Leh trip diary ( มิถุนายน 2561 : Summer season )
บันทึกการเดินทางนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสเขียนอะไรแบบนี้ขึ้นมาเลย ครั้งนี้จะไปกันที่เมืองLeh ในแคว้นLadakh โดยผมจะแบ่งเป็น 6 part สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน หรือ อยากติดตาม part ไหน รูปเยอะมั่กๆ สามารถติดตามได้ตามนี้เลยยย
0.เรื่องทั่วไปๆก่อนออกเดินทาง (เช่น ข้อมูลสำคัญ แผนการเดินทาง ค่าใช้จ่าย) :
https://ppantip.com/topic/38453605
1.การเดินทางวันที่ 1 - 2 ( BKK - Delhi - Leh ) :
https://ppantip.com/topic/38453667
2.การเดินทางวันที่ 3 - 4 ( Leh - Southeast side trip - Nubra valley ) :
https://ppantip.com/topic/38453888
3.การเดินทางวันที่ 5 - 6 ( Nubra valley - Pangong lake - Leh ) :
https://ppantip.com/topic/38454110
4.การเดินทางวันที่ 7 - 8 (Leh - Leh - West side trip) :
https://ppantip.com/topic/38455237
5.การเดินทางวันที่ 9 - 10 (Leh - Delhi - BKK) :
https://ppantip.com/topic/38455304
Part 2
Day 3 ( Leh – Southeast side trip )
ตื่นเช้ามาพร้อมกับความสดใส สดใสก็แย่แล้ว นั่งพิมพ์ไดอารี่เนี้ยทั้งคืน555 คนขับนัดว่าจะมารับ 9 โมง ง่วงนอนมากเลยตื่นสาย กินอาหารเช้าของทางที่พักเป็นเมนู Omelette with 2 toasts
กว่าจะพร้อมออกเดินทางจริงๆก็ 9 โมงครึ่งแล้ว ดีที่พี่คนขับคนนี้ใจดีแถมพูดภาษาอังกฤษใช้ได้เลย สื่อสารเข้าใจมากก จริงๆคนที่นี่เกือบทุกคนเลยพูดภาษาอังกฤษเป็น มาฝึกใช้ภาษาที่นี่ก็ดีเหมือนกัน555 วันนี้อากาศดี เย็นๆสบายๆ แต่ไม่ได้เช็คอุณหภูมิ อินเทอร์เน็ตยังไม่ค่อยจะมีเลย คิดว่าน่าจะประมาณ 15 องศานะ วันนี้ก็จะไปเที่ยวตามที่วางแผนไว้เมื่อคืนแหละ แผนของวันนี้คือ Shey palace , Hemis monastery , Stakna , Thiksey (Mini Potala) พอเริ่มออกเดินทางปุ้บ หลังจากที่เมื่อคืนคุยถึงแผนการเที่ยวต่างๆไว้ เราต้องไปที่ Nubra valley กับ Pangong lake 3 วัน 2 คืน ซึ่งทั้งหมดนี้เราจะไปธรรมดาไม่ได้นะ ต้องขอ Permission ก่อน โดยพี่คนขับก็พาผมไปที่ Main bazaar อ่ะแหละ ไปหา Agency ชื่อร้าน Ancient track ร้านอยู่ตรง Main bazaar ร้านป้ายสีแดงๆ สิ่งที่ต้องใช้คือ Passport , Visa , เงิน 600 รูปี ทางร้านบอกว่าตอนเย็นค่อยมาเอาใบ Permission ต้องใช้เวลาทำเรื่อง ดังนั้น ถ้าจะไปเที่ยวข้างนอก Leh อ่ะ ต้องติดต่อทำเรื่องก่อนออกเดินทางอย่างน้อย 1 วันนะ จะเอาแต่ใจไปเลยทันทีไม่ได้5555 จบเรื่องนั้นไว้ แล้วตอนนี้ไปเที่ยวกันดีกว่า เย้!!
โดยที่แรกที่ผมไป คือ Shey palace มีประวัติอยู่ว่า ที่นี่เนี่ยสร้างในสมัย ค.ศ.1600 กว่า ตอนนี้ก็ประมาณ 400 ปีแล้ว เป็นพระราชวังเก่าที่สร้างขึ้น เป็นพระราชวังฤดูร้อนโดยกษัตริย์องค์นึง เพื่อระลึกถึงพ่อของเขา โดยตอนนี้พระราชวังก็เปลี่ยนมาเป็นวัดเรียบร้อยแล้ว ขึ้นไปข้างบนอย่างแรกเลยที่จะเจอในพวกวัด รวมไปถึงพระราชวังของที่นี่ด้วยก็คือ Prayer wheel ซึ่งกงล้อแบบนี้เป็นวัฒนธรรมที่ได้มาจากทิเบต
จากตรงนี้ ถ้าเดินต่อไปเรื่อยๆตรงนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก ดูเหมือนวัดที่สร้างด้วยดิน ระหว่างทางมีวิวดีดีก็เลยแวะดูหน่อย
แต่ด้วยความบังเอิญจากความอยากรู้อยากลองของผม เลยลองเดินลุยไปเรื่อยๆก็เลยพบว่า ที่นี่ถ้าเดินมาข้างหลังจะมีทางให้เดินขึ้นไปบนภูเขาดินแข็งๆ
ลองเดินขึ้นเขาไปให้สุดเท่าที่คิดว่าจะสุดได้แล้ว จะพบตัวเราบนที่สูงมองลงมารอบๆจะเห็นภาพวิวโลก 240 องศาเป็นของเรา มันสวยและกว้างใหญ่มากประกอบกับเห็น Shey palace อธิบายไม่ค่อยถูกสักเท่าไร แต่เอาใจไปเลยเต็มๆ
พอดูวิวพอหอมปากหอมคอแล้ว ผมก็เลยเดินลงมาที่รถด้วยความงงๆว่าไหนอ่ะไม่เห็นมีพระราชวังตามชื่อ Leh palace เลย พึ่งมารู้หลังจากกลับมาไทยแล้วว่ามันก็มีพระราชวังอยู่ แต่ผมไม่ได้เข้าเอง5555 มาดูรูปในกล้อง มีรูปทางขึ้นพระราชวัง แต่ทำไมถึงไม่ขึ้นไปห้ะ!!
ด้วยความที่เป็นที่แรกที่ไปด้วยแหละ เลยไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร ทำได้แค่ปลอบใจตัวเองยาวๆไป555
จากนั้นผมก็นั่งรถต่อและมุ่งหน้าไปที่ Hemis monastery
ระหว่างทางคนขับแวะเติมน้ำมัน ผมก็เลยถือโอกาสลงมาจากรถมาดูปั๊มน้ำมันที่นี่
มันก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านเราหรอก และเดินออกมาดูวิวรอบๆที่มีแม่น้ำไหลขนานไปกับถนน ดูแล้วก็เพลินดีเหมือนกัน
แล้วอยู่ดีดีคนขับรถก็จะมาถ่ายรูปให้ ดีเหมือนกัน เป็นมากกว่าคนขับรถและคนถ่ายรูป นั่นคือเป็นคนคิดท่าให้ด้วย555 เขาให้พวกผมกระโดดกลางถนน ตอนแรกที่กระโดด เสื้อมันร่นขึ้นมา เห็นเนื้อหมดเลย555 คนขับบอกไม่ไหว เดียวสอนกระโดดให้ ได้ทริคมาว่า ให้กระโดดตรงๆ แล้วเอาขาไปข้างหลัง แค่นี้เอง โถ่ ก็ไม่มีใครเคยสอนกระโดดนี่หน่า5555 ภาพที่ได้ออกมา ท่าดี แต่หน้าพัง ไม่เป็นไร เราจะลง555
แล้วก็เดินทางต่อไปอีกเรื่อยๆ
พอถึงที่ Hemis monastery ปุ้บ
เดินเข้าไปจะเจอป้อมเล็กๆเป็นที่เก็บค่าเข้าซึ่งสังเกตยากอยู่ ถ้าเดินผ่านไปนี่คือ เขาก็ไม่ได้มาเรียกตามเก็บเราอ่ะ ผมไม่รู้เลยไม่ได้จ่ายค่าเข้าที่นี่ มารู้อีกทีตอนถามคนขับย้อนหลังเอา เพราะว่าไปที่อื่นแล้วมันมีค่าเข้าไง เลยสงสัยว่าที่นี่ไม่มีค่าเข้าหรอ คนขับบอกว่ามีหมดทุกที่แหละ แค่ผมไม่ได้จ่ายเอง งืออ คือต้องเสียใจใช่ไหม TT เดียวแก้ตัวที่อื่นละกัน มาเที่ยวต่อ555 พอเดินเข้าไปขึ้นบันไดพอถึงทางเข้า จะเจอลานตรงกลางอยู่
แล้วจากลานตรงกลางนี้จะมีอยู่ 3 ทางให้เราไปคือ
1.เดินเลี้ยวซ้ายจะไปเจอพิพิธภัณฑ์ กับร้านขายของที่ระลึกอยู่ ถ้าถูกใจก็ซื้อไปเลย เพราะอนาคตอาจจะเวลาไม่พอแบบผมก็ได้นะ ราคาที่นี่ขายไม่แพง ถ้าหวังไปซื้อข้างหน้าหรือที่อื่น จะแพงกว่านี้อีก5555 มีขายพวกรูป ปฏิทิน หนังสือ แม่เหล็ก อุปกรณ์ที่แนวๆวัด แล้วก็มีธงมนต์ (Prayer flag) ด้วยเป็นธงสีๆมีคำเขียนอยู่ คือ Om Mani Padme Hum บทสวดของชาวทิเบตที่นับถือพระพุทธศาสนาใช้ในการสวดอ้อนวอนต่อพระโพธิสัตว์ ซึ่งมีความหมายว่า “ โอม อัญมณีในดอกบัว ” การอ่านบทสวดนี้ซ้ำๆ จะเป็นการเพิ่มพูนกุศลบุญ และลดบาปอันเกิดจากการกระทำ ทำให้เราจะพบตัวอักษรพวกนี้อยู่ตามธงผูกที่นู่นที่นี่ หินแกะสลัก สามารถเห็นตามทั่วๆไปของที่เลห์ ซึ่งธงนี้ก็ได้รับอิทธิพลมาจากทางทิเบตเหมือนกัน [ธงมนต์จริงๆผมลืมถ่ายรูปเอาไว้ อันนี้เป็นธงมนต์ที่ผมซื้อมาเป็นของที่ระลึก จะเป็นแบบย่อส่วน555] ภายในร้านขายของที่ระลึก ถ้าเดินลึกเข้าไปอีกก็จะเจอกับพิพิธภัณฑ์ แต่ที่นี่เขาไม่ให้นำอุปกรณ์ถ่ายภาพเข้าไป ดังนั้นเลยไม่ได้ถ่ายภาพมาครับ
2.ถ้าเดินตรงไปจะเจอกับอุโบสถแรก แต่ตรงนี้ไม่ค่อยศักดิ์สิทธิ์มาก เหมือนเป็นอุโบสถจำลองให้ดู พอเข้าไป
ผมได้ยินเสียงเพลงเพลงนึงที่แม่ของผมเคยเปิดให้ฟังตอนเด็กๆ มันน่าจะเป็นบทสวดแหละ หาข้อมูลมาแล้ว จริงๆก็คือบทสวดบูชาเจ้าแม่กวนอิมนี่เอง ข้างในจะเจอพระพุทธรูปใหญ่อยู่
มีคนอินเดียให้ผมไปถ่ายรูปให้ เห็นเขาถ่ายกันท่าพนมมือไหว้ พอผมถ่ายให้ปุ้บ เขาเลยถามผมว่าจะให้ถ่ายให้ไหม ลองดู ถ่ายก็ได้ เลียนแบบท่าด้วย เผื่อจะดูเป็นคนดีขึ้นมา แบบนี้ก็ได้หรอ5555
3.ถ้าเดินเยื้องไปทางขวาหน่อยๆ จะเจอกับอุโบสถหลักที่ใช้งานจริงๆ ตรงนี้ มีป้ายเขียนว่าให้ถอดรองเท้าให้เป็นระเบียบ อยู่ในความสงบนิ่ง ห้ามถ่ายรูป เพื่อเป็นการให้เกียรติสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีการทำพิธีกรรมทางศาสนาทุกวัน อุโบสถนี้ผมคิดว่าน่าจะมีรูปแบบจะคล้ายกับอุโบสถของวัดที่ทิเบตนะ โดยที่ภายในของทุกวัดที่ผมสังเกต จะมีรูปขององค์ Da lai la ma ทุกวัดเลยนะ
4.อาจจะมีอีกที่คือถัดจากอุโบสถหลักตรงนี้ เดินไปเรื่อยๆ มันก็เกิดจากความอยากรู้อยากลองอีกอ่ะแหละ ผมไปเจอเข้ากับบันไดนึง ถ้าขึ้นไป จะไปโผล่อยู่บนดาดฟ้าของวัด ตรงนี้ก็วิวสวยมากกก น่าจะเป็นมุมค่อนข้าง rare ของที่นี่ เพราะไม่มีคนบ้าขึ้นมาตรงนี้หรอกมั้ง555
เรื่องเล่าจากลาดักห์ Backpack Leh trip Diary 10 วัน 9 คืน (มิถุนายน 2561 : Summer season) Part 2
บันทึกการเดินทางนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสเขียนอะไรแบบนี้ขึ้นมาเลย ครั้งนี้จะไปกันที่เมืองLeh ในแคว้นLadakh โดยผมจะแบ่งเป็น 6 part สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน หรือ อยากติดตาม part ไหน รูปเยอะมั่กๆ สามารถติดตามได้ตามนี้เลยยย
0.เรื่องทั่วไปๆก่อนออกเดินทาง (เช่น ข้อมูลสำคัญ แผนการเดินทาง ค่าใช้จ่าย) : https://ppantip.com/topic/38453605
1.การเดินทางวันที่ 1 - 2 ( BKK - Delhi - Leh ) : https://ppantip.com/topic/38453667
2.การเดินทางวันที่ 3 - 4 ( Leh - Southeast side trip - Nubra valley ) : https://ppantip.com/topic/38453888
3.การเดินทางวันที่ 5 - 6 ( Nubra valley - Pangong lake - Leh ) : https://ppantip.com/topic/38454110
4.การเดินทางวันที่ 7 - 8 (Leh - Leh - West side trip) : https://ppantip.com/topic/38455237
5.การเดินทางวันที่ 9 - 10 (Leh - Delhi - BKK) : https://ppantip.com/topic/38455304
Part 2
Day 3 ( Leh – Southeast side trip )
ตื่นเช้ามาพร้อมกับความสดใส สดใสก็แย่แล้ว นั่งพิมพ์ไดอารี่เนี้ยทั้งคืน555 คนขับนัดว่าจะมารับ 9 โมง ง่วงนอนมากเลยตื่นสาย กินอาหารเช้าของทางที่พักเป็นเมนู Omelette with 2 toasts
กว่าจะพร้อมออกเดินทางจริงๆก็ 9 โมงครึ่งแล้ว ดีที่พี่คนขับคนนี้ใจดีแถมพูดภาษาอังกฤษใช้ได้เลย สื่อสารเข้าใจมากก จริงๆคนที่นี่เกือบทุกคนเลยพูดภาษาอังกฤษเป็น มาฝึกใช้ภาษาที่นี่ก็ดีเหมือนกัน555 วันนี้อากาศดี เย็นๆสบายๆ แต่ไม่ได้เช็คอุณหภูมิ อินเทอร์เน็ตยังไม่ค่อยจะมีเลย คิดว่าน่าจะประมาณ 15 องศานะ วันนี้ก็จะไปเที่ยวตามที่วางแผนไว้เมื่อคืนแหละ แผนของวันนี้คือ Shey palace , Hemis monastery , Stakna , Thiksey (Mini Potala) พอเริ่มออกเดินทางปุ้บ หลังจากที่เมื่อคืนคุยถึงแผนการเที่ยวต่างๆไว้ เราต้องไปที่ Nubra valley กับ Pangong lake 3 วัน 2 คืน ซึ่งทั้งหมดนี้เราจะไปธรรมดาไม่ได้นะ ต้องขอ Permission ก่อน โดยพี่คนขับก็พาผมไปที่ Main bazaar อ่ะแหละ ไปหา Agency ชื่อร้าน Ancient track ร้านอยู่ตรง Main bazaar ร้านป้ายสีแดงๆ สิ่งที่ต้องใช้คือ Passport , Visa , เงิน 600 รูปี ทางร้านบอกว่าตอนเย็นค่อยมาเอาใบ Permission ต้องใช้เวลาทำเรื่อง ดังนั้น ถ้าจะไปเที่ยวข้างนอก Leh อ่ะ ต้องติดต่อทำเรื่องก่อนออกเดินทางอย่างน้อย 1 วันนะ จะเอาแต่ใจไปเลยทันทีไม่ได้5555 จบเรื่องนั้นไว้ แล้วตอนนี้ไปเที่ยวกันดีกว่า เย้!!
โดยที่แรกที่ผมไป คือ Shey palace มีประวัติอยู่ว่า ที่นี่เนี่ยสร้างในสมัย ค.ศ.1600 กว่า ตอนนี้ก็ประมาณ 400 ปีแล้ว เป็นพระราชวังเก่าที่สร้างขึ้น เป็นพระราชวังฤดูร้อนโดยกษัตริย์องค์นึง เพื่อระลึกถึงพ่อของเขา โดยตอนนี้พระราชวังก็เปลี่ยนมาเป็นวัดเรียบร้อยแล้ว ขึ้นไปข้างบนอย่างแรกเลยที่จะเจอในพวกวัด รวมไปถึงพระราชวังของที่นี่ด้วยก็คือ Prayer wheel ซึ่งกงล้อแบบนี้เป็นวัฒนธรรมที่ได้มาจากทิเบต จากตรงนี้ ถ้าเดินต่อไปเรื่อยๆตรงนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก ดูเหมือนวัดที่สร้างด้วยดิน ระหว่างทางมีวิวดีดีก็เลยแวะดูหน่อย
แต่ด้วยความบังเอิญจากความอยากรู้อยากลองของผม เลยลองเดินลุยไปเรื่อยๆก็เลยพบว่า ที่นี่ถ้าเดินมาข้างหลังจะมีทางให้เดินขึ้นไปบนภูเขาดินแข็งๆ
ลองเดินขึ้นเขาไปให้สุดเท่าที่คิดว่าจะสุดได้แล้ว จะพบตัวเราบนที่สูงมองลงมารอบๆจะเห็นภาพวิวโลก 240 องศาเป็นของเรา มันสวยและกว้างใหญ่มากประกอบกับเห็น Shey palace อธิบายไม่ค่อยถูกสักเท่าไร แต่เอาใจไปเลยเต็มๆ
พอดูวิวพอหอมปากหอมคอแล้ว ผมก็เลยเดินลงมาที่รถด้วยความงงๆว่าไหนอ่ะไม่เห็นมีพระราชวังตามชื่อ Leh palace เลย พึ่งมารู้หลังจากกลับมาไทยแล้วว่ามันก็มีพระราชวังอยู่ แต่ผมไม่ได้เข้าเอง5555 มาดูรูปในกล้อง มีรูปทางขึ้นพระราชวัง แต่ทำไมถึงไม่ขึ้นไปห้ะ!!
ด้วยความที่เป็นที่แรกที่ไปด้วยแหละ เลยไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร ทำได้แค่ปลอบใจตัวเองยาวๆไป555
จากนั้นผมก็นั่งรถต่อและมุ่งหน้าไปที่ Hemis monastery
ระหว่างทางคนขับแวะเติมน้ำมัน ผมก็เลยถือโอกาสลงมาจากรถมาดูปั๊มน้ำมันที่นี่
มันก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านเราหรอก และเดินออกมาดูวิวรอบๆที่มีแม่น้ำไหลขนานไปกับถนน ดูแล้วก็เพลินดีเหมือนกัน
แล้วอยู่ดีดีคนขับรถก็จะมาถ่ายรูปให้ ดีเหมือนกัน เป็นมากกว่าคนขับรถและคนถ่ายรูป นั่นคือเป็นคนคิดท่าให้ด้วย555 เขาให้พวกผมกระโดดกลางถนน ตอนแรกที่กระโดด เสื้อมันร่นขึ้นมา เห็นเนื้อหมดเลย555 คนขับบอกไม่ไหว เดียวสอนกระโดดให้ ได้ทริคมาว่า ให้กระโดดตรงๆ แล้วเอาขาไปข้างหลัง แค่นี้เอง โถ่ ก็ไม่มีใครเคยสอนกระโดดนี่หน่า5555 ภาพที่ได้ออกมา ท่าดี แต่หน้าพัง ไม่เป็นไร เราจะลง555
แล้วก็เดินทางต่อไปอีกเรื่อยๆ
พอถึงที่ Hemis monastery ปุ้บ
เดินเข้าไปจะเจอป้อมเล็กๆเป็นที่เก็บค่าเข้าซึ่งสังเกตยากอยู่ ถ้าเดินผ่านไปนี่คือ เขาก็ไม่ได้มาเรียกตามเก็บเราอ่ะ ผมไม่รู้เลยไม่ได้จ่ายค่าเข้าที่นี่ มารู้อีกทีตอนถามคนขับย้อนหลังเอา เพราะว่าไปที่อื่นแล้วมันมีค่าเข้าไง เลยสงสัยว่าที่นี่ไม่มีค่าเข้าหรอ คนขับบอกว่ามีหมดทุกที่แหละ แค่ผมไม่ได้จ่ายเอง งืออ คือต้องเสียใจใช่ไหม TT เดียวแก้ตัวที่อื่นละกัน มาเที่ยวต่อ555 พอเดินเข้าไปขึ้นบันไดพอถึงทางเข้า จะเจอลานตรงกลางอยู่
แล้วจากลานตรงกลางนี้จะมีอยู่ 3 ทางให้เราไปคือ
1.เดินเลี้ยวซ้ายจะไปเจอพิพิธภัณฑ์ กับร้านขายของที่ระลึกอยู่ ถ้าถูกใจก็ซื้อไปเลย เพราะอนาคตอาจจะเวลาไม่พอแบบผมก็ได้นะ ราคาที่นี่ขายไม่แพง ถ้าหวังไปซื้อข้างหน้าหรือที่อื่น จะแพงกว่านี้อีก5555 มีขายพวกรูป ปฏิทิน หนังสือ แม่เหล็ก อุปกรณ์ที่แนวๆวัด แล้วก็มีธงมนต์ (Prayer flag) ด้วยเป็นธงสีๆมีคำเขียนอยู่ คือ Om Mani Padme Hum บทสวดของชาวทิเบตที่นับถือพระพุทธศาสนาใช้ในการสวดอ้อนวอนต่อพระโพธิสัตว์ ซึ่งมีความหมายว่า “ โอม อัญมณีในดอกบัว ” การอ่านบทสวดนี้ซ้ำๆ จะเป็นการเพิ่มพูนกุศลบุญ และลดบาปอันเกิดจากการกระทำ ทำให้เราจะพบตัวอักษรพวกนี้อยู่ตามธงผูกที่นู่นที่นี่ หินแกะสลัก สามารถเห็นตามทั่วๆไปของที่เลห์ ซึ่งธงนี้ก็ได้รับอิทธิพลมาจากทางทิเบตเหมือนกัน [ธงมนต์จริงๆผมลืมถ่ายรูปเอาไว้ อันนี้เป็นธงมนต์ที่ผมซื้อมาเป็นของที่ระลึก จะเป็นแบบย่อส่วน555] ภายในร้านขายของที่ระลึก ถ้าเดินลึกเข้าไปอีกก็จะเจอกับพิพิธภัณฑ์ แต่ที่นี่เขาไม่ให้นำอุปกรณ์ถ่ายภาพเข้าไป ดังนั้นเลยไม่ได้ถ่ายภาพมาครับ
2.ถ้าเดินตรงไปจะเจอกับอุโบสถแรก แต่ตรงนี้ไม่ค่อยศักดิ์สิทธิ์มาก เหมือนเป็นอุโบสถจำลองให้ดู พอเข้าไป
ผมได้ยินเสียงเพลงเพลงนึงที่แม่ของผมเคยเปิดให้ฟังตอนเด็กๆ มันน่าจะเป็นบทสวดแหละ หาข้อมูลมาแล้ว จริงๆก็คือบทสวดบูชาเจ้าแม่กวนอิมนี่เอง ข้างในจะเจอพระพุทธรูปใหญ่อยู่
มีคนอินเดียให้ผมไปถ่ายรูปให้ เห็นเขาถ่ายกันท่าพนมมือไหว้ พอผมถ่ายให้ปุ้บ เขาเลยถามผมว่าจะให้ถ่ายให้ไหม ลองดู ถ่ายก็ได้ เลียนแบบท่าด้วย เผื่อจะดูเป็นคนดีขึ้นมา แบบนี้ก็ได้หรอ5555
3.ถ้าเดินเยื้องไปทางขวาหน่อยๆ จะเจอกับอุโบสถหลักที่ใช้งานจริงๆ ตรงนี้ มีป้ายเขียนว่าให้ถอดรองเท้าให้เป็นระเบียบ อยู่ในความสงบนิ่ง ห้ามถ่ายรูป เพื่อเป็นการให้เกียรติสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีการทำพิธีกรรมทางศาสนาทุกวัน อุโบสถนี้ผมคิดว่าน่าจะมีรูปแบบจะคล้ายกับอุโบสถของวัดที่ทิเบตนะ โดยที่ภายในของทุกวัดที่ผมสังเกต จะมีรูปขององค์ Da lai la ma ทุกวัดเลยนะ
4.อาจจะมีอีกที่คือถัดจากอุโบสถหลักตรงนี้ เดินไปเรื่อยๆ มันก็เกิดจากความอยากรู้อยากลองอีกอ่ะแหละ ผมไปเจอเข้ากับบันไดนึง ถ้าขึ้นไป จะไปโผล่อยู่บนดาดฟ้าของวัด ตรงนี้ก็วิวสวยมากกก น่าจะเป็นมุมค่อนข้าง rare ของที่นี่ เพราะไม่มีคนบ้าขึ้นมาตรงนี้หรอกมั้ง555