ถานเต้าจี้ 檀道濟
มีพี่ชายชื่อ ถานเสา 檀韶 และน้องสาวไม่ทราบชื่อ ถานเต้าจี้ได้ติดตามพี่ชายไปรับราชการทหาร
ในสมัยราชวงศ์จิ้น ต่อมาเมื่อหวนเสวียนได้ทำการชิงบัลลังค์จากฮ่องเต้จิ้นอันตี้ ในปี ค.ศ.403
ถานเต้าจี้ก็ได้ไปเข้าร่วมกองทัพกับ หลิวอวี้ ผู้บัญชาการกองพลเป๋ยฝู่ นำกองทัพเข้าปราบปรามและ
สังหารหวนเสวียน ในปีถัดมาหวนเจิ้น (桓振) หลานชายของหวนเสวียนกลายเป็นผู้นำกองกำลังต่อต้าน
ถานเต้าจี้ได้สร้างวีรกรรมโดยการนำทัพหน้าเข้าปะทะกับกองทัพสกุลหวน ถานเต้าจี้สังหารหวนเจิ้นใน
สนามรบและได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็น 'อู่สิงโหว' (พระยาอู่สิง)
หลังจากนั้นถานเต้าจี้ก็เข้าร่วมในสงครามครั้งใหญ่หลายครั้ง จนกระทั่งย่างเข้าสู่ปี ค.ศ.416 หลิวอวี้นำ
กองทัพตงจิ้นบุกโจมตีแคว้นโฮ่วฉินครั้งใหญ่ ถานเต้าจี้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทัพหน้าและสามารถพิชิต
นครฉางอานสำเร็จ ทำให้หลิวอวี้ไว้วางใจถานเต้าจี้เป็นอันมากจึงมอบหมายหน้าที่ควบคุมดูแลเมืองสำคัญ
อย่างสี่ว์ชางและลั่วหยาง หัวเมืองใหญ่ในที่ราบเหอหนาน
ปี ค.ศ.420 หลิวอวี้โค่นล้มราชวงศ์ตงจิ้น และสถาปนาราชวงศ์ซ่ง (เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับยุคราชวงศ์ซ่ง
ในศตวรรษที่ 10 นักประวัติศาสตร์จึงให้ชื่อว่าราชวงศ์หลิวซ่ง) ถานเต้าจี้ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็น 'หย่งซิวกง'
(เจ้าพระยาหย่งซิว) แต่ทว่าซ่งอู่ตี้ครองราชย์ได้เพียง 2 ปีก็เสด็จสวรรคต
รัชทายาทหลิวอี้ฝู (劉義符) ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ซ่งเส้าตี้ (宋少帝) ถานเต้าจี้คาดว่าจักรวรรดิเป่ยเว่ยอาจ
ฉวยโอกาสที่หลิวซ่งมีการผลัดแผ่นดินยกทัพใหญ่เข้ารุกรานมณฑลทางตอนเหนือ จึงขอพระราชานุญาตให้แต่งตั้ง
ตนเป็น 'ผู้สำเร็จราชการหนานเหยี่ยนโจว' (ปัจจุบันคือตอนกลางของมณฑลเจียงซู) ซ่งเส้าตี้ก็ทรงอนุญาต
เป็นจริงอย่างที่ถานเต้าจี้คาดการณ์ เป่ยเว่ยยกทัพนับแสนข้ามแม่น้ำหวงเหอโจมตีมณฑลทางภาคเหนือ ถานเต้าจี้
นำกองทัพเข้าต้านทานที่มณฑลสวีโจว (ปัจจุบันคือมณฑลซานตง) สกัดทัพเป่ยเว่ยไม่ให้รุกเข้าสู่ซานตงและที่ราบลุ่ม
แม่น้ำฉางเจียงตอนบนไว้ได้ แต่ก็จำต้องสูญเสียที่ราบเหอหนานเกือบทั้งหมด
ปี ค.ศ.424 ซ่งเส้าตี้เริ่มใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย เพิกเฉยต่อราชกิจที่ทรงกระทำ ซึ่งขัดต่อราชโองการของซ่งอู่ตี้ที่ดำเนิน
นโยบาย "ฮ่องเต้ประหยัด ใต้หล้าพัฒนา" เป็นเหตุให้ขุนนางใหญ่ทั้ง 3 คือ สวีเสี้ยนจือ (徐羨之) ฟู่เลี่ยง (傅亮) และเซี่ยฮุ่ย (謝晦)
วางแผนปลดซ่งเส้าตี้จากราชบัลลังก์ ซึ่งแผนการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากจางไท่โฮ่ว (พระชนนีจาง)
แต่ขุนนางใหญ่ทั้งสามไม่มีกำลังทหารที่จะก่อการ จึงเขียนจดหมายไปยังถานเต้าจี้และแม่ทัพหวังหง (王弘) ที่ประจำการณ์
อยู่เมืองหน้าด่านให้ส่งกำลังทหารเข้านครหลวงเจี้ยนคังเพื่อก่อรัฐประหาร การรัฐประหารสำเร็จอย่างง่ายดาย ซ่งเส้าตี้ถูกปลด
จากตำแหน่งเป็น อิงหยางหวาง แล้วสถาปนาพระอนุชาอี้ตูหวาง - หลิวอี้หลง (義渡王 - 劉義隆) ขึ้นเป็นฮ่องเต้ซ่งเหวินตี้ (宋文帝)
● ยุทธการที่ราบเหอหนาน
ปี ค.ศ.430 หลังจากปราบปรามเหล่าขุนนางที่กระด้างกระเดื่องจนแผ่นดินหลิวซ่งเกิดเสถียรภาพทางการเมือง ซ่งเหวินตี้ได้แต่งตั้ง
ถานเต้าจี้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเจียงโจว (ปัจจุบันคือมณฑลเจียงซูและตอนบนของมณฑลฝูเจี้ยน) นอกจากนี้พระองค์ยังมี
พระราชดำริที่จะนำทัพออกปราบเป่ยเว่ย ที่ยึดครองที่ราบเหอหนานเอาไว้
ฤดูร้อน ปี ค.ศ.430 ซ่งเหวินตี้มีพระบัญชาแต่งตั้งแม่ทัพเต้าเยี่ยนจือ (到彥之) เป็นจอมทัพออกปราบเป่ยเว่ย แต่กองทัพเป่ยเว่ย
ใช้ยุทธวิธี 'ตั้งรับไม่สู้รบ' เพื่อให้สงครามยืดเยื้อไปถึงฤดูหนาวเสบียงเกิดการขัดสนแล้วทำการโต้กลับอย่างรุนแรง
ฤดูหนาว ปี ค.ศ.430 เสบียงทัพหลิวซ่งเกิดการขัดสน เมืองลั่วหยางและด่านหู่เหลากวนที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ก็ถูกแม่ทัพเป่ยเว่ย
เชื้อสายเซียนเปยนามว่า อี่จ้านเจียน (乙旃建)เข้ายึดครอง เต้าเยี่ยนจือจึงถอยทัพมายังเมืองหัวไถ (ปัจจุบันคือเมืองอันหยาง มณฑลเหอหนาน)
แล้วให้รองแม่ทัพจูซิ่วจือ (朱脩之)เป็นผู้เฝ้ารักษาเมือง ส่วนตนเองหนีกลับมายังนครหลวงเจี้ยนคัง
เมืองหัวไถถูกปิดล้อมทุกด้าน การโจมตีเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วงซ้ำร้ายเสบียงก็ใกล้หมด ซ่งเหวินตี้จึงเรียกตัวถานเต้าจี้จาก
เจียงโจว ให้ดำรงตำแหน่งจอมทัพเพื่อเข้าแก้ไขสถานการณ์
ฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ.431 ถานเต้าจี้เคลื่อนพลข้ามลำน้ำฉางเจียงมุ่งหน้าสู่เมืองหัวไถ เกิดการปะทะกับทัพเป่ยเว่ยหลายต่อหลายครั้ง
ถานเต้าจี้ก็สามารถเอาชนะได้ทุกครั้งจนคลี่คลายสถานการณ์ปิดล้อมเมืองหัวไถได้สำเร็จ
ถานเต้าจี้มุ่งหน้าสู่เมืองลี่เฉิง (ปัจจุบันคือเมืองจี้หนาน มณฑลซานตง) เพื่อกวาดล้างกองทัพเป่ยเว่ย แต่ทว่าเป็นแผน
ลวงของอี่จ้านเจียนทั้งสิ้น อี่จ้านเจียนใช้กำลังทหารปิดเส้นทางขนส่งยุทธปัจจัย เมืองหัวไถถูกตัดขาดจากกองทัพถานเต้าจี้
ในทันที จนต้องถูกกองทัพเป่ยเว่ยปิดล้อมอีกครั้งและแตกพ่ายในที่สุด รองแม่ทัพจูซิ่วจือถูกจับเป็นเชลย ถานเตาจี้จึงถอยทัพ
กลับไปตั้งหลักที่สวีโจว ระหว่างล่าถอยเสบียงทัพหมดกลางคัน สายข่าวกองทัพเป่ยเว่ยจึงได้รายงานต่อแม่ทัพอี่จ้านเจียน
เขาจึงเห็นเป็นโอกาสที่จะนำทัพบดขยี้กองทัพของถานเต้าจี้ และในครั้งนี้เองถานเต้าจี้ก็ได้ใช้กลยุทธ์พิศดารลวงกองทัพเป่ยเว่ย
ในยามค่ำคืน ถานเต้าจี้ให้ทหารขนทรายมาก่อไว้เป็นเนิน แล้วน้ำเมล็ดข้าวมาโรยเคลือบไว้บนเนินทราย เมื่อเห็นไกลๆจะ
ดูเหมือนเป็นกองเนินข้าวสารขนาดใหญ่ ครั้นถึงรุ่งเช้าหน่วยม้าลาดตระเวณเป่ยเว่ยเห็นดังนั้นจึงนำความไปรายงานอี่จ้านเจี้ยน
เขาคิดว่าเสบียงทัพถานเต้าจี้ยังบริบูรณ์ดีจึงไม่ได้นำทัพเข้าโจมตีแต่ประการใด ถานเต้าจี้จึงใช้โอกาสนี้ล่าถอยไปยังสวีโจวได้สำเร็จ
ประวัติศาสตร์จีนได้สอนเราอย่างหนึ่งว่า
" ลูกน้องยิ่งเก่งกล้าเท่าใด ย่อมเป็นที่หวาดระแวงของผู้เป็นนาย "
ถานเต้าจี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น !
ซ่งเหวินตี้แม้พระชนม์มายุจะไม่ถึง 30 ชันษาแต่พระองค์ก็มีร่างกายที่อ่อนแอ ครั้งหนึ่งขณะประชวรหนักจวนสิ้นพระชนม์
ด้วยหวั่นเกรงว่าตนจะสูญเสียบัลลังก์ซ่งเหวินตี้จึงยิ่งร้อนพระทัย แต่คนที่ร้อนใจกว่าเห็นจะเป็นอัครเสนาบดีหลิวอี้คัง (劉義康)
ที่เป็นอนุชาของซ่งเหวินตี้ ทั้งคู่ต่างกริ่งเกรงในอำนาจทางทหารของถานเต้าจี้ซึ่งกุมกำลังทหารอยู่นอกเมืองหลวงเป็นอย่างมาก
เวลานั้นถานเต้าจี้เป็นผู้บัญชาการกองพลเป๋ยฝู่และดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเจียงโจว ขุนพลและทหารใต้บังคับบัญชาล้วน
ผ่านศึกอย่างโชกโชน จึงเป็นที่วิตกของผู้กุมอำนาจในศูนย์กลางเวลานั้น หลิวอี้คังจึงเพ็ดทูลต่อซ่งเหวินตี้ แม้พระองค์จะทราบว่า
ถานเต้าจี้เป็นผู้มีคุณธรรมและราชบัลลังก์ของพระองค์ก็ได้มาจากฝีมือของถานเต้าจี้ แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อนซ่งเหวินตี้จึงมีคำสั่งให้
ถานเต้าจี้เข้าเมืองหลวง
● จุดจบของยอดแม่ทัพ
ถานเต้าจี้ได้รับคำสั่งก็ไม่คิดอะไรมาก จึงรีบเดินทางเข้านครหลวงเจี้ยนคัง ภรรยาของเขากล่าวด้วยความเป็นห่วงว่า
"พี่ท่านสร้างความชอบไว้มากมาย คงมีคนริษยาและใส่ร้าย แต่โบราณจนปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้ เวลานี้ราชสำนักหามีเรื่อง
ด่วนอันใดแต่กลับเรียกท่านเข้าเมืองหลวง เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องดี ทางที่ดีท่านอย่าไปเลย"
ถานเต้าจี้เป็นคนซื่อตรงจึงกล่าวว่า
"ข้านำทัพปกป้องบ้านเมืองเป็นเวลานาน ข้าเชื่อว่าราชสำนักไม่อาจมองข้ามความดีของข้า" (คำพูดซื่อๆ ของถานเต้าจี้
แสดงให้เห็นถึงความอ่อนหัดทางการเมืองไม่ต่างจากแม่ทัพงักฮุยในเวลาต่อมา ซ้ำยังชื่อราชวงศ์ซ่งเหมือนกันอีก กรรมแท้ๆ)
จากนั้นเขาก็เดินทางเข้าเมืองหลวง
ถานเต้าจี้อยู่ที่เจี้ยนคังเป็นเวลาเดือนกว่า ซ่งเหวินตี้ประชวรแต่ก็สั่งให้เขาเข้าเฝ้าหลายครั้ง คำทูลของถานเต้าจี้ทำให้
พระองค์เห็นว่าเขายังคงภักดีไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อพระองค์อาการดีขึ้นจึงลดความหวาดระแวงลง ซ่งเหวินตี้จึงให้ถานเต้าจี้
เดินทางกลับไปยังเจียงโจว
ในขณะที่ถานเต้าจี้ขึ้นเรือเพื่อกลับไปยังเจียงโจว ขุนนางตำแหน่งต้าหลี่ ข่งอิ้นซิ่ว (孔胤秀)ได้นำกำลังทหารเข้าจับกุมถานเต้าจี้
แล้วกล่าวโทษในข้อหาก่อการกบฎ ทั้งนี้เนื่องจากอาการประชวรของซ่งเหวินตี้เริ่มทรุดหนัก หลิวอี้คังจึงปลอมแปลงราชโองการ
ถานเต้าจี้ได้ยินดังนั้นจึงโกรธจัดแล้วตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า
"พวกเจ้าล้วนใส่ความข้า ขอบอกไว้ ประหารข้าก็เท่ากับทำลายกำแพงยักษ์ของต้าซ่ง"
แต่คำพูดของขุนนางผู้ซื่อสัตย์กลับไม่เข้าหูคนต่ำช้า ถานเต้าจี้จึงถูกควบคุมตัว และถูกตัดศีรษะพร้อมทั้งบุตรชายกับหลานชายของเขา
ถึงปี ค.ศ.446 เมื่อสิ้นถานเต้าจี้กองทัพเป่ยเว่ยก็หมดเสี้ยนหนามชิ้นสำคัญ ฮ่องเต้ไท่อู่ตี้แห่งเป่ยเว่ย ตัดสินพระทัยยกทัพด้วยพระองค์เอง
มณฑลสวีโจว เหยี่ยนโจวตกอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์
ปี ค.ศ.449 ซ่งเหวินตี้ตัดสินพระทัยให้แม่ทัพหวังเสวียนหมัว (王玄謨) ยกทัพออกปราบเป่ยเว่ยเพื่อนำดินแดนที่เสียไปกลับคืนมา
แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับกองทัพเป่ยเว่ยจนต้องถอยร่นมายังเจียงไฮว๋ (ที่ราบลุ่มแม่น้ำไฮว๋และฉางเจียงตอนบน) ขณะที่กองทัพ
เป่ยเว่ยรวมพลเพื่อพิชิตลำน้ำเจียงไฮว๋ ซ่งเหวินตี้จึงส่งทูตเสนอสัญญาสงบศึก โดยให้หลานสาวของพระองค์อภิเษกกับราชนิกูลสกุล
ทัวป๋าและยอมยกชิงโจว จี้โจวและเหยี่ยนโจวให้กับจักรวรรดิเป่ยเว่ย วิกฤตการณ์สงครามระหว่างสองจักรวรรดิจึงสงบลง
..............................................................................................
เครดิต
https://www.facebook.com/groups/783674078384718/permalink/1736903239728459/
ประวัติ ถานเต้าจี้ ผู้เขียนตำรา 36 กลยุทธ์
ถานเต้าจี้ 檀道濟
มีพี่ชายชื่อ ถานเสา 檀韶 และน้องสาวไม่ทราบชื่อ ถานเต้าจี้ได้ติดตามพี่ชายไปรับราชการทหาร
ในสมัยราชวงศ์จิ้น ต่อมาเมื่อหวนเสวียนได้ทำการชิงบัลลังค์จากฮ่องเต้จิ้นอันตี้ ในปี ค.ศ.403
ถานเต้าจี้ก็ได้ไปเข้าร่วมกองทัพกับ หลิวอวี้ ผู้บัญชาการกองพลเป๋ยฝู่ นำกองทัพเข้าปราบปรามและ
สังหารหวนเสวียน ในปีถัดมาหวนเจิ้น (桓振) หลานชายของหวนเสวียนกลายเป็นผู้นำกองกำลังต่อต้าน
ถานเต้าจี้ได้สร้างวีรกรรมโดยการนำทัพหน้าเข้าปะทะกับกองทัพสกุลหวน ถานเต้าจี้สังหารหวนเจิ้นใน
สนามรบและได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็น 'อู่สิงโหว' (พระยาอู่สิง)
หลังจากนั้นถานเต้าจี้ก็เข้าร่วมในสงครามครั้งใหญ่หลายครั้ง จนกระทั่งย่างเข้าสู่ปี ค.ศ.416 หลิวอวี้นำ
กองทัพตงจิ้นบุกโจมตีแคว้นโฮ่วฉินครั้งใหญ่ ถานเต้าจี้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทัพหน้าและสามารถพิชิต
นครฉางอานสำเร็จ ทำให้หลิวอวี้ไว้วางใจถานเต้าจี้เป็นอันมากจึงมอบหมายหน้าที่ควบคุมดูแลเมืองสำคัญ
อย่างสี่ว์ชางและลั่วหยาง หัวเมืองใหญ่ในที่ราบเหอหนาน
ปี ค.ศ.420 หลิวอวี้โค่นล้มราชวงศ์ตงจิ้น และสถาปนาราชวงศ์ซ่ง (เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับยุคราชวงศ์ซ่ง
ในศตวรรษที่ 10 นักประวัติศาสตร์จึงให้ชื่อว่าราชวงศ์หลิวซ่ง) ถานเต้าจี้ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็น 'หย่งซิวกง'
(เจ้าพระยาหย่งซิว) แต่ทว่าซ่งอู่ตี้ครองราชย์ได้เพียง 2 ปีก็เสด็จสวรรคต
รัชทายาทหลิวอี้ฝู (劉義符) ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ซ่งเส้าตี้ (宋少帝) ถานเต้าจี้คาดว่าจักรวรรดิเป่ยเว่ยอาจ
ฉวยโอกาสที่หลิวซ่งมีการผลัดแผ่นดินยกทัพใหญ่เข้ารุกรานมณฑลทางตอนเหนือ จึงขอพระราชานุญาตให้แต่งตั้ง
ตนเป็น 'ผู้สำเร็จราชการหนานเหยี่ยนโจว' (ปัจจุบันคือตอนกลางของมณฑลเจียงซู) ซ่งเส้าตี้ก็ทรงอนุญาต
เป็นจริงอย่างที่ถานเต้าจี้คาดการณ์ เป่ยเว่ยยกทัพนับแสนข้ามแม่น้ำหวงเหอโจมตีมณฑลทางภาคเหนือ ถานเต้าจี้
นำกองทัพเข้าต้านทานที่มณฑลสวีโจว (ปัจจุบันคือมณฑลซานตง) สกัดทัพเป่ยเว่ยไม่ให้รุกเข้าสู่ซานตงและที่ราบลุ่ม
แม่น้ำฉางเจียงตอนบนไว้ได้ แต่ก็จำต้องสูญเสียที่ราบเหอหนานเกือบทั้งหมด
ปี ค.ศ.424 ซ่งเส้าตี้เริ่มใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย เพิกเฉยต่อราชกิจที่ทรงกระทำ ซึ่งขัดต่อราชโองการของซ่งอู่ตี้ที่ดำเนิน
นโยบาย "ฮ่องเต้ประหยัด ใต้หล้าพัฒนา" เป็นเหตุให้ขุนนางใหญ่ทั้ง 3 คือ สวีเสี้ยนจือ (徐羨之) ฟู่เลี่ยง (傅亮) และเซี่ยฮุ่ย (謝晦)
วางแผนปลดซ่งเส้าตี้จากราชบัลลังก์ ซึ่งแผนการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากจางไท่โฮ่ว (พระชนนีจาง)
แต่ขุนนางใหญ่ทั้งสามไม่มีกำลังทหารที่จะก่อการ จึงเขียนจดหมายไปยังถานเต้าจี้และแม่ทัพหวังหง (王弘) ที่ประจำการณ์
อยู่เมืองหน้าด่านให้ส่งกำลังทหารเข้านครหลวงเจี้ยนคังเพื่อก่อรัฐประหาร การรัฐประหารสำเร็จอย่างง่ายดาย ซ่งเส้าตี้ถูกปลด
จากตำแหน่งเป็น อิงหยางหวาง แล้วสถาปนาพระอนุชาอี้ตูหวาง - หลิวอี้หลง (義渡王 - 劉義隆) ขึ้นเป็นฮ่องเต้ซ่งเหวินตี้ (宋文帝)
● ยุทธการที่ราบเหอหนาน
ปี ค.ศ.430 หลังจากปราบปรามเหล่าขุนนางที่กระด้างกระเดื่องจนแผ่นดินหลิวซ่งเกิดเสถียรภาพทางการเมือง ซ่งเหวินตี้ได้แต่งตั้ง
ถานเต้าจี้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเจียงโจว (ปัจจุบันคือมณฑลเจียงซูและตอนบนของมณฑลฝูเจี้ยน) นอกจากนี้พระองค์ยังมี
พระราชดำริที่จะนำทัพออกปราบเป่ยเว่ย ที่ยึดครองที่ราบเหอหนานเอาไว้
ฤดูร้อน ปี ค.ศ.430 ซ่งเหวินตี้มีพระบัญชาแต่งตั้งแม่ทัพเต้าเยี่ยนจือ (到彥之) เป็นจอมทัพออกปราบเป่ยเว่ย แต่กองทัพเป่ยเว่ย
ใช้ยุทธวิธี 'ตั้งรับไม่สู้รบ' เพื่อให้สงครามยืดเยื้อไปถึงฤดูหนาวเสบียงเกิดการขัดสนแล้วทำการโต้กลับอย่างรุนแรง
ฤดูหนาว ปี ค.ศ.430 เสบียงทัพหลิวซ่งเกิดการขัดสน เมืองลั่วหยางและด่านหู่เหลากวนที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ก็ถูกแม่ทัพเป่ยเว่ย
เชื้อสายเซียนเปยนามว่า อี่จ้านเจียน (乙旃建)เข้ายึดครอง เต้าเยี่ยนจือจึงถอยทัพมายังเมืองหัวไถ (ปัจจุบันคือเมืองอันหยาง มณฑลเหอหนาน)
แล้วให้รองแม่ทัพจูซิ่วจือ (朱脩之)เป็นผู้เฝ้ารักษาเมือง ส่วนตนเองหนีกลับมายังนครหลวงเจี้ยนคัง
เมืองหัวไถถูกปิดล้อมทุกด้าน การโจมตีเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วงซ้ำร้ายเสบียงก็ใกล้หมด ซ่งเหวินตี้จึงเรียกตัวถานเต้าจี้จาก
เจียงโจว ให้ดำรงตำแหน่งจอมทัพเพื่อเข้าแก้ไขสถานการณ์
ฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ.431 ถานเต้าจี้เคลื่อนพลข้ามลำน้ำฉางเจียงมุ่งหน้าสู่เมืองหัวไถ เกิดการปะทะกับทัพเป่ยเว่ยหลายต่อหลายครั้ง
ถานเต้าจี้ก็สามารถเอาชนะได้ทุกครั้งจนคลี่คลายสถานการณ์ปิดล้อมเมืองหัวไถได้สำเร็จ
ถานเต้าจี้มุ่งหน้าสู่เมืองลี่เฉิง (ปัจจุบันคือเมืองจี้หนาน มณฑลซานตง) เพื่อกวาดล้างกองทัพเป่ยเว่ย แต่ทว่าเป็นแผน
ลวงของอี่จ้านเจียนทั้งสิ้น อี่จ้านเจียนใช้กำลังทหารปิดเส้นทางขนส่งยุทธปัจจัย เมืองหัวไถถูกตัดขาดจากกองทัพถานเต้าจี้
ในทันที จนต้องถูกกองทัพเป่ยเว่ยปิดล้อมอีกครั้งและแตกพ่ายในที่สุด รองแม่ทัพจูซิ่วจือถูกจับเป็นเชลย ถานเตาจี้จึงถอยทัพ
กลับไปตั้งหลักที่สวีโจว ระหว่างล่าถอยเสบียงทัพหมดกลางคัน สายข่าวกองทัพเป่ยเว่ยจึงได้รายงานต่อแม่ทัพอี่จ้านเจียน
เขาจึงเห็นเป็นโอกาสที่จะนำทัพบดขยี้กองทัพของถานเต้าจี้ และในครั้งนี้เองถานเต้าจี้ก็ได้ใช้กลยุทธ์พิศดารลวงกองทัพเป่ยเว่ย
ในยามค่ำคืน ถานเต้าจี้ให้ทหารขนทรายมาก่อไว้เป็นเนิน แล้วน้ำเมล็ดข้าวมาโรยเคลือบไว้บนเนินทราย เมื่อเห็นไกลๆจะ
ดูเหมือนเป็นกองเนินข้าวสารขนาดใหญ่ ครั้นถึงรุ่งเช้าหน่วยม้าลาดตระเวณเป่ยเว่ยเห็นดังนั้นจึงนำความไปรายงานอี่จ้านเจี้ยน
เขาคิดว่าเสบียงทัพถานเต้าจี้ยังบริบูรณ์ดีจึงไม่ได้นำทัพเข้าโจมตีแต่ประการใด ถานเต้าจี้จึงใช้โอกาสนี้ล่าถอยไปยังสวีโจวได้สำเร็จ
ประวัติศาสตร์จีนได้สอนเราอย่างหนึ่งว่า
" ลูกน้องยิ่งเก่งกล้าเท่าใด ย่อมเป็นที่หวาดระแวงของผู้เป็นนาย "
ถานเต้าจี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น !
ซ่งเหวินตี้แม้พระชนม์มายุจะไม่ถึง 30 ชันษาแต่พระองค์ก็มีร่างกายที่อ่อนแอ ครั้งหนึ่งขณะประชวรหนักจวนสิ้นพระชนม์
ด้วยหวั่นเกรงว่าตนจะสูญเสียบัลลังก์ซ่งเหวินตี้จึงยิ่งร้อนพระทัย แต่คนที่ร้อนใจกว่าเห็นจะเป็นอัครเสนาบดีหลิวอี้คัง (劉義康)
ที่เป็นอนุชาของซ่งเหวินตี้ ทั้งคู่ต่างกริ่งเกรงในอำนาจทางทหารของถานเต้าจี้ซึ่งกุมกำลังทหารอยู่นอกเมืองหลวงเป็นอย่างมาก
เวลานั้นถานเต้าจี้เป็นผู้บัญชาการกองพลเป๋ยฝู่และดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเจียงโจว ขุนพลและทหารใต้บังคับบัญชาล้วน
ผ่านศึกอย่างโชกโชน จึงเป็นที่วิตกของผู้กุมอำนาจในศูนย์กลางเวลานั้น หลิวอี้คังจึงเพ็ดทูลต่อซ่งเหวินตี้ แม้พระองค์จะทราบว่า
ถานเต้าจี้เป็นผู้มีคุณธรรมและราชบัลลังก์ของพระองค์ก็ได้มาจากฝีมือของถานเต้าจี้ แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อนซ่งเหวินตี้จึงมีคำสั่งให้
ถานเต้าจี้เข้าเมืองหลวง
● จุดจบของยอดแม่ทัพ
ถานเต้าจี้ได้รับคำสั่งก็ไม่คิดอะไรมาก จึงรีบเดินทางเข้านครหลวงเจี้ยนคัง ภรรยาของเขากล่าวด้วยความเป็นห่วงว่า
"พี่ท่านสร้างความชอบไว้มากมาย คงมีคนริษยาและใส่ร้าย แต่โบราณจนปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้ เวลานี้ราชสำนักหามีเรื่อง
ด่วนอันใดแต่กลับเรียกท่านเข้าเมืองหลวง เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องดี ทางที่ดีท่านอย่าไปเลย"
ถานเต้าจี้เป็นคนซื่อตรงจึงกล่าวว่า
"ข้านำทัพปกป้องบ้านเมืองเป็นเวลานาน ข้าเชื่อว่าราชสำนักไม่อาจมองข้ามความดีของข้า" (คำพูดซื่อๆ ของถานเต้าจี้
แสดงให้เห็นถึงความอ่อนหัดทางการเมืองไม่ต่างจากแม่ทัพงักฮุยในเวลาต่อมา ซ้ำยังชื่อราชวงศ์ซ่งเหมือนกันอีก กรรมแท้ๆ)
จากนั้นเขาก็เดินทางเข้าเมืองหลวง
ถานเต้าจี้อยู่ที่เจี้ยนคังเป็นเวลาเดือนกว่า ซ่งเหวินตี้ประชวรแต่ก็สั่งให้เขาเข้าเฝ้าหลายครั้ง คำทูลของถานเต้าจี้ทำให้
พระองค์เห็นว่าเขายังคงภักดีไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อพระองค์อาการดีขึ้นจึงลดความหวาดระแวงลง ซ่งเหวินตี้จึงให้ถานเต้าจี้
เดินทางกลับไปยังเจียงโจว
ในขณะที่ถานเต้าจี้ขึ้นเรือเพื่อกลับไปยังเจียงโจว ขุนนางตำแหน่งต้าหลี่ ข่งอิ้นซิ่ว (孔胤秀)ได้นำกำลังทหารเข้าจับกุมถานเต้าจี้
แล้วกล่าวโทษในข้อหาก่อการกบฎ ทั้งนี้เนื่องจากอาการประชวรของซ่งเหวินตี้เริ่มทรุดหนัก หลิวอี้คังจึงปลอมแปลงราชโองการ
ถานเต้าจี้ได้ยินดังนั้นจึงโกรธจัดแล้วตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า
"พวกเจ้าล้วนใส่ความข้า ขอบอกไว้ ประหารข้าก็เท่ากับทำลายกำแพงยักษ์ของต้าซ่ง"
แต่คำพูดของขุนนางผู้ซื่อสัตย์กลับไม่เข้าหูคนต่ำช้า ถานเต้าจี้จึงถูกควบคุมตัว และถูกตัดศีรษะพร้อมทั้งบุตรชายกับหลานชายของเขา
ถึงปี ค.ศ.446 เมื่อสิ้นถานเต้าจี้กองทัพเป่ยเว่ยก็หมดเสี้ยนหนามชิ้นสำคัญ ฮ่องเต้ไท่อู่ตี้แห่งเป่ยเว่ย ตัดสินพระทัยยกทัพด้วยพระองค์เอง
มณฑลสวีโจว เหยี่ยนโจวตกอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์
ปี ค.ศ.449 ซ่งเหวินตี้ตัดสินพระทัยให้แม่ทัพหวังเสวียนหมัว (王玄謨) ยกทัพออกปราบเป่ยเว่ยเพื่อนำดินแดนที่เสียไปกลับคืนมา
แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับกองทัพเป่ยเว่ยจนต้องถอยร่นมายังเจียงไฮว๋ (ที่ราบลุ่มแม่น้ำไฮว๋และฉางเจียงตอนบน) ขณะที่กองทัพ
เป่ยเว่ยรวมพลเพื่อพิชิตลำน้ำเจียงไฮว๋ ซ่งเหวินตี้จึงส่งทูตเสนอสัญญาสงบศึก โดยให้หลานสาวของพระองค์อภิเษกกับราชนิกูลสกุล
ทัวป๋าและยอมยกชิงโจว จี้โจวและเหยี่ยนโจวให้กับจักรวรรดิเป่ยเว่ย วิกฤตการณ์สงครามระหว่างสองจักรวรรดิจึงสงบลง
..............................................................................................
เครดิต https://www.facebook.com/groups/783674078384718/permalink/1736903239728459/