง : https://www.thairath.co.th/content/1285084
โดยมีเนื้อหาใจความดังนี้ครับ
"วันเสาร์สบายๆวันนี้ไปคุยเรื่อง “รถยนต์ไฟฟ้า” กันอีกสักวันดีไหมครับ ไปดูว่าไปกันถึงไหนแล้ว หลังจากที่ นายอีลอน มัสก์ เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อ Tesla ลุกขึ้นมาปลุกรถยนต์ไฟฟ้าจนกลายเป็น “ฝันหวาน” ของชาวโลกว่าจะเป็น “รถยนต์แห่งอนาคต” แต่วันนี้กลายเป็น “ฝันค้าง” ไปเสียแล้ว เพราะยอดขายฝืดมาก ประชาชนทั่วโลกไม่นิยม แม้รัฐบาลทุกประเทศจะช่วยกันอุ้ม ลดแลกแจกแถมภาษีสารพัด แต่ก็ขายไม่ออก เช่น ญี่ปุ่น ปี 2016 ขายได้เพียง 20,000 คัน จากยอดขายรถทั้งประเทศกว่า 5 ล้านคัน
หลายประเทศใน ยุโรป ที่ประกาศล่วงหน้าว่า จะเลิกผลิตรถยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิลในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแทน ยังไม่รู้จะทำได้จริงหรือไม่
ปี 2017 รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกขายได้เพียง 1.2 ล้านคัน เป็นยอดขายในจีนเสียครึ่งหนึ่ง 605,500 คัน เพราะรัฐบาล ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง สั่งให้บริษัทรถยนต์ทุกแห่งที่รัฐบาลถือหุ้น ต้องเร่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกขาย รัฐบาลจีนตั้งเป้าจะขายรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 2,680,000 คัน ในปี 2030 อีก 12 ปีข้างหน้า และตั้งเป้าจะผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้าให้ได้ 50 กิกะวัตต์ ภายในปี 2020 เพื่อผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าแทนที่รถยนต์น้ำมัน ลดมลภาวะอากาศเป็นพิษที่เลวร้ายในประเทศจีน
แม้แต่รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกันยี่ห้อ เทสลา ที่มีคนชอบมากที่สุด ดังที่สุด ปี 2017 ที่ผ่านมา ก็ขายได้เพียง 101,312 คัน เท่านั้น ไม่ได้มากมายอย่างที่คิด
ทีนี้มาดูรถยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทยบ้าง รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ฝันหวานจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทย ประกาศให้การส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าชุดใหญ่ ทั้ง ชิ้นส่วน อุปกรณ์ และ โรงงานผลิตแบตเตอรี่ โดย ยกเว้นภาษีแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ตั้งแต่ต้นปี 2560 บัดนี้เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งปีแล้ว ข่าวจากบีโอไอ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนบอกว่า ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดมาขอรับการส่งเสริมการลงทุนเลย แสดงว่าไม่มีบริษัทรถยนต์ยี่ห้อไหนในโลกสนใจจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทย
คุณศิริรุจ จุลกะรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เหลือเวลาอีก 7 เดือนก็จะหมดอายุโครงการแล้ว แต่มีผู้ประกอบการไปขอรับการส่งเสริมการลงทุนใน แพ็กเกจยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) จำนวน 8 ราย ทั้ง 8 ราย ล้วนเป็น โครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม หรือ Hybrid Electric Vehicle (HEV) และ โครงการผลิตรถยนต์แบบผสมเสียบปลั๊ก หรือ Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) มากกว่า ไม่มีโครงการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เลย
3 บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ที่ขายดีที่สุดในเมืองไทย โตโยต้า ฮอนด้า อีซูซุ ก็ไม่มีใครสนใจหรือมีแผนจะลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าในเร็วๆนี้ แต่เน้นการทำตลาด รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด
คุณศิริรุจ ได้คาดการณ์ว่า บริษัทรถยนต์ทั้ง 8 ราย ถ้าจะไปยื่นขอลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่เพียวๆ (EV) ในอนาคต คงต้องใช้เวลาอีก 7 ปี เพราะการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด HEV ต้องใช้เวลา 5 ปีจึงจะคุ้มทุน ถ้าจะลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มในอนาคตต้องใช้เวลาในการเตรียมโครงการอีก 2 ปี สรุปก็คือ ถ้าบริษัทผลิตรถยนต์ในเมืองไทยจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างที่รัฐบาลต้องการส่งเสริมต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 9 ปี นับจากปีนี้ 2561 เป็นต้นไป คือปี 2570 โน่น
แปลไทยเป็นไทยก็คือ รถยนต์ไฟฟ้าจะไม่มีโอกาสเกิดในเมืองไทยอย่างน้อยอีก 10 ปี ถ้าจะมีก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ในต่างประเทศก็ขายไม่ออก ไม่ว่า ญี่ปุ่น จีน สหรัฐฯ ยุโรป ใครที่คิดลงทุนติดตั้ง สถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า มีหวังขาดทุนแน่นอน
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ผมคิดว่า รัฐบาลควรเปลี่ยนนโยบายที่ผิดพลาดให้เป็นโอกาสใหม่ของประเทศ โดยหันมา ส่งเสริมการลงทุนผลิตแบตเตอรี่เก็บไฟฟ้าในอาคารบ้านเรือนแทน เพราะกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ
มากกว่า เรื่องรถยนต์ไฟฟ้าอีก 7 ปีค่อยมาคิดกันใหม่."
comment ได้เต็มที่เลยครับ
เพราะทุก ๆ comment ที่ท่านเขียนลงมานั้นจะเป็นตัวชี้วัดอนาคตของไทยว่า จะเดินไปทางไหนแหละครับ
อย่างน้อยเชื่อว่า ผู้ผลิตบางท่านก็ต้องเข้ามาดูบ้างแหละครับ