รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน หัวขบวนอีอีซี ปิดจ๊อบปี 2561 อย่างสวยงาม

ในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี 2561 กระแสสังคมกำลังจับจ้องมองดูความเคลื่อนไหว การประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา มูลค่ากว่า 2 แสน 2 หมื่นล้านบาท ระยะทาง 220 กิโลเมตร

ครับ...ใครก็รู้ว่า เป็นอภิมหาโปรเจคท์ของ รัฐบาลพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล้าคิดกล้าทำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ได้สิ่งใหม่ ทำให้โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

เพราะเมื่อรถไฟฟ้าความเร็วสูงเกิดขึ้น นั่นหมายความว่า EEC โครงการใหญ่ของภาครัฐ ก็จะเกิดตามไปด้วย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้ขับเคลื่อนเดินหน้าต่อไปได้ พร้อมทั้งเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ ผู้ที่ชนะประมูลคือ กลุ่มกิจการร่วมค้า บริษัทเจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้งส์ ที่กล้ายื่นข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลน้อยที่สุด จากวงเงินเต็ม 1.19 แสนล้านบาท




จะว่าไป หากจะมองจากข้อเท็จจริง และด้วยใจที่เป็นกลาง กลุ่มเอกชนที่ชนะการประมูล บทบาทที่ได้รับคือ การเข้ามาสานต่อและทำให้โครงการนี้เดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ที่จะมาหวังกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเอง

เห็นได้จากโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ต้องใช้งบลงทุนกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินที่สูงมาก นอกจากนี้ ระหว่างการก่อสร้าง ยังช่วยส่งเสริมการใช้วัสดุ อุปกรณ์ก่อสร้างในประเทศ ทั้งเหล็ก ปูนซีเมนต์ ก่อให้เกิดการจ้างงาน ที่สำคัญได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีระดับโลกสู่ประเทศ

ยิ่งเมื่อมีการคิดคำนวณผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ ตลอดอายุโครงการ 50 ปี จะมีมากกว่า 6 แสน 5 หมื่น 2 พันล้านบาททั้งนี้ ยังไม่รวมมูลค่าเพิ่มการพัฒนาเศรษฐกิจตามเส้นทางรถไฟ กว่า 2 แสน 1 หมื่น 4 พันล้านบาท

ขณะที่รัฐมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้นกว่า 3 หมื่นล้านบาท และเมื่อมีการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก จะมีมูลค่าเพิ่มอีกประมาณ 1 แสน 5 หมื่นล้านบาท ลดการใช้น้ำมัน เวลา เรื่อง อุบัติเหตุ และสิ่งแวดล้อม กว่า 1 แสน 2 หมื่น 8 พันล้านบาท และจุดคุ้มทุนของหลายประเทศที่ลงทุนไปก่อนประเทศไทยมานานแล้วต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 40 ปี

ว่ากันตามข้อเท็จจริงที่ต้องการันตีกำไร 6% ถือว่าต่ำมาก เพราะตามปกติไม่ว่า ภาคเอกชนจะลงทุนโครงการอะไร มองผลกำไรที่ 15% เป็นอย่างน้อย ส่วนกระแสข่าวที่สื่อบางฉบับออกมาปั่นกระแส โจมตีกลุ่มเอกชนที่ชนะประมูล และสร้างความเข้าใจผิด ให้เกิดขึ้นในสังคม อาจจะเป็นเพราะว่า สื่อกลุ่มดังกล่าวถือหุ้นอยู่ในบริษัทบีทีเอส ที่เข้าร่วมโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงในครั้งนี้ด้วย

กระแสข่าวที่สื่อกลุ่มนี้ออกมา สร้างความเข้าใจผิด ทำให้สังคมมองกันว่า กลุ่มผู้ชนะประมูล หวังเพื่อ จะได้เข้าไปพัฒนาที่ดินมักกะสันนั้น ต้องบอกว่า ในข้อเท็จจริง เป็นไปไม่ได้เลย เพราะถ้าพิจารณากันให้ลึกซึ้งแล้ว จะเห็นว่าการจะเอาผลกำไร ที่ต้องลงทุนในพื้นที่กว่าแสนล้าน เพื่อมาลงทุนทั้งโครงการกว่า 2 แสนล้าน เป็นเรื่องโจ๊กมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นโครงการนี้เป็นแบบ BOT build of transfer คือเมื่อครบ 50 ปีโครงการนี้ทั้งหมด จะตกเป็นของรัฐ

ดังนั้นต้องขอปรบมือให้กับ คนคิดโครงการของภาครัฐ ที่ใช้ยุทธศาสตร์การที่จะพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมกับประเทศที่เจริญแล้ว และวางกฎเหล็กแน่นหนา เพราะท้ายที่สุดแล้วประเทศชาติและประชาชนคนไทย จะได้รับประโยชน์สูงสุด หาใช่การออกมาเต้าข่าว สร้างความเข้าใจผิดให้กับกระแสสังคม เพราะนั่นคือวิธีการของ พวกขี้แพ้ชวนตี

ถึงต้องบอกว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการไปต่อทางการเมือง ก็ถือว่า มีผลงานที่พร้อมจะบอกกับสาธารณชน แม้จะถูกนักการเมืองหลายพรรค คอยขัดแข้งขัดขา ไม่มีปัญญาคิดนโยบาย หรือโครงการต่าง ๆ มาบอกกล่าวให้สังคมได้รับรู้ เรียกว่าเคยเล่นการเมืองน้ำเน่าอย่างไร วันนี้ก็ยังน้ำเน่าเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้สังคมจะเรียกร้องให้บรรดานักเลือกตั้ง มีการปฏิรูปตัวเองแล้วก็ตาม

วันนี้กระบวนการตรวจสอบ มีหลายรูปแบบ ปกปิดและกลบเกลื่อนข้อพิรุธต่าง ๆ ได้ยากครับ เพียงแต่ต้องสู้กันด้วยความจริง และยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง การเสกสรรปั้นแต่ง ด้วยข้อมูลเท็จ นอกจากจะถูกฟ้องร้องตามกฎหมาย ยังจะส่งผลต่อการยอมรับ และความเชื่อถืออีกด้วย

------------------------------------------------
ที่มา:
คอลัมน์ คมคิดฅนเขียน: กล้าคิด-กล้าทำ
เดลินิวส์ (กรอบบ่าย) ฉบับวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2561

"เขื่อนขันธ์"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่