ประสบการณ์หลอนหัวลุก ตอน สยองบ้านโบราณ100ปี

เช้าตรู่ของวันหนึ่ง มีเพื่อนของพี่ชายมาหาคุณแม่ดิฉันที่บ้าน ขอเรียกเพื่อนพี่ชายว่าพี่หนุ่มนะคะ วันนั้นพี่หนุ่มมากับภรรยาและลูกๆค่ะ มาด้วยสีหน้าที่อิดโรยและกังวลอย่างเห็นได้ชัด ขอเท้าความก่อนว่าพี่หนุ่มแกมีอาชีพรับรื้อบ้านเก่า บ้านโบราณที่มีอายุเป็นร้อยปี และก็ยังเป็นพ่อค้าขายของโบราณตามตลาดนัดมือสอง เมื่อพี่หนุ่มมาถึงหน้าบ้าน คุณแม่ก็ได้เรียกให้เข้ามากินน้ำกินท่ากันก่อน และก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบทั่วๆไป เพราะไม่ได้เจอกันนานแล้ว ส่วนดิฉันก็พูดคุยกับภรรยาพี่หนุ่มทั่วๆไปเช่นกันค่ะ คุณแม่ก็ได้ทักพี่หนุ่มขึ้นมาว่า หนุ่มไปทำอะไรมา ทำไมหน้าตาถึงอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึป่าวถึงมาหาแม่ พี่หนุ่มแกจะเป็นคนที่นับถือคุณแม่ของดิฉันมาก
พี่หนุ่มแกบอกว่า บ้านผมกำลังโดนยึดครับ ตอนนี้กำลังเตรียมหาบ้านเช่า ไปดูมาหลายที่ส่วนใหญ่เต็มหมด  บางที่ให้เช่าก็แพงมาก แกสู้ไม่ไหว ครอบครัวแกเป็นครอบครัวใหญ่  จะหาบ้านเช่าแต่ละที ราคาถูกๆยิ่งยุคนี้นับวันยิ่งหายาก แล้วพี่หนุ่มก็ได้เริ่ม เล่าเรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวชวนขนหัวลุกที่ไปประสบพบเจอมา ให้คุณแม่และดิฉันได้ฟัง เมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงติดต่อพี่หนุ่มให้ไปรื้อบ้านไม้โบราณหลังนึงซึ่งมีอายุเป็นร้อยปีพร้อมให้นำข้าวของออกไปทั้งหมด อย่างเช่นเรือโบราณขนาดใหญ่ ตุ๊กตาไม้โบราณ งานปั้นประติมากรรมต่างๆ ฯลฯคือถ้าพี่หนุ่มอยากได้ของชิ้นไหน ก็สามารถนำออกมาได้เลย ข้าราชการระดับสูงนายนี้ก็คือเจ้านายของพ่อพี่หนุ่มนั่นเอง ท่านมักจะเมตตาและช่วยเหลือครอบครัวพี่หนุ่มเสมอมา ตั้งแต่สมัยที่พ่อพี่หนุ่มยังมีชีวิตอยู่  สาเหตุที่ต้องรื้อเพราะว่าลูกหลานของข้าราชการระดับสูงนายนี้ ต้องการปลูกบ้านแบบสมัยใหม่เพื่อจะไว้พักผ่อนของครอบครัว เฉพาะเวลามาเที่ยวเมืองไทย เพราะลูกหลานใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศกันหมดค่ะ
  บ้านหลังนี้เป็นบ้านทรงไทยไม้โบราณดูเก่าๆโทรมๆดูวังเวงน่ากลัว ปลูกสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่5 ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา   มีศาลาท่าน้ำ ภายในบริเวณบ้านกว้างมาก เนื้อที่ประมาณ2ไร่ และมีต้นไม้ใหญ่รกครึ้มขึ้นเต็มไปหมด มีเรือไม้โบราณขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณสวนหลังบ้าน มีศาลไม้เก่าๆ มีรูปปั้นนางรำ ตั้งวางเรียงรายอยู่ในศาล เจ้าของบ้านหลังนี้ไม่ได้อาศัยอยู่มานานแล้ว หลังจากที่มีการติดต่อเข้ามา เช้าวันรุ่งขึ้น พี่หนุ่ม ภรรยาและลูกๆ พร้อมลูกน้องอีก6คน จัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ กระเป๋าเสื้อผ้าเสร็จสรรพ มุ่งหน้าไปที่บ้านทรงไทยหลังนี้ทันที พอมาถึงหน้างานก็เดินสำรวจบริเวณรอบๆ บ้าน ภายในบริเวณบ้านก็จะมีบึงน้ำแห้งๆเก่าๆแต่ไม่มีน้ำหลงเหลืออยู่ มีแต่ต้นไม้ วัชพืช รกครึ้มขึ้นบริเวณบึงเต็มไปหมด ความลึกก็จะประมาณ2เมตร หลังจากสำรวจหน้างานเสร็จแล้ว พี่หนุ่มก็ได้ทำการสั่งลูกน้องนำรถไถเข้ามาบริเวณบึงเพื่อจะไถหน้าดินและต้นไม้ใบหญ้า (ขอบอกก่อนว่าพี่หนุ่มแกเป็นคนไม่เชื่อเรื่องสิ่งเร้นลับนะคะ ส่วนลูกน้องบางคนของพี่หนุ่มก็ไม่เชื่อเช่นกัน การบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางก็ไม่มีมิหนำซ้ำยังลบหลู่อีกต่างหาก) ระหว่างทำการรื้อถอน อยู่ๆก็มีงูใหญ่ตัวนึงสีขาวนวล โผล่ออกมาตรงบริเวณบึง ซึ่งตรงนั้นจะเต็มไปด้วยวัชพืช ต้นไม้มากมาย  ลักษณะชูคอขึ้นมาไม่ยอมไปไหน   ระหว่างทำการไถดินอยู่นั้นนายไผ่ลูกน้องพี่หนุ่มซึ่งเป็นคนขับรถไถดิน เมื่อเห็นงูโผล่ขึ้นมา แทนที่จะหยุดรถ กลับบอกทุกคนตรงนั้นว่า ในเมื่องูไม่หลบใช่มั้ย!? งั้นก็อยู่เป็นผี!!เฝ้าที่นี่ไปเลยล่ะกัน นายไผ่ทำการไถดินทับงูจนตาย ทั้งพี่หนุ่มและลูกน้องที่เห็นเหตุการณ์ตรงนั้นแทนที่ทุกคนจะห้ามปรามนายไผ่ กลับปล่อยเลยตามเลยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่สำคัญหลังจากที่บดงูเรียบร้อย มาดูอีกทีคือมันมีไข่อยู่ตรงนั้นแต่ไม่รู้ว่ากี่ใบ เพราะมันแตกไปหมดแล้ว และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของความสยอง หลังจากเหนื่อยกันมาทั้งวันกับการทำงาน พอตกค่ำก็ล้อมวงกินเหล้า ส่วนภรรยาพี่หนุ่มก็ง่วนกับการทำอาหาร และจัดเตรียมที่นอน คืนนี้ต้องกางเต้นท์นอนกันที่นี่ จนกว่าจะรื้อบ้านเสร็จ  ระหว่างที่นั่งล้อมวงกินเหล้าและพูดคุยกันไป ลูกชายคนเล็กของพี่หนุ่มอายุประมาณ4ขวบ มีอาการแปลกๆ อยู่ๆก็มาดึงมือพี่หนุ่มให้กลับบ้านและ พูดขึ้นมาว่า พ่อจ๋าๆๆเค้าจะมาเอาชีวิตแล้วพ่อ กลับบ้านกันเถอะพ่อ พี่หนุ่มพอได้ยินลูกพูดแบบนั้นแทนที่จะเชื่อลูก กลับคิดว่าอาจจะไปจำใครเค้ามา คงพูดไปตามประสาเด็ก
คืนที่1ผ่านไปด้วยดี พอมาคืนที่ 2 คืนนี้ก็ยังนอนที่นี่และก็ยังเป็นปกติ พอมาถึงคืนที่3 ก็มานั่งล้อมวงกินเหล้ากันเหมือนเช่นเคย ประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันเข้านอน ช่วงที่พี่หนุ่มนอนอยู่นั้น ก็ได้ฝันว่ามีผู้หญิงคนนึง หน้าตาน่ากลัว เห็นแต่ลูกตาดำ ตาขาวไม่มี ผมยาวรุงรัง ลักษณะแต่งชุดไทยโบราณ มาเรียกพี่หนุ่ม
เรียกครั้งที่1ก็แล้ว ครั้งที่2ก็แล้วพี่หนุ่มก็ยังไม่สะทกสะท้าน พอมาครั้งที่3 โผล่เข้ามาในเต้นท์มาดึงขา ทั้งดึงทั้งลาก ซึ่งในขณะนั้นพี่หนุ่มอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น คือจะว่าฝันก็ไม่ใช่ เพราะรู้สึกเหมือนมีมือมาดึงขาจริงๆ ทั้งดึงทั้งลากให้ออกนอกเต้นท์ ด้วยความตกใจพี่หนุ่มลุกขึ้นจากที่นอนเดี๋ยวนั้น แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า คือตัวพี่หนุ่มออกมาอยู่ด้านนอกเต้นท์ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ซึ่งพี่หนุ่มก็งงและสับสนว่ามันคืออะไร แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล ส่วนบรรยากาศในตอนนั้นคือมันมืดมากและดูวังเวง
พิลึก บวกกับได้ยินเสียงหมาแถวๆนั้นมันเห่ากรรโชก สักพักก็หอนรับกันเป็นทอดๆ คือเสียงที่สุนัขมันเห่าหอนนั้นมันใกล้มาก ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินเสียงหมาหอนที่ไหนบาดเข้าไปถึงขั้วหัวใจชวนขนหัวลุกได้ขนาดนี้ นี่ขนาดว่าพี่หนุ่มแกไม่เคยกลัวเรื่องผีๆสางๆเลยนะ  พอรุ่งเช้า ทุกคนก็ยังคงทำการรื้อถอน
อีกเช่นเคย วันนี้พี่หนุ่มดูวุ่นทั้งวัน เพราะมีลูกค้าโทรติดต่องานไม่ขาดสาย นัดให้ออกมาดูหน้างาน  พี่หนุ่มออกไปคุยงานพร้อมพาภรรยากับลูกๆไปด้วย มีแต่ลูกน้องที่ยังทำงานตามปกติ พอเสร็จธุระก็ปาเข้าไป3ทุ่ม  ถ้าจะย้อนกลับไปที่บ้านทรงไทยคืนนี้ก็คงดึกแน่ จึงตัดสินใจกลับมานอนบ้าน เมื่อมาถึงบ้านทุกคนก็อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย เตรียมจะกินข้าวกัน ระหว่างที่นั่งกินข้าวอยู่นั้น ลูกชายคนเล็กของพี่หนุ่ม พูดว่าพ่อจ๋า แม่จ๋า
มีคนมาบ้านเรา ยืนอยู่หน้าบ้าน เค้าเข้าไม่ได้
ตาไม่ให้เข้า ขณะที่ลูกพูด พี่หนุ่มก็ชะโงกมองออกไปทางหน้าต่าง ก็ไม่เห็นมีใคร เลยถามลูกว่า
ใครลูก ไม่เห็นมีใครเลย มีจ้ะพ่อ พี่หนุ่มก็ไม่รีรอเดินออกจากวงข้าว ไปที่หน้าบ้านเพื่อจะไปดูให้แน่ใจว่ามีใครมา ปรากฎว่าไม่เห็นมีใครสักคน ลูกพี่หนุ่มเดินตามหลังมาติดๆ พูดว่า คืนนี้จะมีคนตาย เค้ามาเลือกเอาชีวิต2คนนะพ่อ พี่หนุ่มก็เริ่มชักแปลกใจกับอาการและคำพูดแปลกๆของลูกตัวเองเพราะโดยปกติลูกชายคนเล็กจะมีน้ำเสียงเหมือนเด็กทั่วๆไปและมีนิสัยร่าเริง ดื้อซนไปตามประสาเด็ก ตั้งแต่มารับงานรื้อบ้านทรงไทยโบราณหลังนี้ ลูกคนนี้มักจะงอแงและกลัวอะไรบางอย่างแบบไม่มีเหตุผล โดยเฉพาะตอนกลางคืน
ส่วนคำพูดคำจาดูเป็นทางการ น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปมาก เสียงจะเล็กๆแหลมๆ
พี่หนุ่มถามลูกว่า เค้าคือใคร ใครจะมาเอาชีวิต
ลูกไม่พูดแต่ชี้ไปตรงหน้าบ้าน คืนนั้นพี่หนุ่มก็เลยเก็บความสงสัยเอาไว้ และก็เข้านอนตามปกติ
จนประมาณเกือบๆตี5 เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สักพักพี่หนุ่มก็รับสายด้วยอาการงัวเงีย เสียงตามสายพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แย่แล้วๆๆ พี่หนุ่ม ตอนนี้ไอ้ไผ่ ไอ้เขียว ไอ้กบ โดนวัยรุ่นรุมตี
มาด่วนเลยพี่ คนที่โทรมาก็คือลูกน้องพี่หนุ่มนั่นเอง พอพี่หนุ่มได้ยินดังนั้น ก็รีบปลุกภรรยา และอุ้มลูกไปเดี๋ยว
             พอมาถึงจุดเกิดเหตุ ก็มีทั้งรถกู้ภัย รถพยาบาล รถตำรวจมากันก่อนหน้านี้แล้ว และก็คนละแวกนั้นมายืนพูดคุยสนทนาต่างๆนาๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอมาถึง ก็เจอลูกน้องพี่หนุ่ม แต่ลูกน้องชุดนี้คือชุดที่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์เพราะไม่ได้ออกไปกินเหล้ากับ เจ้าไผ่ เจ้าเขียว เจ้ากบ คนที่จะเล่าเรื่องนี้ได้ดีก็คือเจ้ากบซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนึง  หลังจากพักรักษาตัวอยู่หลายวัน อาการก็เริ่มดีขึ้น จึงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พี่หนุ่มฟัง เรื่องมีอยู่ว่า วันนั้นได้ไปหาร้านนั่งกินเหล้ากันซึ่งไม่ไกลจากบ้านทรงไทยมากนัก ห่างประมาณ1กิโล เป็นร้านเพิงๆเล็กๆมีโต๊ะม้าหินให้นั่งกินเหล้า มีไอ้เขียว ไอ้ไผ่และผม
ไปกันแค่3คน ส่วนพวกที่เหลือไม่ได้มา นั่งกินจน ร้านปิดตอนเที่ยงคืน ส่วนเจ้าของร้านuก็กลับบ้าน แต่พวกผมก็ยังนั่งกินกันต่อ
ตอนนั้นปาเข้าไปตี3
อยู่ๆกลุ่มวัยรุ่นผู้ชายไม่รู้มาจากไหน  ขี่รถมอเตอร์ไซด์มา4คัน และมีคนซ้อนท้ายมาด้วย รวมแล้วน่าจะประมาณ7-8คน ขี่รถมาวนดูหลายรอบ ตรงร้านที่ผมนั่งกิน สักพักพวกมันก็จอดรถ แล้วก็ถามพวกผมว่า พวกข้องใจไรป่าว  ทั้งที่พวกผมไม่เคยมีเรื่องกับกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนี้เลย  คือพูดง่ายๆว่าพวกมันจะมาหาเรื่องกลุ่มผม ตอนนั้นสถานการณ์เริ่มแย่ลง
ผมดึงแขนไอ้ไผ่กับไอ้เขียว ให้รีบกลับซึ่งมันเมามาก มีผมนี่แหละที่พอมีสติอยู่คนเดียวเพราะดื่มไม่เยอะ แต่ไอ้ไผ่กับไอ้เขียวมันยังไม่ยอมกลับ ตอนนั้นผมใจคอไม่ดีแล้ว รู้ว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้น สักพักกลุ่มวัยรุ่นเดินปรี่เข้ามา มีวัยรุ่นอีกคนกระชากคอเสื้อไอ้ไผ่ ตอนนั้นชุลมุนมาก พวกกลุ่มนั้นมีทั้งมีด มีทั้งเหล็กแปบ ไม่รู้ว่าพวกมันเอามาตอนไหน
ผมคิดว่าผมไม่รอดแน่ สิ่งเดียวที่ผมมีตอนนั้นคือพระที่ห้อยคอ ภาวนาขออำนาจพุทธคุณจากท่านช่วยให้ผมรอดจากความตายครั้งนี้ด้วยเถิด หากรอดชีวิตกลับไป ผมจะขอบวชแบบไม่มีกำหนดสึก   พอนึกดังนั้น อยู่ๆเหมือนมีวัตถุแข็งๆฟาดมาที่หัวอย่างจัง ทั้งโดนเตะโดนต่อย โดนแทงที่ลำตัว1แผล  จนผมล้มฟุบกองลงไปกับพื้น แต่ผมยังรู้สึกตัวอยู่ แต่ต้องทำเป็นแกล้งตาย ไม่กล้ากระดุกกระดิก จนพวกมันคิดว่าผมตายแล้วจริงๆ
พอกลุ่มวัยรุ่นมันไปกันหมดแล้ว ผมพยายามประคับประคองสติ ลากสังขารของตัวเองออกมาจากจุดเกิดเหตุ โชคดีที่มีชาวบ้านแถวนั้นผ่านมาพอดีซึ่งกำลังจะไปขายของเพราะตอนนั้นก็ตี4แล้ว
เค้าเข้ามาช่วยผม แล้วก็โทรแจ้งตำรวจ เรียกรถพยาบาล เพราะเนื้อตัวผมมีแต่เลือด โชคดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ
          ส่วนไอ้ไผ่กับ ไอ้เขียว ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ชะตากรรมของพวกมัน  ส่วนพี่หนุ่มได้ไปสอบถามคนละแวกนั้น มีพยานที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าตอนนั้นประมาณตี3ครึ่ง กำลังจะจัดเตรียมทำกับข้าวไปขายในช่วงเช้า เห็นผู้ชาย2คนเหมือนวิ่งหนีใครมา มีเลือดไหลเปรอะเต็มเนื้อเต็มตัว คือวิ่งไปทางด้านหลังตรงแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยความที่ตกใจ เห็นท่าไม่ดี จึงรีบให้แฟนโทรศัพท์แจ้งตำรวจ
หลังจากนั้นทั้งรถตำรวจ ทั้งรถกู้ภัย และรถพยาบาล มากันเต็มไปหมด เจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยกันงมหาเจ้าไผ่กับเจ้าเขียวในแม่น้ำ  หาเท่าไหร่
ก็หาไม่เจอ จนผ่านไป3วัน
          (โปรดติดตามตอนต่อไป)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่