ดัชนีดาวโจนส์ทรุดตัวลงในวันนี้ ล่าสุดดิ่งลงกว่า 400 จุด หลังสื่อรายงานว่า ทำเนียบขาวได้ปฏิเสธแผนการจัดการเจรจาการค้ากับจีนในสัปดาห์นี้ เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายยังคงมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก
ณ เวลา 02.41 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 24,281.77 จุด ลดลง 424.58 จุด หรือ 1.72%
สื่อรายงานว่า ทำเนียบขาวได้ปฏิเสธแผนการจัดการเจรจาการค้ากับจีนในสัปดาห์นี้ อันเนื่องจากความแตกต่างทางความคิดของทั้งสองฝ่ายในการบังคับใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา
ก่อนหน้านี้ นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) มีกำหนดพบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับรัฐมนตรีช่วย 2 รายในสัปดาห์นี้ ในความพยายามที่จะบรรลุข้อตกลงทางการค้าก่อนเส้นตายวันที่ 1 มี.ค. แต่การประชุมดังกล่าวได้ถูกยกเลิกในที่สุด
หากจีนและสหรัฐไม่สามารถตกลงกันเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาที่ถาวร ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก็จะเดินหน้าเพิ่มการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิม 10% ในขณะนี้
นักลงทุนรายหนึ่งที่เข้าร่วมการประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ได้แสดงความกังวลต่อปัจจัยต่างๆ ซึ่งอาจกระทบตลาด ซึ่งได้แก่ การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งความไม่แน่นอนกรณีที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังถูกกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และการปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐ (ชัตดาวน์) ซึ่งขณะนี้ทำสถิติยาวนานเป็นประวัติการณ์ และส่งผลกระทบต่อพนักงานของรัฐบาลจำนวน 800,000 คน
ทางด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่เตือนว่ายังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายประการ
ทั้งนี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.5% ในปีนี้ และ 3.6% ในปีหน้า โดยต่ำกว่าระดับ 3.7% สำหรับทั้ง 2 ปีที่มีการคาดการณ์ในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว
การดำเนินการดังกล่าวของ IMF ถือเป็นการปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน
ส่วนสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า GDP ในไตรมาส 4/2561 ขยายตัวเพียง 6.4% ส่วน GDP ตลอดปี 2561 ขยายตัว 6.6% จากระดับของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ระดับต่ำสุดในรอบ 28 ปี อันเนื่องมาจากผลกระทบของการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน
นอกจากนี้ นักลงทุนวิตกว่า การที่รัฐบาลสหรัฐจะยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการเพื่อขอให้แคนาดาส่งตัวนางเมิ่ง หว่านโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี เพื่อดำเนินคดีในสหรัฐ อาจกระทบต่อการเจรจาการค้าระหว่างประเทศทั้งสอง
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ก็ไม่ได้ช่วยหนุนตลาด โดยสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองดิ่งลง 6.4% สู่ระดับ 4.99 ล้านยูนิตในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี หลังจากดีดตัวสู่ระดับ 5.33 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย.
ยอดขายบ้านยังคงถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของราคาบ้าน รวมทั้งการขาดแคลนที่ดินและแรงงาน
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดขายบ้านลดลง 1.0% สู่ระดับ 5.25 ล้านยูนิตในเดือนธ.ค.
เมื่อเทียบรายปี ยอดขายบ้านมือสองทรุดตัวลง 10.3% ในเดือนธ.ค.
เมื่อพิจารณาทั้งปี 2561 ยอดขายบ้านลดลง 3.1% สู่ระดับ 5.34 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2558
จากข่าว จากแรงซื้อแรงขายในแต่ละวัน มันเดาได้ว่า ราคามันแกว่ง ไม่มีสัญญานกลับตัวแบบมั่นคงหรือเลือกทาง ใครจะซื้อลงทุนต้องระวังอย่างสูง อย่าเชื่อเสียงเชียร์ อย่ากังวลเสียงแช่ง ตลาดแบบนี้เหมาะเก็งกำไรเท่านั้น
ดาวโจนส์ดิ่งเหวกว่า 400 จุด หลังสื่อตีข่าวทำเนียบขาวยกเลิกแผนเจรจากับจีน
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก
ณ เวลา 02.41 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 24,281.77 จุด ลดลง 424.58 จุด หรือ 1.72%
สื่อรายงานว่า ทำเนียบขาวได้ปฏิเสธแผนการจัดการเจรจาการค้ากับจีนในสัปดาห์นี้ อันเนื่องจากความแตกต่างทางความคิดของทั้งสองฝ่ายในการบังคับใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา
ก่อนหน้านี้ นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) มีกำหนดพบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับรัฐมนตรีช่วย 2 รายในสัปดาห์นี้ ในความพยายามที่จะบรรลุข้อตกลงทางการค้าก่อนเส้นตายวันที่ 1 มี.ค. แต่การประชุมดังกล่าวได้ถูกยกเลิกในที่สุด
หากจีนและสหรัฐไม่สามารถตกลงกันเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาที่ถาวร ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก็จะเดินหน้าเพิ่มการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิม 10% ในขณะนี้
นักลงทุนรายหนึ่งที่เข้าร่วมการประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ได้แสดงความกังวลต่อปัจจัยต่างๆ ซึ่งอาจกระทบตลาด ซึ่งได้แก่ การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งความไม่แน่นอนกรณีที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังถูกกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และการปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐ (ชัตดาวน์) ซึ่งขณะนี้ทำสถิติยาวนานเป็นประวัติการณ์ และส่งผลกระทบต่อพนักงานของรัฐบาลจำนวน 800,000 คน
ทางด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่เตือนว่ายังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายประการ
ทั้งนี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.5% ในปีนี้ และ 3.6% ในปีหน้า โดยต่ำกว่าระดับ 3.7% สำหรับทั้ง 2 ปีที่มีการคาดการณ์ในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว
การดำเนินการดังกล่าวของ IMF ถือเป็นการปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน
ส่วนสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า GDP ในไตรมาส 4/2561 ขยายตัวเพียง 6.4% ส่วน GDP ตลอดปี 2561 ขยายตัว 6.6% จากระดับของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ระดับต่ำสุดในรอบ 28 ปี อันเนื่องมาจากผลกระทบของการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน
นอกจากนี้ นักลงทุนวิตกว่า การที่รัฐบาลสหรัฐจะยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการเพื่อขอให้แคนาดาส่งตัวนางเมิ่ง หว่านโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี เพื่อดำเนินคดีในสหรัฐ อาจกระทบต่อการเจรจาการค้าระหว่างประเทศทั้งสอง
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ก็ไม่ได้ช่วยหนุนตลาด โดยสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองดิ่งลง 6.4% สู่ระดับ 4.99 ล้านยูนิตในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี หลังจากดีดตัวสู่ระดับ 5.33 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย.
ยอดขายบ้านยังคงถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของราคาบ้าน รวมทั้งการขาดแคลนที่ดินและแรงงาน
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดขายบ้านลดลง 1.0% สู่ระดับ 5.25 ล้านยูนิตในเดือนธ.ค.
เมื่อเทียบรายปี ยอดขายบ้านมือสองทรุดตัวลง 10.3% ในเดือนธ.ค.
เมื่อพิจารณาทั้งปี 2561 ยอดขายบ้านลดลง 3.1% สู่ระดับ 5.34 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2558
จากข่าว จากแรงซื้อแรงขายในแต่ละวัน มันเดาได้ว่า ราคามันแกว่ง ไม่มีสัญญานกลับตัวแบบมั่นคงหรือเลือกทาง ใครจะซื้อลงทุนต้องระวังอย่างสูง อย่าเชื่อเสียงเชียร์ อย่ากังวลเสียงแช่ง ตลาดแบบนี้เหมาะเก็งกำไรเท่านั้น